ความรู้ทั่วไป

วิปัสสนากรรมฐานเป็นของเก่า

การเจริญวิปัสนากรรมฐาน ถ้าพูดตามสมัยใหม่เขานิยมเรียกว่ามาพัฒนาจิต มาพัฒนาคุณธรรม ข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่โน้น ทรงชี้แจงต่อพุทธศาสนิก ให้บำเพ็ญจิตภาวนา พัฒนาจิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชีวิตโดยใช้สติปัฏฐานเป็นอาภรณ์ประดับจิตนั้นเอง

วิธีปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ที่เรียกว่าทางสายเอกของพระพุทธเจ้านั้นเอง เรียกว่า การเจริญวิปัสสนา เป็นธุระหน้าที่ที่เราจะต้องดำเนินวิถีชีวิต โดยใช้สติปัญญาเป็นอาวุธ เพื่อไม่ให้พลาดผิดในการทำงานทุกอย่าง เพราะหน้าที่และการงานเป็นผลงานของชีวิตที่เราต้องทำโดยใช้สติปัญญาตลอดเวลา แต่การทำงานที่ประกอบไปด้วยปัญญานั้น ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่อบรม ด้วยความอดทนอย่างยิ่งแล้ว เราจะไม่พบความจริง

การกำหนดท้องพองยุบ คือ อานาปานสติ

การกำหนดท้องพองยุบ ก็คือ อานาปานสติที่พระพุทธเจ้าได้ดำเนินมาแล้วเช่นเดียวกัน สมาธิแน่วแน่นี่ต่างกัน ทางที่เจริญปัญญาตามสติปัฏฐาน ๔ สมาธิยังไม่คงที่คงวาคงศอกแน่วแน่แต่ประการใด มันจะมีพวกกิเลสต่างๆ อารมณ์ต่างๆ มาแทรกแซงอยู่เสมอ นี่เราใช้สติกำหนดได้อย่างนี้ มันจะมีความสงบได้แค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่เราจะกำหนดได้ในปัจจุบันหรือไม่เท่านั้น แล้วปัญญาจะเกิดเองตามลำดับ แล้วความคุ้นเคยก็จะมาสงบต่อในภายหลัง… การพิจารณาลมหายใจเข้าออก พองหนอ ยุบหนอ คือ ลมหายใจเข้าก็พอง ลมหายใจออกก็ยุบ ก็พิจารณาวาโยธาตุแต่รูปเดียว เรียกว่าอานาปานสติ ลมหายใจเข้า-ออก พองหนอ ยุบหนอ เรียกว่า อานาปานสติ

วิปัสสนากรรมฐาน ต้องทิ้งตำราวิชาการ ทิ้งทิฐิ ไม่รู้ล่วงหน้า

การปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ต้อง ทิ้งตำรับตำราวิชาการ โดยปฏิบัติตามหลักเหตุผลนี้ โดยละทิ้งทิฐิ ทิ้งตำรับตำราหมด กำหนดไปเรื่อยๆ เป็นการสะสมหน่วยกิต ให้เกิดปัญญา คือรอบรู้เหตุผลในอารมณ์ที่เกิดขึ้น แก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน…

ต้องพูดกันภาคปฏิบัติอย่าไปเอาวิชาการมาพูดไม่ได้ นักปฏิบัติต้องไม่รู้ล่วงหน้า จะไปรู้ล่วงหน้าทำอย่างงั้นอย่างงี้รู้เชิดฉิ่งมันจะเชิดกลองเอา แล้วประคองน้ำใจไม่ได้เลยกลายเป็นคนฟุ้งซ่านเสียสติ เลยพูดมากยากนานไปเลย เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติได้ดังแนวนี้…

วิปัสสนาต้องรู้ตัวทุกเวลา เข้าใจทุกเวลา ปัญญาเกิดทุกเวลาในปัจจุบัน นี่อดีต นี่ปัจจุบัน นี่อนาคต นี่เรื่องนี้สำคัญมากไม่ใช่ทำส่งเดชนะ หรือรู้กันส่งเดชตามหนังสือแล้วก็ใช้ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องปฏิบัติอ่านหนังสือใช้ได้ รู้ว่าอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ต้องปฏิบัติก็ได้เป็นวิปัสสนาปลอม เป็นวิปัสสนึกไป เป็นวิปัสสนาไม่ได้แน่ และผลงานจะเกิดขึ้นแก่เราก็ไม่ได้ด้วย ไม่มีความอดทนแน่และไม่มีอารมณ์คงที่คงวา ที่เปลี่ยนผันแปรออกมาให้จิตเข้าสู่ภาวะโดยปัจจุบันธรรมเลย…

ขอให้ญาติโยมสนใจต่อไปให้ถูกทางและทำไปโดยไม่ต้องไปคิดเอาเอง ทำไปโดยไม่ต้องหาวิชาการมาใส่ตัวให้รู้เองก่อนทำ ต้องทำก่อนรู้ ไม่ใช่ไปรู้ก่อนทำนะ เดี๋ยวนี้รู้กันเสียก่อนแล้ว รู้ก่อนทำแล้วได้อะไร ก็ได้ของปลอมไปนะ ต้องทำก่อนรู้สิ ไปรู้ก่อนทำ มีที่ไหนเล่า

วิปัสสนึก

คนเรียนอภิธรรมจึงปฏิบัติกรรมฐานไม่ค่อยได้ มันคอยคิดล่วงหน้าว่า อ๋อ ญาณที่หนึ่งมาแล้ว ญาณสองมาแล้ว มันท่องได้ ญาณ ๑๖ ก็เป็นอย่างนี้ เลยก็เป็นวิปัสสนึก ส่วนมากคนเรียนพระอภิธรรมจบพระอภิธรรมเอก นั่งกรรมฐานไม่ค่อยได้ ได้เป็นวิปัสสนึกหมด นึกเอาตามตัวหนังสือว่ามันได้จริง คนที่ไม่รู้อะไรเสียเลยทั้งหมดนี่ได้ง่าย ได้จริงเสียด้วย ได้แล้วมาอ่านหนังสือตรงเป้าเลย ตรงหนังสือนั่นเอง

ถ้าคนรู้หนังสือและก็อวดรู้ อวดดี รับรองว่านั่งกรรมฐานไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเช่นมหาเปรียญนี่เขาเรียนกันแปดเก้าประโยค มานั่งกรรมฐานไม่ได้ผลหรอก ถ้าไม่มีศรัทธาไม่ได้อะไรเลยนะ ถ้ามีศรัทธาเชื่อมั่นก็ดีทั้ง ปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธศาสนา มันก็เกิดขึ้น ๓ ทาง ถ้าอย่างเราคนบ้านนอกคอกนาหรือคนปุถุชนธรรมดา ไม่ได้ศึกษาหาความรู้จากวิชาศาสนา ไม่รู้อะไรเลย ยิ่งทำยิ่งดีมาก นี่แหละมันจะผุดขึ้นมาเอง มันจะได้ของจริงด้วย เลยไม่รู้อะไรเสียเลยดีกว่ารู้อะไรนะ พอรู้อะไรมันคอยจะนึก เป็นวิปัสสนึก คิดว่าตัวทำได้ตามหนังสือที่เรียนมาเลยก็ไม่ได้อะไรเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้เป็นต้น

อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควายฯ

อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก
อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย
คนสามบ้านกินน้ำบ่อเดียว
เดินทางเดียวอย่าเหยียบรอยกัน
นะฯ อยู่หัวสามตัวอย่าละ
นะฯ อยู่ที่ไหนไปเอาที่นั้น

ได้แก่อะไรเอ่ย?  รับรองไม่ได้ทุกคน ท่านทั้งหลายตีปัญหาไม่ออกเพราะยังปฏิบัติกรรมฐานได้ไม่ถึงจุด

คนอันธพาลชอบเหยียบรอยกันเดินตามรอยกัน คนดีมีปัญญาเขาจะไม่เหยียบรอยของใคร จะไม่ซ้ำแบบในอกุศลกรรม บัณฑิตที่มีพระจะไม่เหยียบเขา จะไม่ซ้ำรอยเขา จะเดินทางด้วยปัญญาที่มี บัณฑิตมีความคิดสูง

อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก การทอผ้าเป็นประการใด ยากเย็นเข็ญใจกว่าจะได้ผ้าแต่ละผืนจะต้องทำอย่างไร ขอฝากไว้ไปคิด ถ้าปฏิบัติได้จะรู้ว่าทออย่างไร คันหูกเป็นประการใด ไหมเป็นประการใด กว่าจะมาทอเป็นผืนเป็นคืบเป็นศอก แสนจะลำเค็ญมิใช่น้อย ยังสามารถทำผ้าละเอียดอ่อน ยกดอกยกดวงได้สวยงามน่าทัศนาชม

อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย หมายความว่ากระไร อย่าลืมนะว่าเด็กเลี้ยงควายนั้นโง่มาก่อน แต่แล้วมีจิตเป็นกุศลเป็นประการใด จะทำถูกจากความโง่ให้เกิดผล เกิดปัญญา เฉลียวฉลาดปักไว้ในปัญญา จึงไม่เหยียบรอยใคร จึงไม่ว่าใคร ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยของใคร คนนั้นจะ เดินทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ ดังที่ได้ชี้แจงมา ณ บัดนี้…

จะทอหูกอย่างไร เขาต้องทอกันอย่างไร จิตใจของท่านจะละเอียดอ่อนเหมือนคันหูก ทำถูกคือเลี้ยงควาย มันจะต้องโง่มาก่อน จึงจะหาความฉลาดปราดเปรียวในหัวใจ หาที่พึ่งทางใจคือธรรมะ ท่านจะทายปัญหานี้ได้ ท่านจะอธิบายได้ละเอียดอ่อน ที่พูดนี้เป็นเปลือกเท่านั้น ถ้าแก่นแท้ท่านจะทายได้ด้วยตัวของท่านอย่างแน่นอน

การศึกษาภาคปฏิบัตินี่ยากมาก
ไม่ต้องวิจัย ประเมินผล ให้เกิดขึ้นเอง

ถ้าเราเป็นนักวิชาการ เราไปเชื่อตำราแล้วไม่ปฏิบัติ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติจะไม่มี การศึกษาภาคปฏิบัตินี่ยากมาก คืออารมณ์เปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาแทรกแซงเรา ก็ขอเจริญพรว่าให้กำหนดทีละอย่าง ศึกษาไปทีละอย่าง ทีนี้มันฟุ้งซ่าน ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา เพราะไม่ได้ปฏิบัติมานาน เราไม่ได้ฝึกทางนี้ ไม่ต้องวิจัยประเมินผล ให้เกิดขึ้นเอง เกิดขึ้นด้วยปัญญาของเรา

ปัญญาตัวนี้สำคัญ ไม่ใช่ปัญญาสามารถทางวิชาการ แต่กลับเป็นปัญญาทางใน เช่น มีเวทนากำหนดทีละอย่าง มันก็ปวดอย่างที่อาตมาเจริญพรแล้ว ยิ่งปวดหนักๆ เดี๋ยวมันจะเกิดอนิจจังไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์จริงๆ นะ ทุกข์นี่คือตัวธรรมะ เราจะพบความสุขต่อเมื่อภายหลัง แล้วเวทนาก็เกิดขึ้นสับสนอลหม่านกัน แล้วความวัวไม่ทันหาย ไอ้โน่นแทรกไอ้นี่แซงตลอดเวลาทำให้เราขุ่นมัว ทำให้เราฟุ้งซ่านตลอดเวลา เราก็กำหนดไปเรื่อยๆ

ปฏิบัติกรรมฐานต่อเนื่อง ๗ วัน ๗ คืน ได้รับผลแน่

ภาคปฏิบัติกรรมฐานที่โยมปฏิบัติกันทำให้มันต่อเนื่องเสียหน่อยเถอะ เดินจงกรมแล้วนั่ง นั่งแล้วก็เดินปฏิบัติไปเรื่อยๆ ๗ วัน ๗ คืน รับรองได้ผลแน่ ๗ วัน ๗ คืน เท่านั้นได้ผลยังไง ได้ผลรูปนามได้ผลยังไง ได้ผลอารมณ์ของรูปนามได้ผลยังไง มีสติสัมปชัญญะดีและสามารถจะรู้เหตุการณ์ในชีวิตได้ดีโดยปัจจุบัน สามารถจะแก้ไขทันเหตุการณ์ได้ในปัจจุบันเท่านี้เท่านั้น อันนี้มีความหมายมาก…

ขอฝากนักปฏิบัติธรรมไว้ว่าอย่าไปนั่งคุยกัน สาธยายกันเลย ๗ วัน ๗ คืน ก้มหน้าก้มตาทำ แล้วมีอะไร ประสบอารมณ์ปัญหาอะไร กำหนดให้ได้ ให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน เราจะรู้เหตุการณ์นั้นได้ทันท่วงที เพราะไตรลักษณ์ก็แจ้งคดีมีที่มา เป็นอนิจจังไม่เที่ยงเป็นทุกข์แท้ๆ แน่เหลือเกิน ปัญญาเกิดรอบรู้ในกองสังขาร โดยวิธีปฏิบัติง่ายๆ และกำหนดเวทนาได้ด้วย อ๋อ เมื่อยนี่เรื่องเล็กตั้งสติไว้เสียให้ดี เวทนาแยกแตกออกไป เปลี่ยนภาวะเวทนาไปส่วนหนึ่งสัมผัสไปส่วนหนึ่ง ญาณวิถีทางของรูปนามส่วนหนึ่ง แล้วก็อาศัยรูปเกิดแล้วดับไป เวทนาก็กลับหายไป แยกออกไปเสียได้โดยวิธีปฏิบัติโดยวิธีนี้

อาตมากล่าวแล้ว ๗ วัน รับรองจะได้ผลอย่างแน่นอน
แล้วไม่ต้องคุยกัน กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย
ทำความเพียรให้มาก มีทางได้ผลแน่ๆ
– หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

การปฏิบัติอย่าเอาหลายอย่างมาปนกันจะสับสน

การปฏิบัตินี้ขอให้ปฏิบัติไปตามขั้นตอนอย่าไปเอาอย่างอื่นมาประสมประสานกัน เดี๋ยวพุทโธบ้าง พองหนอ ยุบหนอบ้าง สัมมาอรหังบ้าง เลยสับสนอลหม่านตลอดกาล ไม่ได้ผลเท่าที่ควรในวิธีปฏิบัติ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ต้องการให้มีสติ รู้ทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์เข้าทางทวารหก ขันธ์ ๕ รูปนาม เกิดทางทวารหก แล้วก็ดับพร้อมกันไป กิเลสก็เกิดขึ้นทางนั้นเหมือนกัน คือ โลภะ โทสะ โมหะ อยู่ในขันธสันดาน เรียกขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นทางอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ โดยวิธีนี้เป็นต้น

ทำกรรมฐานยังไม่ได้
ให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
พาหุง มหากา ก่อน

คุณนายละม้ายกับสามี มาเข้าวัดทำบุญที่วัดอัมพวันก็ไม่กี่ปี อาตมาชี้แจงชักจูงให้คุณนายละม้ายมานั่งกรรมฐาน เดินจงกรมขวาย่างหนอ-ซ้ายย่างหนอ เพราะว่าคุณวาทสามีทำแล้ว แต่คุณนายพอลงมือปฏิบัติก็ทำไม่ได้ ขวาเป็นซ้าย-ซ้ายเป็นขวา พองหนอ-ยุบหนอ ก็กำหนดไม่ได้ อาตมาก็มาคิดหาอุบายที่จะสงเคราะห์คุณนายให้ทำได้ สงสารคนประเภทนี้ อยากจะทำนัก แต่ทำไม่ได้ เดินจงกรมก็เซ

วันหนึ่งแกก็มาที่วัดถามว่า “หลวงพ่อมีคาถาไหม ฉันทำกรรมฐานไม่ได้แน่ อยากจะสวดมนต์” อาตมาก็เลยบอกว่า “โยมจะท่องได้หรือ อ่านหนังสือไม่ออก” แกก็บอกว่า “ฉันจะให้ลูกสอน” อาตมานึกได้ข้อหนึ่ง ต้องให้คุณนายสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อเป็นอุบาย หนักเข้าแม่ละม้ายท่องได้ลูกสอนวันละตัวสองตัวท่องได้หมด ก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากา (รุณิโก) พอจบแล้วหันมาเอาพุทธคุณอย่างเดียว ให้สวดเท่าอายุเกินกว่า ๑ เกิดยึดมั่นสติดี

ก็สวดหนักเข้าทุกวันๆ จนสบายใจ ญาณวิถี เข้าสู่สติสัมปชัญญะ “สติมา” มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของแกอีก ก็ทำให้เกิดสติดีขึ้น พอสติดีขึ้น แกมาเล่าอะไรแปลกๆ ให้ฟัง บอกว่า “ฉันสวดได้หมดแล้ว แล้วมันคล่องแคล่วในใจ” พอให้เดินจงกรมก็เดินได้เพราะสติดีเสียอย่าง แล้วบอกว่าพองหนอ ยุบหนอได้ไหม ก็กำหนดได้อีกเหมือนกัน และคล่องได้จากสวดมนต์ อันนี้เป็นไปได้เหมือนกัน

การงานคือกรรมฐาน

การฝึกเบื้องต้นนี่ต้องฝึกกันไป เรื่อยไป ถึงญาติโยมกลับไปบ้านไปยังเคหะสถาน หรือจะประกอบการงานของโยมก็ไม่ต้องใช้เวลาว่าง ใช้เวลางานนั่นแหละเป็นกรรมฐาน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ ทุกขณะจิตที่มันคิดอะไร มันจะเกิดขึ้นเป็นการสะสมนี่มีประโยชน์มาก ถ้าเราไปเห็นไม่ได้สนใจดูนะ ไม่ได้เห็นหนอ ไม่สนใจดู สนใจฟัง และเราก็ดูเรื่อยๆ ไปเหมือนคนธรรมดา การทำงานนี่มันก็เรื่องธรรมดาๆ ถ้าเราสำรวมจิตใช้สติเสียหน่อย ไม่ต้องไปเพ่ง เรากำหนดธรรมดานี่เอง เห็นหนอนี่ โยมเดินมา อย่างนี้เป็นต้น…

