ปรากฏการณ์ที่วัดอัมพวัน

โดย ไพจิตร ลีนุกูล

ข้าพเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง ที่ใฝ่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สนใจในการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ภาวนาและนั่งสมาธิมาตั้งแต่เล็ก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเกิดมาในครอบครัวที่ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม นับตั้งแต่คุณพ่อ คุณแม่ ทำให้ทุกคนในครอบครัวสนใจในการปฏิบัติธรรมกันทุกคน ปัจจุบันข้าพเจ้าอายุ ๓๖ ปี รับราชการในสังกัดวิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เริ่มรู้จักพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล หรือในนามที่บุคคลทั่วไปเรียกว่า หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จากหนังสือวิปัสสนาสื่อวิญญาณ เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ติดตามผลงานของพระเดชพระคุณท่านฯ จากหนังสือ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เรื่อยมา จวบจนข้าพเจ้าได้รับคำสั่งย้ายจากกรมการปกครองให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมที่วิทยาลัยการปกครองตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันและเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๘ ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากกรมการปกครองแจ้งว่า กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการ อบรมปฏิบัติธรรมตามโครงการแสงส่องใจพ้นภัยเอดส์ ระหว่างวันที่ ๓ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ณ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงเชิญชวนเพื่อนข้าราชการอีกท่านหนึ่ง แสดงความจำนงขอเข้าร่วมการอบรมปฏิบัติธรรมตามโครงการดังกล่าว และสิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จริงที่ข้าพเจ้าประสบในระหว่างการปฏิบัติธรรม โดยจะขอแบ่งการนำเสนอออกเป็น ๒ ภาค คือ

๑. ภาคประวัติการปฏิบัติธรรม
๒. ภาคประสบการณ์พิเศษที่วัดอัมพวัน

ขอให้ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำเสนอดังต่อไปนี้ แต่ขอให้ใช้สติ ในการพิจารณา เพราะสิ่งที่ประสบต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะตน ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่จริง ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาอวดอุตริมนุษยธรรม แต่มีเจตนาจะเผยแผ่บารมีของพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) และมุ่งมั่นให้ผู้เจริญทั้งหลายเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมจะได้พึงสังวรในการปฏิบัติตนให้มีชีวิตอยู่เพื่อกระทำความดีต่อไป

๑. ภาคประวัติการปฏิบัติธรรม

ข้าพเจ้าเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติธรรมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเทศบาลวัดบางสะแกใน ฝั่งธนบุรี ในวิชาศีลธรรม โดยมีพระมหาสมพิศ แห่งวัดเวฬุราชินเป็นครูผู้สอน ในชั่วโมงการเรียนได้มีการสอนนั่งสมาธิด้วย โดยใช้องค์ภาวนาว่า พุทโธ และเมื่อสำเร็จชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ข้าพเจ้าก็สอบเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ขณะนั้นข้าพเจ้ามีบ้านพักอาศัยอยู่ย่านซอยวัดบางสะแกนอก ตลาดพลู ธนบุรี ในการเดินทางด้วยเท้าไปโรงเรียน จะต้องเดินผ่านวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทุกวัน ด้วยใจที่ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมอย่างไรไม่ทราบ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินเข้าวัดปากน้ำ เพื่อขอเข้าไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานตามแนวของพระมงคลเทพมุนี หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ โดยใช้องค์ภาวนาว่า สัมมาอาระหัง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็มักจะไปฝึกนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดปากน้ำอยู่เป็นประจำเมื่อมีโอกาสบางครั้งก็ฝึกเองที่บ้านในห้องพระโดยยึดเอาพระประธานในห้องพระเป็นครู เพื่อขอให้คุ้มครอง ภัยอันตรายต่าง ๆ ทั้งทางกายและทางจิตในระหว่างการฝึกปฏิบัติ สำหรับองค์ภาวนาคงใช้สลับกันไปในแต่ละครั้ง บางครั้งใช้กำหนดลมหายใจใช้องค์ภาวนาว่า พุทโธ บางครั้งก็ใช้การกำหนดดวงแก้วนิมิตใช้องค์ภาวนาว่า สัมมาอาระหัง