บางทีเราทำงานทั้งมือทั้งเท้า ขอประทานโทษ มันก็ต้องหยิบเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา คือ รูปหยิบก็ต้องกำหนด อยากหยิบหนอ คำว่า “อยาก” คือเจตสิก อันสำคัญ มีความหมาย ถ้าเรากำหนดจนเชี่ยวชาญแล้ว พอจะยกมือมันจะบอกเลยนะ “อยาก” มันเกิดเองโดยอัตโนมัติ “หยิบหนอ” หยิบอะไร “หยิบแก้วน้ำชา” และ “มาหนอๆ – ดื่มหนอ – กลืนหนอ” โอ้โฮ “ร้อนหนอๆ” มันก็บอกไปตามสภาวะของมัน มันเป็นธรรมชาติของมัน น้ำมันก็เย็นไปตามน้ำ ไฟก็ร้อนไปตามไฟ โดยธรรมชาติ นี่ราคาแพง…

บางคนบอกหลวงพ่อเจ้าขา “ดิฉันไม่มีเวลาว่างปฏิบัติ” บอก “ไปทำอะไร” “ทำงาน” “งานนั่นแหละปฏิบัติล่ะ” หยิบอะไรก็กำหนดสิ หูเราต้องใช้ทุกวัน นิ้วเราต้องใช้ทุกวัน กรรมฐานที่หู “เสียงหนอ” ถ้ามีคนมาพูดให้เราฟังมากๆ หลายรส หลายเรื่อง นั่นแหละกรรมฐาน ตั้งสติไว้ “เสียงหนอๆ” เดี๋ยวจะรู้อะไรแปลกๆ นี่มันอยู่ตรงนี้นะ…

เชื่ออะไร ร้ายที่สุดในโลกมนุษย์

ร้ายที่สุดในโลกมนุษย์คือเชื่ออะไร โยมตอบได้แต่ยังอึกอักอยู่ อาตมามาตอบแทน ร้ายที่สุด คือเชื่อใจเราขณะมีโทสะ ขณะมีโมหะ ขณะที่โลภะ โทสะ โมหะ โลภะ จริงหรือไม่ นี่เชื่อใจเราอย่างนี้ร้ายที่สุด…จำไว้นะ เชื่อใจเราขณะมีโลภะ เชื่อใจเราขณะมีโทสะ เชื่อใจเราขณะมีโมหะ เสียทุกราย เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติก่อนจึงค่อยเชื่อ มีความหมายอย่างนั้น

กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรให้มาก

การปฏิบัติจริงนั้น เกิดจากดวงใจคือภาวนา เป็นปัญญาใสสะอาด ผุดขึ้นมาเอง จึงจะเป็นการปฏิบัติได้ของจริงด้วยความถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องห้ามดูหนังสือ ห้ามพูดคุยกัน ที่พูดย้ำมานาน คือ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรให้มาก หากปฏิบัติได้ตามองค์ภาวนานี้ ก็จะพบวิชาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงศึกษาค้นพบด้วยพระองค์เอง เรียกว่า วิชาพ้นทุกข์

ปฏิบัติธรรมกี่วันจึงจะสำเร็จ

ท่านที่มีอารมณ์ร้อนเกิดขึ้น มันจะค้างสะสมไว้ในใจ มีแต่เคียดแค้น มีแต่ริษยา ผูกพยาบาท มีแต่จองเวรกันในจิตของตน มิใช่คนอื่นมาทำให้ตรงนี้สำคัญมาก ไม่ใช่ว่ามานั่งกรรมฐาน ๗ วันแล้วใช้ได้ บางคนมาถามอาตมาว่าหลวงพ่อทำกี่วันถึงจะสำเร็จ? แหม! อาตมาทำมา ๔๐ ปีแล้ว ยังไม่สำเร็จ ไม่มีสำเร็จ

แต่เรามีความหวังตั้งใจว่า เราปฏิบัติธรรมนั้นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แล้วค่อยๆ กลืนสะสมอยู่ในจิตของเรา และจิตของเราก็จะรู้ได้ว่าคลายไปได้มากแล้ว จิตใจเราร่มเย็นไปได้มาก และจิตเข้าถึงความเป็นปกติของจิตได้มาก จิตใจไม่คลอนแคลน จิตไม่เหลวไหล จิตก็ไปได้ตรง ด้วยทางสายเอกนี้

วันนี้เพลียมาก ไม่ต้องสวดมนต์
ไม่ต้องภาวนา อย่างนี้ใช้ไม่ได้

ฝึกไปเรื่อยๆ ยิ่งแก่ยิ่งดี ฝึกไว้มันแก่มาก มันก็ดีมาก มีพระเถระอายุตั้ง ๙๐ กว่าปี อายุ ๑๐๒ ปี ท่านยังจำความหมายไว้ชัดเจน และมีสติดีมากเพราะฝึกไว้มาก สะสมไว้มาก เป็นรัตตัญญู รู้กาลเวลาได้มากมาย มันอยู่ตรงนี้ บางคนบอกแก่แล้วฝึกไม่ได้ ต้องได้! ถ้าพยายามและทำเสมอ เช่นกำหนด พองหนอ ยุบหนอ นอนแล้วให้กำหนดนักปฏิบัติไม่ค่อยทำ บอกว่าเพลีย เหนื่อย อ่อนใจ ถ้าโยมอยู่ด้วยสมาธิกับจิต อยู่ด้วยสติแล้ว วันนี้เพลียมาก พรุ่งนี้คงไปไม่ไหว ถึงเวลามันจะออกเดินได้ไหว ถึงเวลามันก็พูดได้ ถึงเวลาก็แบกหามได้ นี่อยู่ตรงนี้

ไม่ใช่ว่าเพลียมาก วันนี้ไม่ต้องสวดมนต์ แล้วไม่ต้องพร่ำภาวนา ไม่ต้องรั้งสติ นอนเลย! อย่างนี้ก็ไปไม่ได้ ถ้าเราฝึกต้องสติไว้ทุกอิริยาบถ วันนี้รู้สึกเพลียมาก รู้สึกไม่สบาย คิดว่าพรุ่งนี้จะไปงานไม่ได้ พอถึงเวลากระฉับกระเฉงทันที เพราะมันถึงเวลาที่เคยทำ ถึงเวลาที่เคยพูด ถึงเวลาที่เคยแบกหาม ถึงเวลาที่เคยเขียนหนังสือ มันต้องเขียนแน่ๆ ถึงเวลาก็ไปได้อย่างนี้ แล้วไม่เพลียด้วยนะ คิดว่าไปไม่ไหวแล้ว แต่แล้วกระฉับกระเฉง สะสมหน่วยกิตใช้สติกำหนดไว้ มันก็ออกมาช่วยเราคือ พลังจิต เรียกว่าสมาธิภาวนาที่เรารวมไว้ มันก็จะไปได้อีก จุดนี้นักปฏิบัติไม่ทราบ นักปฏิบัติไม่เข้าใจ

ทำความดี
ต้องให้เสมอต้น เสมอปลาย
จึงจะได้ดี
– หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จัดว่าเป็นนักบวช

โยมที่มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จัดว่าเป็นนักบวช เพราะอยู่ในขอบเขตของนักบวชด้วย บวชกาย บวชวาจา บวชใจ บวชนอก บวชใน บวชจิตใจเป็นพระ ทำจิตใจให้ประเสริฐ นักปฏิบัติไม่ต้องไปดูพระ พระองค์นั้นเป็นอย่างนี้ พระองค์นี้เป็นอย่างนั้น อย่าวิจัยนะ วิจัยตัวเองเถิด พระองค์อื่นช่างท่านประไรเล่า ท่านเป็นอะไรก็ช่างชี ดีช่างสงฆ์ เรื่องของท่าน ท่านจะไปเลือกวัดทำบุญทำไมกัน พบพระก็ตักบาตรไปเถอะ เจอเณรองค์ไหนก็ตักบาตรไป ดีชั่วอย่างไรเราก็ได้บุญอยู่แล้ว แต่เรื่องของท่านที่ทำบาป มันคนละเรื่องกัน คนละทางสายเอก นี่แหละการปฏิบัติธรรมจึงมีประโยชน์

เสียสละความทุกข์ที่อยู่ในจิตใจ

บางคนมานั่งกรรมฐาน เล่าความหลังกันอยู่เสมอ มีแต่ความทุกข์ ขอบิณฑบาตรเสีย ตัดปัญหาได้ไหม เราเสียสละบริจาคทานชั้นสูงโดยไม่เสียสตางค์ เสียสละความทุกข์ที่มันอยู่ในจิตใจ ด้วยการบำเพ็ญจิตภาวนา เจริญวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันกองการสังขาร รู้วิธีสัมผัสจิต รู้ข้อคิดวิธีแก้ปัญหาของชีวิต

ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไปสวรรค์ นิพพาน ที่โยมไปกันมา เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระจุฬามณี เป็นต้น ควรจะนั่งให้เห็นตัวเอง ให้เห็นอารมณ์ของตัวเอง ว่าตัวเองเป็นประการใด แจ้งแก่ใจหรือไม่ประการใด มานั่งกันหลายครั้งหลายคราวก็ยังเอาทุกข์มาอีก เอาทุกข์มาไว้ที่หัวใจ ท่านจะมีความสุขไม่ได้เลย ท่านจะมีแต่ความทุกข์ในบ้านของท่าน…

มานั่งกรรมฐานไม่เคยกำหนดเก็บเอาแต่เสียงด่ามาไว้ในใจ เก็บโน่น เก็บนี่ สิ่งนั้นคือเก็บความเดือดร้อนมาไว้ในใจ ทำให้โยมมีทุกข์ ตรงนี้ไม่มีใครแก้ ยิ่งนั่งยิ่งทุกข์

บางคนบอก หลวงพ่อคะ ฉันมานั่งยิ่งมีทุกข์ ก็มานั่งไม่ถูกเรื่อง นั่งอะไรกัน นั่งอยากเห็นเทวดา นั่งอยากเห็นพระอินทร์ นั่งอยากจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณี มันคนละเรื่องกัน จะไปเฝ้าอย่างนั้นไม่ต้องมาวัดนี้หรอก ไปเฝ้าเอาเลย เหาะขึ้นไปเลย เสกพระคาถาเหาะเหินเดินนภากาศ ไปเฝ้าที่จุฬามณีโน่น เลยมีแต่สร้างกิเลส เป็นเหตุทำลายตนโดยไม่รู้ตัว ควักเงินทำบุญกันไม่พัก ไม่ใช่บุญนะ

ของดีอยู่ที่โยม เอาไปให้ได้

ถ้าโยมมีทิฐิ ไม่ต้องมานั่งกรรมฐาน รับรองทำไม่ได้ ได้กฏแห่งกรรมติดตัวไป แล้วโยมจะเสียใจ ต่อไปภายหลัง เป็นที่น่าเสียดาย มาพบของดีต้องเอาไปให้ได้

“ของดีอยู่ที่ไหนหรือคะหลวงพ่อขา”

“ของดีไม่ใช่อยู่ที่อาตมา อยู่ที่โยม โยมไม่นำของดีมาใช้ โยมก็ไม่ได้ของดีในตัวเอง ของดีมีอยู่ด้วยกันทุกคน แต่ทุกคนไม่สนใจในตัวเองนะ”

จงละทิฐิเสีย ละมานะความเป็นอยู่ในชีวิตจิตใจของตน ทิ้งอารมณ์ของเก่าที่เราเคยมีนิสัยแบบนั้นมา การเจริญกรรมฐานต้องการรู้นิสัยตนเอง ต้องการจะเปลี่ยนภาวะให้กลับร้ายกลายดี มั่งมีศรีสุข

ทำกรรมฐานอย่ามาทำจิ้มๆ จ้ำ อยู่บ้านต้องทำที่บ้านด้วย

ขอให้โยมตั้งใจทำกรรมฐานอย่ามาทำจิ้มๆ จ้ำๆ ต้องกำหนดกระทั่งกลับบ้าน อยู่บ้านต้องทำที่บ้านด้วย กำหนด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้ายแลขวา คู้เหยียด เหยียดขา กำหนดการ เวทนา จิต ธรรมให้ครบ

เดินจงกรม เดินไปไหนก็ตั้งสติไว้ ยืนหนอ ๕ ครั้ง ก็ตั้งสติให้มันถูกต้องจะได้รู้วาระจิตใจของตนและของคนอื่นเขา จะได้แก้ปัญหาตรงนั้น ไม่ใช่แก้ปัญหาไปเอาเจ้ามาเข้าทรงเป็นที่พึ่ง แล้วไหว้ผีสางกัน น่าจะไหว้ตัวเอง ว่าตัวเองมีของดี เอาของดีมาอวดเขาบ้างซิ มีของดีอยู่ในตัวเองเอาไปทิ้ง เอาของไม่ดีมาใช้น่าเสียดายนะ น่าอับอายขายหน้ามีของดีก็ไม่ใช้ เอาของไม่ดีออกมาอวดเขาเสียได้ เป็นที่น่าเสียดายมาก ขอฝากไว้

พุทธะไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย

ท่านสาธุชนทั้งหลาย คนเราเกิดมาเหมือนกันทั้งเพศหญิงเพศชายมีอาการ ๓๒ ครบเหมือนกันทุกคน แต่มันแยกกันออกไปตามเวลาที่สร้างความดีกับเวลาที่สร้างความเชื่อมั่นเป็นตัวสำคัญ บุญกุศลนั้นไซร้จะเท่ากันไม่ได้

คนเรานี่เหรอเกิดมามีบุญวาสนาแตกต่างกันไป ยากดีมีจนก็ไม่เหมือนกัน สติปัญญาก็ไม่เหมือนกัน ฐานะก็ไม่เหมือนกัน ความดีจะเหมือนกันได้อย่างไร บุญกรรมนำแต่งกุศล อกุศล จะแผ่ผลให้แก่บุคคลที่ทำกิจกรรมที่มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ คนเราแตกต่างกันโดยกิจกรรมที่ทำนั้นเอง

ท่านจะรู้ตัวว่าท่านเป็นหญิง เป็นชาย ก็เหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าทรงแสดงชัดเจนว่า พุทธะไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย เป็นได้ทั้งหญิงทั้งชาย สำเร็จเป็นอริยบุคคลได้เหมือนกันหมด เพราะท่านหญิงท่านชายก็มีจิตใจเหมือนกันทุกคนแต่แยกแปลกเพศไปเท่านั้น เพศหญิงหรือเพศชายก็มารวมเป็นจุดเดียว คือ ความดี ความชั่ว รวมอยู่จุดเดียวเหมือนกันหมด คือ เงาบุญ เงาบาป เท่านั้น…

ท่านหญิงท่านชายที่รัก เรามาปฏิบัติ เนกขัมมปฏิบัติ เนกขัม แปลว่า อยู่ร่วมกันด้วยสติปัญญา เนกขัม แปลว่า ออกจากกาม เนกขัม แปลว่า ปฏิบัติการได้สะอาดเหมือนแก้ว แก้วใสอยู่ในดวงใจท่านผู้ใด ผู้นั้นจะมีแต่อภัยทาน ให้อภัยโทษ จะไม่โกรธกัน…

ขอให้คติธรรมโยมจำไว้ ปากไม่พูด จิตไม่คิดถึง จะเป็นสมาธิภาวนา ปากยังพูด จิตยังคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ รื้อฟื้นเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่ โยมจะมีสมาธิไม่ได้ อาตมาพูดมานาน ไม่มีใครตีความตามกฎเกณฑ์วิธีการนี้

ไปไหนปากอย่าไว ใจอย่าเบา เรื่องเก่าอย่านำมารื้อฟื้อ เรื่องคนอื่นอย่านำมาคิด กิจที่ชอบให้ทำ ปลาในหนองบึงมันว่ายขึ้นน้ำ ไม่ว่ายล่องน้ำเหมือนพวกเรา พายเรือล่องมันสบายใจดี ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ของตน คนนั้นจะไม่ได้กุศล ไม่มีการฝืนใจแต่ประการใด

การเจริญกุศลภาวนาต้องการให้ผุดขึ้นมาเอง

การเจริญกุศลพร่ำภาวนาต้องการให้มันผุด ให้มันเกิดขึ้นเองที่จิตใจของท่าน ไม่ใช่ฟังพระเทศน์ ฟังวิทยากร แล้วก็เป็นคนดี เป็นไปไม่ได้แน่ เพราะขาดหลักธรรม ขาดกิจกรรมของชีวิตแล้ว ไหนเลยล่ะท่านจะเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านได้ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไม่ได้ ภาวะก็ไม่เปลี่ยน นิสัยก็ไม่เปลี่ยน จิตใจก็คงเดิม ก็หนักกว่าเก่าเข้าไปอีก ตรงนี้เป็นจุดสำคัญของการปฏิบัติกรรมฐาน ไม่ใช่หมายความว่าจะมานั่งไปสวรรค์นิพพานนะ มาถวายสังฆทาน ฉันจะไปสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ตามใบลานที่เทศน์ พระท่านแต่งกันเสียเลอเลิศ ทำบุญนิดเดียวจะไปสวรรค์ตั้ง ๗-๘ ชั้น ถวายนิดเดียวนั้นไปสวรรค์ ไม่จริงหรอก ไม่มีความจริงเลย เดี๋ยวนี้จิตลามกสกปรก ไปทำบาปแก้ไขปัญหาไม่ได้ ไหนทำทานนิดเดียวจะไปสวรรค์เล่า

บางคณะเขามาอบรมที่นี่กัน วิทยากรพูดกันวันยังค่ำ เดินจงกรมก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ท่านจะได้ของจริงไหม เลยได้ของปลอมเป็นวิปัสสนึกไป เพราะทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้เลย จะได้ของจริงอย่างไรเล่า การปฏิบัติธรรมต้องเอาไปใช้ตลอดชีวิต ต้องหาความสงบที่อาตมาเคยพูดไว้แล้ว เข้าวัด ให้พบ ๓ วัด ไม่ใช่ว่าวัดอัมพวัน มานั่งเงียบบนศาลาหลังนี้แล้วเป็นคนดีนะ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยจะเป็นคนดีได้อย่างไร พระเทศน์สัก ๑๐๐ องค์ ก็ยังดีไม่ได้ เพราะไม่รู้จักปฏิบัติอย่างไร จับจุดไม่ได้ ชีวิตนี้คืออะไร ท่านก็มิทราบเลยนะ แล้วท่านจะเอาอะไรอีกเล่า คงไม่ได้อะไรกลับไป ท่านจะผิดหวังจากวัดอัมพวันไปอย่างน่าเสียดายมาก…

คนรู้มากมีเยอะ พูดตรงไหนรู้หมด ญาณโน้นญาณนี้รู้หมด แต่ตัวเองไม่มีแม้แต่ญาณเดียว เรียกว่ารู้มากไม่ใช่รู้จริง รู้จริงต้องทำ รู้จำต้องท่อง รู้แจ้งถึงจิต มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมจิตอยู่ตลอดเวลาถึงจะรู้จริง…

เราเรียนพุทโธโลยี ต้องการรู้จริง ทุกสิ่งให้มันผุดขึ้นมาจากจิตใจ เรียกว่า องค์ภาวนา ภาวนาให้มันเกิดเองว่าของจริงน่ะมันเกิดเอง ไม่ใช่เอาของปลอมมาใส่ใจ หรือเพชรน้ำหนึ่งในดวงใจก็ไม่มีแล้ว เอาเพชรปลอมมาใส่กัน

มานั่งกรรมฐานเพื่อให้เห็นตัวเอง

มานั่งกรรมฐานเพื่อให้เห็นตัวเอง ไม่ใช่ว่ามานั่งเห็นพระพุทธเจ้า เห็นโน่นเห็นนี่ เดี๋ยวจะมาพูดว่า มานั่งวัดอัมพวันตั้ง ๗ วัน ไม่เคยเห็นอะไรเลย ไม่ต้องการเห็นอะไรหรอก ต้องการจะเห็นกิเลสของตัวเองว่าตัวเองมีกิเลสเท่าไร ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองน่ะมีกิเลสอย่างไร ไปรู้คนอื่นดี คนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี แต่ตัวเองเป็นอย่างไร การเจริญกรรมฐานต้องการรู้ตัวเอง ไม่ต้องไปดูคนอื่นเขา จึงต้องกำหนดว่าเห็นหนอ เห็นด้วยปัญญา ต้องดูตัวเรา รู้หนอที่ลิ้นปี่ รู้หนอว่าเรามีอะไรบ้าง มีอะไรขัดข้องในเทคนิค ในชีวิตเราบ้าง ต้องดูตรงนี้นะ ไม่ใช่ไปดูคนอื่น…

คนมีสติคือคนที่เจริญกรรมฐาน ผีไม่เข้า เจ้าไม่สิง

คนที่มีสติดีคือคนที่เจริญกรรมฐาน ผีไม่เข้าเจ้าไม่สิง คนผีเข้าเจ้าสิง อาตมาไม่เชื่อได้เพราะเหตุใด ส่วนมากจะเป็นแต่โยมผู้หญิง ยกตัวอย่างให้เห็นตามวัด เขาชอบสวดภาณยักษ์ นะโม… ว่าเสียงเหมือนยักษ์ ผู้หญิงสองคนดิ้นแล้ว ตูมๆ ผีเข้า แล้วทำไมไม่เข้าทุกคนล่ะ สอบสวนทวนถามแล้ว สองคนนี่ใจอ่อน เป็นลมเพลมพัด ถูกน้ำมนต์ไม่ได้ ประเภทใจอ่อนทั้งนั้น ผีถึงจะเข้าเจ้าถึงจะสิง ใจเข้มแข็งอดทนฝึกกรรมฐานไว้ ผีไม่เข้าเจ้าไม่สิง ไม่ต้องไปหาอาคมแต่ประการใด

ตรงนี้เป็นหลักสูตรของผู้มีใจเข้มแข็ง มานั่งเจริญกรรมฐานต้องจิตใจเข้มแข็ง มาฝึกความอดทนกันนะ ไม่ใช่มานั่งเล่นกันอย่างนี้ มานั่งกรรมฐานนี่เป็นการออกแขก ถ้าออกแขกดีโยมจะดีตลอดชีวิต ถ้าลิเกโรงใดออกแขกไม่ดี เล่นไม่ดีตลอดชีวิต ดูหน้าตารู้เลยว่าคนนี้เอาดีไม่ได้ มาทำกรรมฐานก็ได้บาป ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นคุณประโยชน์แต่ประการใด จุดนี้เป็นจุดที่น่าศึกษา น่าแสวงหาความรู้กัน

คนเป็นโรคประสาทเกินกำหนด นั่งสมาธิไม่ได้

การเจริญกรรมฐานไม่ใช่ง่ายนะ ต้องคนมีบุญวาสนาถึงจะมาได้ ท่านทั้งหลายนับว่ามีบุญวาสนา อย่าทิ้งวาสนาทิ้งบุญเสีย บุญคือความสุข มาหาความสุขกัน ต้องชำระใจให้สะอาดหมดจด เรียกว่า กรรมฐานถึงจะเป็นบุญ ถ้าจิตใจโยมสกปรกลามกอยู่เสมอ โยมจะมีความสุขรึ? ไม่ได้บุญเลยนะ…

คนเป็นโรคประสาทเกินกำหนดที่นั่งสมาธิไม่ได้นะ มันควบคุมไม่ได้ สติควบคุมจิตไม่ได้ อย่าให้นั่ง ขอฝากท่านอนุศาสนาจารย์ไว้ด้วย ถ้าไปทำจะเสียชื่อนะ ที่วัดนี้มีตัวอย่าง อาจารย์ปริญญาโทมากับยุวพุทธหลายปีมาแล้ว ปฏิบัติได้ ๓ วันเท่านั้นแหละ ออกมานั่งกับอาตมาเลย เขาบอกว่าเขาเป็นพระโสดา เมื่อวานมาดีๆ แท้ๆ ทำไมมานั่งเป็นโสดาเสียล่ะ ญาณขึ้นหรือยังไง เลยมาหาว่าถูกต้นพิกุลบ้าง ถูกผีในวัดอัมพวันบ้าง เลยสอบถามญาติกาว่านี่มาจากไหน เขาบอกว่าเพิ่งออกจากศรีธัญญามายังไม่พอ ๓ ปี จำไว้เลยนะ ออกจากศรีธัญญามายังไม่พอ ๓ ปี เจริญสมาธิไม่ได้ โปรดจำไว้ด้วย บางคนมารำสวย รำไปรำมามานั่งบเก้าอี้เราเลย บอกว่าท่านยังไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าสำเร็จแล้ว นี่พวก ๖๐% อย่าเจริญสมาธิ

มีคนหนึ่งรูปร่างสวย พูดจาไพเราะเจ้าคะเจ้าขา เราก็เห็นหนอ เอ๊ะ ทำไมตาขวาง เลยบอกแม่ใหญ่ (แม่สุ่ม ทองยิ่ง) ว่าอย่าไปรับเลย แม่ใหญ่บอกว่าไม่เป็นไร เขามีหน้ามีตารับไว้หน่อย ๓ วันเท่านั้นแสดงอภินิหารเลย เป็นนางฟ้ารำป้อ เสียหายมาก ไม่ใช่ว่ามานั่งกรรมฐานแล้วเป็นคนบ้าบอ กลายเป็นคนวิกลจริต หาใช่ไม่ แต่ปัญหามีอยู่ว่า เขาปกติไหม ถ้าเขาไม่สามารถจะรักษาตัวเองได้ ไม่สามารถจะควบคุมจิตได้ อย่าให้เจริญสมาธิ ไม่ได้เด็ดขาด… ขอสรุปเพื่อให้ข้อคิดแก่ญาติโยม เป็นโรคประสาทเจริญกรรมฐานไม่ได้นะ สติไม่พอ ต้องไปรักษาก่อนให้ภาวะสู่ความเป็นปกติก่อนถึงจะได้ผล

คนที่เจริญกรรมฐานได้ชื่อว่าเป็นญาติในพระศาสนา

การเจริญกรรมฐานเป็นญาติกับพระศาสนา ถ้าท่านไม่เจริญกรรมฐาน บวชกาย วาจา ใจ เป็นไตรสิกขาสามแล้ว ท่านจะไม่เป็นญาติกับพระศาสนาเลย จะสร้างศาลาสัก ๑๐๐ หลัง ก็ไม่มีโอกาสเป็นญาตินะ ขอฝากนักกรรมฐานไปตีความคิดให้ใกล้ตัว

อย่าหมิ่นประมาทต่อพระกรรมฐาน

ทำอะไรทำให้จริงเถอะ ทำจริงจะได้ผลภายใน ๗ วัน มีตัวอย่างที่วัดนี้ ถ้าทำไม่จริง จิ้มๆ จ้ำๆ ไม่ได้อะไร จะได้บาปนะ อย่าหมิ่นประมาทต่อกรรมฐาน อย่าไปว่าหนอๆ แหนๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว ระวังนะ “หนอ” มีราคาหลายล้านนะ “หนอ” เป็นคำภาษาไทย แปลมาจากภาษาบาลีว่า “วะตะ” ที่นี่วุ่นวายหนอ… ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ… เชิญมาได้ทุกเวลามีหลักอยู่ แต่จะไม่ขอกล่าวให้ยืดยาวออกไป “หนอ” เป็นตัวรั้งจิต ให้มีสติดี

มานั่งกรรมฐานต้องละทิฐิมานะ ตัดปลิโพธกังวล

ขอฝากญาติโยมไว้ ความสำเร็จมันอยู่ที่จิตใจ ถ้าจิตใจโยมไม่ดี ไม่มีพลัง ความสำเร็จจะไม่มี มีแต่ความล้มเหลว มีแต่ความหายนะ ตรงนี้ขอเน้น ไม่ใช่มาแล้วถือเนื้อถือตัว ว่าข้าเป็นคุณหญิงคุณนาย ข้าเป็นอธิบดี ข้าเป็นอะไรก็ว่ากันไป มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ก็เป็นมนุษย์สมบัติ เอาแค่นี้ก่อน ไม่ต้องเอาหน้าที่มาพูดกัน ไม่ต้องเอาตำแหน่งมาพูดกันตอนนั่งกรรมฐาน ต้องละหมดแล้ว ต้องปลดออกไปก่อน เรามานี่ต้องละทิฐิมานะแล้ว ต้องตัดปลิโพธกังวลทางบ้านมาแล้ว ถึงจะได้ผล

ต้องถอดเครื่องต้น เครื่องทรงออก ข้าพเจ้าเป็นชั้นพิเศษ ซี.๘ ซี.๙ ถ้าจิตใจยังเป็น ซี.๘ ซี.๙ ปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้หรอก เราเป็นด๊อกเตอร์ เป็นนักวิชาการ จะปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้เลยนะ พอนั่งหลับตาก็จะคิดถึงวิชาการ คิดถึงเครื่องต้นเครื่องทรง ท่านจะไม่ได้อะไร ขอฝากท่านไว้ ทำได้ขั้นๆ นี่ท่านจะได้ผล…

พยายามเดินจงกรมให้ได้ กำหนดสติปัฏฐาน ๔ ให้ได้ เท่านี้เอง ไม่ต้องไปอธิบายกันเลอเลิศไป เท่านี้ยังทำไม่ได้ สอบตกแล้วจะให้เลื่อนขึ้นไปญาณนั้น ญาณนี้ เดินระยะ ๔ ระยะ ๕ ระยะ ๖ แค่ระยะ ๑ ก็ยังไม่ผ่าน สอบตกแล้ว จะให้ขึ้นชั้นไหม เหมือนชั้นประถมศึกษาไม่ได้ ไปขึ้นชั้นมัธยม ไปสร้างปัญหาให้ชั้นมัธยมเขาด้วย ชั้นมัธยมไม่เอาไหน เข้ามหาวิทยาลัยก็ไปสร้างปัญหาให้มหาวิทยาลัยอีก เลยไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้…

การละปลิโพธ

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จะต้องปฏิบัติให้ห่างไกลจากหมู่คณะ ละปลิโพธกังวลห่วงใยในทุกสิ่งทุกอย่างเสีย เพราะเป็นทางเดียว ทำคนเดียว สำเร็จคนเดียว แม้แต่ผู้สอนก็เป็นเพียงผู้ชี้แนะนำชี้ทางในการปฏิบัติ และให้ความอุปถัมภ์อุปการะ ให้มีความสะดวกสบายเกี่ยวกับที่อยู่ อาหาร ยารักษาโรคและสถานที่ในการปฏิบัติตามสมควรเท่านั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องมีใจเป็นอิสระ วางจากพันธะทั้งปวงคือไม่มีปลิโพธ ๑๐ ประการ คือ

๑. ไม่ห่วงบ้าน หรือ ห่วงวัด
๒. ไม่ห่วงสกุล
๓. ไม่ห่วงลาภ
๔. ไม่ห่วงหมู่คณะ
๕. ไม่ห่วงทำธุรกิจ
๖. ไม่ห่วงในการเดินทาง
๗. ไม่ห่วงญาติ
๘. ไม่ห่วงในโลก
๙. ไม่ห่วงในการเล่าเรียน
๑๐. ไม่ห่วงในการที่จะแสดงฤทธิ์

วิปัสสนาไม่มีสำเร็จ ต้องทำไปเรื่อยๆ

เราทำกรรมฐานนั้น เวทนามันสอนเรา มันแยกออกไป เวทนาแยกออกไปเป็นสัดส่วนนะ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ เวทนาแยกออกไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ปวดหนักเข้า หนักเข้าแตกเลย มันมีจุดแตกออกมานะโยมนะ แล้วมันจะหายปวดทันที อย่างนี้ทีแรกนี่ไม่หายหรอก จะนั่งกี่ชั่วโมงทำกี่ครั้งมันก็ต้องมีหลัก ๔ ประการ ไม่ใช่ว่าเราสำเร็จแล้วได้โสฬสญาณ คำว่าสำเร็จวิปัสสนาไม่มี ทำเรื่อยๆ ไปเถอะ แต่เราจะไปพูดกับเขาทุกคนไม่ได้นะ

โอ๊ยดิฉันสำเร็จวิปัสสนา สำเร็จกรรมฐาน เดี๋ยวเขาจะโต้เอานะ บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะ ยังไม่สำเร็จ เท่านี้ พูดเท่านี้ เราก็บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะแต่ก็เพิ่งเริ่มต้น เราก็ต้องอ่อนน้อม ถ่อมตนไปอย่างนี้ ที่นี้ใครจะทำถึงขั้นไหนก็ตามต้องผ่านหลัก ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกคน ต้องมีเวทนาทุกคน แต่มีเวทนาแล้ว เรากำหนดได้ ตั้งสติไว้ให้ได้ไม่เป็นอะไรเลย และเวลาเจ็บระทวยป่วยไข้จะไม่เสียสติ จะไม่เสียสติเลยนะ และเราทำวิปัสสนานี่มันมีเวทนาหนักยิ่งกว่าก่อนจะตาย เวลาก่อนจะตายมันจะหนักเหลือเกิน เราปวดมากก็กำหนดเข้าโยม กำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอไป

ปฏิบัติธรรมทดแทนน้ำนมแม่ได้

ผู้สนใจปฏิบัติธรรมะเป็นการทดแทนน้ำนมของแม่ได้ ข้าวป้อนที่แม่ป้อนมาที่พ่อหาเลี้ยงมามีทั้งน้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่คนเดียวกันคือพ่อแม่ของเราอยู่ในตัวโยมทุกคน ขอให้สร้างกุศลเท่านั้นเอง ปฏิบัติกรรมฐานให้ได้รับผล ได้ส่งผลให้พ่อแม่ได้ พ่อแม่ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภพ จะได้มาปรารภรับส่วนบุญส่วนกุศล นี่ได้สูงสุดตรงนี้คือการเจริญพระกรรมฐานดีที่สุดแล้ว ขอให้ตั้งใจทำ จะกลับไปบ้าน ขอให้สวัสดีมีชัยและติดตามผลเอาไปต่อเนื่องโดยแก้ปัญหาในครอบครัว แก้ปัญหาในสังคม แก้ปัญหาให้ลูกหลาน อย่าไปสร้างปัญหาอีกต่อไปเลย กรรมฐานแปลว่า สร้างกิจกรรม ไม่ใช้สร้างปัญหา กรรมฐานแปลว่า แก้ไขปัญหา จะไม่มีการสร้างปัญหาให้ใครเดือดร้อนอีกต่อไป แล้วจะสร้างแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรของทุกท่านโดยทั่วหน้ากัน

คนไร้บุญวาสนาช่วยยาก

คนไร้บุญวาสนามาครั้งอดีตชาติ ไม่มีนิสัยมาแต่ชาติก่อน ชาตินี้ทำยากมาก ไม่มีโอกาสที่จะมาเจริญกุศลภาวนาที่สูงสุดในพระพุทธศาสนาได้ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง โดยอริยสัจ ๔ ของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ได้มีครูอาจารย์แต่ประการใด พระองค์ไปหาเอง แสวงหาโมกขธรรมอยู่ถึง ๖ ปี แล้วพระองค์เอาความดี ๖ ปี เอามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาถึง ๔๕ ปี มีพระชนมพรรษา ๘๐ พระพรรษา เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน

ท่านทั้งหลายที่เป็นสงฆ์องค์เจ้าที่มาอยู่กับเรา เราวิจัยทุกวัน ถ้าท่านไร้บุญวาสนา ไม่ต้องพูดกันเลย ท่านไม่เอาหรอก ยัดเยียดยังไงก็ไม่เอา ของดีก็ไม่เอาแน่ๆ เพราะไร้บุญวาสนา จึงไม่สนใจเรื่องนั้นแต่ประการใด ไปสนใจนอกหน้าที่หมด จะช่วยอย่างไร ไม่ใช่ง่ายเลย แต่ช่วยคนที่ตกนรกขึ้นจากนรกก็ช่วยยาก ไม่ใช่ง่ายเลย แต่ช่วยคนที่เขามีบุญวาสนานำส่งผลกุศลก็ช่วยถึงคราวม้วยก็ไม่ม้วยมรณา ช่วยได้ง่าย คนที่ดีมีปัญญาช่วยง่าย คนที่ไร้บุญขาดวาสนา เหมือนต้นไม้ไม่มีใบ ไร้ใบไร้วาสนา ช่วยยาก

สร้างความดีต้องลงทุนความลำบาก

สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากนะ ถ้าท่านลงทุนความสบายท่านเป็นคนชั่วโดยไม่รู้ตัวนะ สร้างความชั่วนะ ชอบกินสบาย ชอบนอนสบาย ไม่เอาการเอางาน เอาปูนหมายหัวไว้เลย เอาดีไม่ได้ เป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้แน่ๆ สร้างความดีต้องมีอุปสรรค ท่านที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ท่านอาจจะรู้นะ ถ้าเกิดดีขึ้นมาจะโดนอิจฉาริษยา โดนอย่างโน้นอย่างนี้ตลอดรายการ นี่แหละ ความดีต้องมีอุปสรรค ความชั่วนี่ไม่มีใครมาค้าน ไม่มีอุปสรรค ไหลไปสู่ความชั่วคือจิต เป็นธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเทปบันทึกเสียง มันชอบไหลไปสู่ที่ต่ำ ฉันใดก็ฉันนั้น

จิตนี้มันไหลขึ้นเหนือไม่ได้ กระผมไปอยู่กรรมฐานเจริญธุดงค์ที่บนยอดเขา ๗ วัน ๗ คืน อยู่กับหลวงพ่อในป่า ฝนตก ๗ วัน ๗ คืนไม่ได้ฉันข้าวปลาขึ้นไปยอดเขาเป็นแถว โอ้ปลานี้มันวิ่งขึ้นเหนือน้ำ ขึ้นไปบนภูเขาได้ เขาเรียก ปลาพล่านน้ำ หลวงพ่อใหญ่ท่านบอกว่าปลามันต้องสวนขึ้นเหนือน้ำ คนเราต้องฝืนใจ ฝืนใจขึ้นภูเขาสูงได้ ฝืนใจแล้วสูงกว่าคน ถ้าคนไหนฝืนใจไม่ได้ ปล่อยไปตามอารมณ์ ตามใจคนแล้วเสียหมด กลายเป็นคนจิตต่ำไม่มีใจสูงแต่ประการใด ออกมาอย่างนี้ ชัดเจนมาก ขอเรียนถวาย เราก็ได้ธรรมะอีกเช่นกัน เราไปดูปลาที่น้ำเชี่ยวๆ มันจะวิ่งขึ้นเหนือน้ำ ดักลอบดักไซได้ปลาต้องหนีหน้าลงร่องน้ำ มันวิ่งขึ้น น้ำยิ่งไหลแรงมันยิ่งวิ่งมามาก ฉันใดก็ฉันนั้น สร้างความดีต้องฝืนใจมาก ถ้าปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตัวเองแล้ว รับรองท่านจะดีไม่ได้ ต้องอดทน สมบัติสำคัญต้องอดทน

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์สอนพระนวกะ ผู้รวบรวมฯ)

บวชเนกขัมมะ ไม่ใช่บวชชีพราหมณ์

ท่านทั้งหลาย เราต้องแก้กรรมของเราเอง มานั่งเจริญพระกรรมฐานต้องการจะรู้เวรรู้กรรม ถ้าจิตของท่านสงบจะระลึกเหตุการณ์ได้ ชีวิตนี้จะมีความสุข เราต้องมีทุกข์มาก่อน ความสุขได้มาจากความทุกข์ คนที่จะมีความสุขแท้ต้องผ่านทุกข์ระทมขมขื่นตลอดรายการถึงจะรู้จริง มันยังไม่รู้จริงกันหรอก รู้กันสั้นๆ แค่หัวบันได ไม่มีการรู้ตลอดไปยาวนานแต่ประการใด ถึงอนาคตวันข้างหน้านั้น

ท่านสาธุชนทั้งหลาย เรามาบวชเนกขัมมะไม่ใช่บวชชีพราหมณ์ เนกขัมมปฏิบัติ แปลว่า มาหาความสงบของชีวิต เราสงบจิตของเรา อย่าไปสนใจกับคนอื่น อย่าไปสนใจกับเรื่องที่มันเลวร้ายในชีวิต จะทำให้เสียเวลา ชีวิตท่านจะเป็นหมัน ทรัพยากรชีวิตท่านจะหมดไปตามกฏแห่งกรรมนั้น อันนี้มีความหมายมาก

การเจริญพระกรรมฐานต้องการเอาบุญมาใส่ที่จิตของโยม ไม่ต้องไปวุ่นวาย ตัดปลิโพธกังวล มาฝึกให้อดทน ฝึกให้ฝืนใจ ถ้าคนเราฝืนใจไม่ได้ ปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตัวเองแล้ว ชีวิตท่านจะแร้นแค้น ชีวิตท่านจะไม่มีแปลนและแผนผัง ทำอะไรจะไม่รู้หน้าที่การงาน ไม่รับผิดชอบด้วยประการทั้งปวง

ขอเจริญพระว่า คนเราดีทุกคนไม่ได้ และชั่วทุกคนก็ไม่ได้ ทุกคนอยากดีทั้งนั้นแต่การจะดีได้หรือไม่ดีได้นั้น ถ้าท่านไม่ปฏิบัติธรรมรับรองว่าดีได้ยาก แต่ฝรั่งเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทำไมเขาได้ดี ข้อเท็จจริงเขาปฏิบัติทีเดียว เขามีธรรมะประจำจิต ประจำใจของเขา

หนอ…นี่เป็นคำของพระพุทธเจ้าแท้

สติปัฏฐาน ๔ นี่เราเจอพระท่านในป่า รำลึกชาติได้ สองรำลึกถึงบุพการีได้ สามรำลึกชาติครั้งอดีตได้ สี่รู้กฏแห่งกรรมที่ตนทำกันไว้ ห้าแก้ไขปัญหาได้ เท่านี้เหลือเกิน เหลือกินเลย ไม่ใช่อย่างเดียว และไม่ใช่ขอขมาที่เราทำ หนอนี่ของพระพุทธเจ้าแท้

หนอนี่แปลจากคำว่า วะตะ เป็นภาษาบาลี อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารไม่เที่ยงหนอ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะเห็นดวงธรรมแล้วหนอ

ที่นี่วุ่นวายหนอ คือ ยสกุลบุตร เป็นคำหนอ…หนอตัวนี่รั้งสติดีมากให้อยู่กับจิต รั้งจิตให้อยู่กับสติให้ได้ เช่น แสงนีออน บัลลาต สตาร์ทเตอร์ แล้วจะให้หนอติดสตาร์ทเตอร์ทำให้ไฟติด ถ้าไม่มีสตาร์ทเตอร์เอาออกเสีย ไม่ติดหรอก เป็นสื่อสำคัญมากคือ สตาร์ทเตอร์ หนอนี้เป็นสื่อให้สติอยู่กับจิต เรียกว่า หนอ… โอ้หนอ… โกรธหนอ… เสียใจหนอ… หนอนี่ทำให้เป็นกรมประชาสัมพันธ์ สื่อสารประสานงาน ให้จิตกับสติอยู่ด้วยกันให้เกิดปัญญา เปิดสวิตช์ปั๊บสตาร์ทรถปั๊บๆๆๆ ทำให้ไฟติด ต้องตีความให้ละเอียด

แก้ปัญหาไม่ยากเลย ต้องแก้ตัวเองก่อน

กำลังเสียใจ กำลังกลุ้มใจยังไม่แก้ตัวเอง แก้ตัวเองไม่ได้ ไปแก้คนอื่นไม่ได้ เข้าใจตรงนี้อีกอย่าง ถ้าเรายังกลุ้มใจอยู่นี่ จะแก้คนอื่นนี่ก็ผิดเลยนะ คอมพิวเตอร์ตีผิดแล้วนี่ นี่กระแสไฟไม่พอ ตีคอมพิวเตอร์ผิด ก็สะสมมาผิดนี่ตรงนี้

การแก้ปัญหาไม่ยากเลย แต่ต้องแก้ที่ตัวเองก่อน ถ้าแก้ตัวเองได้แล้ว ถึงจะไปแก้คนอื่นเขาได้ ต้องเขามีเต็มแล้ว ๘๐% ถ้าเรามีแค่ ๖๐% อย่าไปแก้ปัญหาผู้อื่น แก้ไม่ได้เลย แต่ทีนี่เราให้เขามานั่งกรรมฐาน ต้องให้เขาแก้เองนะ เราอย่าไปแก้ทุกคนไม่ได้หรอก เพียงแต่แนะแนว แนะแนวให้คุณไป คุณอย่างนี้ แนะแนวอย่างนี้ เอาไม่เอา ไม่เอาเลยไป แต่เราจะไปแก้ปัญหาดังที่กล่าวมาคงไม่ได้อย่างนี้ แต่เราแผ่เมตตาได้ ว่านี่หม้อแบตเตอรี่รั่วเลย หมดกุศลแล้วแผ่ไป ไฟไปเข้าหม้อก็เก็บไม่อยู่ เก็บไฟไม่อยู่ ช่วยไม่ได้เลย

ปฏิบัติธรรมใครทำ ใครได้

เราดีแต่ไปวัดอารมณ์คนอื่น ให้มันเสียโอกาสและเวลาของท่าน ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ช่วยกันไม่ได้ ภรรยาปฏิบัติธรรม มีธรรมะประจำจิตใช้ชีวิตที่ถูกต้องตามครรลองของชีวิตแล้ว สามีก็คงไม่ได้ ต่างคนต่างทำกัน สามีนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในวัด ภรรยาตามมา ภรรยาไม่สนใจ ก็ห่างเหมือนฟ้ากับดิน แน่นอนที่สุดจะไม่พบกันในชาติหน้าต่อไป

การเจริญกรรมฐานเป็นการสอนตัวเอง

การเจริญกรรมฐานต้องการจะสอนตัวเอง ไม่หมายความว่าให้คนอื่นมาสอนเรา เราดื้อด้านจะให้คนอื่นมาสอนได้อย่างไร การมาเจริญกรรมฐานต้องการจะพิสูจน์ตัวเองว่าตัวเองเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นหลักฐานในชีวิตจิตใจบ้าง ต้องการจะพิสูจน์ว่าในตัวเองมีความชั่วเท่าไร มีความดีเท่าไร แก้ปัญหาได้หรือไม่ประการใดสร้างแต่เวรกรรมหรือเปล่า หรือสร้างแต่บุญกุศล ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย สร้างบาปก็ขาดทุน สร้างบุญท่านจะรู้ว่ากำไรของชีวิตคืออะไร ชีวิตท่านจะมีค่าด้วยกำไรอันนี้ เวลาก็จะมีประโยชน์ทุกนาทีทอง เกิดประโยชน์ต่อกิจกรรมของท่านมาก ท่านจะไปไหนมีแต่คนนับหน้าถือตา มีทรัพย์ มีชื่อเสียง มีความรัก

กรรมฐานทำทุกวันให้เสมอต้นเสมอปลาย

เวลานั่งปฏิบัติกรรมฐาน ให้หายใจให้ลมละเอียด ให้เสมอต้นเสมอปลาย ให้สติเรานี้ไปกับอารมณ์ที่หายใจเข้าออก ถ้าสมาธิเราดี สติก็ยึดมั่นอยู่ในจุดของสมาธิ มีทั้งรู้ทั้งเข้าใจมันทำให้เราเก็บหน่วยกิตไว้ในจิตใจได้มาก เมื่อเก็บไว้ได้มากแล้ว ก็จะมีพลังสูง หมายความว่า เราเก็บไว้ได้มาก เราจะแผ่เมตตาไปให้ใครก็จะได้รับผล เพราะมีพลังสูง บางทีเราทำใหม่ๆ ไม่ได้ทำทุกวันมันทำให้จืดจางแล้วก็หายไป ถ้าเราทำทุกวันเสมอต้นเสมอปลาย จะทำให้เรามีความคิดแปลกกว่าเดิม เมื่อก่อนเรามีความคิดไม่มากนัก คิดธรรมดาตามปกติ แต่จะมีแปลกออกมาที่เป็นความถูกต้อง มันจะทำให้เรารู้ของจริงได้

เพราะฉะนั้นเราปฏิบัติธรรม ก็อย่าได้กังวล ทำให้ชำนาญ อย่าคิดว่าทำได้แล้วเลิกกันไป เหมือนอย่างที่บางคนบอกว่าทำบุญแล้ว สร้างโบสถ์แล้ว สร้างศาลาแล้วเลยไม่ต้องทำ เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องทำอยู่ทุกวัน เพราะการกระทำของมนุษย์นี้มันเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าจึงสอนจุดนี้เป็นจุดสำคัญ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดจากตรงนี้

ก็ต้องไปอยู่ตรงนั้น เลือกเกิด เลือกตายไม่ได้ ชัดเจน ถ้าเราทำกรรมฐานได้ปัจจุบันแล้ว อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอา ทำกรรมฐานให้ได้จังหวะ ให้ได้ปัจจุบัน นั่นแหละตัวจริงอยู่ตรงนั้น

…ญาติโยมอาจเห็นอาตมาอยู่เฉยๆ คิดว่าไม่ได้ทำกรรมฐานหรือมันไม่ใช่อย่างนั้น อาตมา หายใจ เข้า-ออก มีสติอยู่เสมอ จะหยิบอะไรก็มีสติเพราะเคยแล้ว ชำนาญแล้ว หูได้ยินเสียงสติบอกทันที คนมาโกหกแท้ๆ อาตมาบอกก็ไม่เคยผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตามทำให้ชำนาญ เชี่ยวชาญ ชำนาญการ มองเห็นอะไรสติจะบอกว่า ของนี้ดีหรือชั่วประการใด

คนนี้คบได้หรือไม่ หรือพูดเชื่อถือไม่ได้ ไม่เคยพลาด ที่เราพูดเล่นกันนั้น อีกเรื่องหนึ่งมันคนละอย่างกัน…

ด่าพ่อ ด่าแม่มาเจริญกรรมฐาน
ไม่ได้ผล ต้องถอนคำพูด ขอสมาลาโทษเสีย

อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดีจะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อน คือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษพ่อแม่เสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ถ้ายังด่าพ่อแม่ทิ้งไว้ แล้วมาเจริญกรรมฐาน อาตมาขอเจริญพรว่าเจริญไปอีกร้อยปีก็ไม่ได้ผลเพราะเวรกรรมตามสนอง

หากท่านทั้งหลายเคยด่าท่านผู้มีพระคุณ ถอนคำพูดแล้วขอสมาลาโทษเสีย ท่านจะได้ผลจากการเจริญกรรมฐานทันที เหมือนพระภิกษุต้องแสดงอาบัติให้บริสุทธิ์เสียก่อน แล้วมาเจริญกรรมฐานจึงจะได้ผล เช่น แม่แต้มอยู่ที่บ้านเตาปูนใต้วัดสว่างเจริญกรรมฐานมาตั้ง ๗-๘ ปี ไม่ได้ผลเพราะเรื่องอะไร อ๋อ! แกด่าสามีแกที่เป็นปลัดอำเภอชื่อ ปลัดเขียว แม่แต้มแกด่าผัวเก่ง มาปฏิบัติคราวรุ่นแม่ใหญ่บอกแม่แต้มเอ๊ย ขออโหสิกรรมเสีย บอกดวงวิญญาณให้อนุโมทนาต่อพระสงฆ์ด้วย หลังจากนั้น ก็ขออโหสิกรรมให้ดวงวิญญาณรับทราบว่า พ่อเอ๋ย ฉันขอสมาลาโทษ กายกรรม วจีกรรมต่อดวงวิญญาณ ขอพระสงฆ์รับทราบอนุโมทนาแล้วยะถาสัพพีให้ ตั้งแต่นั้นมา แม่แต้มเข้าผลสมาบัติได้ เจริญกรรมฐานได้ผลวันนั้นเลย…

อีกบ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน มีลูกเมียหลวงติดตามพ่อไป แล้วมาบอกแม่ แม่ก็บอกพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็กลับไปด่าพ่อหาว่าพ่อไม่สงสารแม่ของตัวแล้วมาบวชที่วัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ ปวดหัวไม่พัก เป็นโรคจะกลายเป็นคนวิกลจริต อาตมาดูกฏแห่งกรรมแล้ว ถามว่านี่พ่ออยู่ที่ไหน บอกพ่ออยู่กับเมียโน้นเมียนี้ แล้วก็เคยด่าพ่อไหม บอกเคย พ่อทำแม่ผมเจ็บใจ ผมก็ด่าเอา นี่แหละไปบวชก็ไม่ได้ผล ไปถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษ กับพ่อเจ้าเสีย แล้วเจ้าจะมาเรียนมานั่งกรรมฐานได้ผลแน่ๆ คนที่ไม่ได้ผลเพราะกฏแห่งกรรมตามสนอง