ต่อมาในระหว่างกำลังศึกษาขั้นอุดมศึกษา ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ที่วัดสามวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีนามว่า หลวงพ่อด้วง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่อ ร.๔ ทั้งนี้ เพราะท่านมีลักษณะท่าทางและรูปร่างคล้ายรัชกาลที่ ๔ มาก และ ณ ที่แห่งนี้นี่เอง พระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาสอนกรรมฐานให้อีกรูปแบบหนึ่ง จะเรียกว่ากรรมฐานชนิดใดไม่ทราบได้ เป็นการกำหนดลมหายใจโดยใช้องค์ภาวนาว่า พุทโธโลกะวิทู เพื่อเป็นการเปิดภพภูมิต่าง ๆ ให้เห็นซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การสะกดจิต ไม่ใช่วิธีการจูงจิต แต่เป็นการเห็นนิมิตต่าง ๆ ในระหว่างที่ใจเป็นสมาธิ หลวงพ่อด้วงเน้นย้ำเสมอว่าจะไม่สอนการทำคุณไสย์ต่าง ๆ เพราะเป็นบาป แต่จะสอนในการแก้คุณไสย์ให้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จึงจำเป็นต้องเห็นนิมิตต่าง ๆ และคุณไสย์ต่าง ๆ ที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตลอดจนวิบากกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ การฝึกในลักษณะนี้จะฝึกไม่ได้เสมอไปทุกคน บุคคลที่จะฝึกได้จะต้อง

๑. มีบุญบารมีเก่า
๒. รักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต
๓. ประพฤติปฏิบัติดี มีเทพเทวาคุ้มครอง

และจะต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่อไปนี้

๑. ห้ามด่าบิดา มารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณ
๒. ห้ามลอดใต้ราวตากผ้า
๓. ห้ามทานของงานศพ ตลอดจนของเซ่นไหว้ต่าง ๆ

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้ว ก็สอบบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอ บรรจุครั้งแรกเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อมาก็ย้ายวนเวียนอยู่ในจังหวัดจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงได้ย้ายไปอยู่ที่วิทยาลัยการปกครอง จนถึงปัจจุบัน

สำหรับการปฏิบัติธรรมก็ยังคงปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสลับกันไปในแต่ละวิธี จะเป็นเพราะเหตุใดไม่ปรากฏ จิตคิดไปว่าไม่ว่าเราจะปฏิบัติด้วยวิธีใด ไม่ว่าเราจะตั้งองค์ภาวนาว่าอย่างไร ล้วนแล้วแต่เป็นอุบายทั้งสิ้นที่จะทำให้ จิตสงบเป็นสมาธิ ต่อมาภายหลังจากการศึกษาจึงได้ทราบว่าเป็นการปฏิบัติในแนว สมถกรรมฐาน สำหรับนิมิตและอภิญญาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตาทิพย์ หูทิพย์ หรือการรู้วาระจิตของบุคคลอื่น เป็นเพียงผลพลอยได้จากการฝึกสมาธิในแต่ละขั้นแต่ละระดับเท่านั้น จึงไม่ควรยึดติดในสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น หรือได้ยิน นั้น ๆ และในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่วิทยาลัยการปกครอง ก็ได้รับทราบวิธีฝึกกรรมฐานอีก ๒ รูปแบบ คือ การปฏิบัติตามแนวของ หลวงพ่อลี วัดอโศการาม ที่เรียกว่า กรรมฐานเลขศูนย์ ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่ได้ฝึกปฏิบัติ อีกแนวหนึ่งเป็นแนวของ พ.อ.ชม สุคันธรัตน์ เป็นการฝึกเพื่อให้เกิดอำนาจจิต ส่วนการปฏิบัตินั้น เป็นการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจโดยใช้องค์ภาวนา พุทโธ กำหนดจิตลงบริเวณภายในจมูก บริเวณที่ลมหายใจเข้าไปกระทบ เหนือจมูกเล็กน้อยแต่อยู่ใต้หน้าผาก ผลการปฏิบัติ หลังสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติโดยการนั่งสมาธิตามวิธีการดังกล่าว ใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติอยู่หลายวัน บางวันอยากได้กลับไม่ได้ แต่วันที่ไม่คิดอยากกลับได้ แสดงว่า ความอยากเป็นมารแห่งความสำเร็จ วันนั้นจำได้ว่า เริ่มเข้าห้องพระสวดมนต์ไหว้พระเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. แล้วต่อด้วยการนั่งสมาธิ จิตได้เข้าสู่ภวังค์ ไม่รับรู้ต่อสิ่งที่มากระทบต่ออายตนะทั้ง ๖ ไม่รับรู้แม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง ร่างกายไม่ไหวติง ไม่ปวด ไม่เมื่อย และไม่เป็นเหน็บชา จิตกลับมาอีกครั้งหนึ่งจึงถอนออกจากสมาธิ เมื่อออกจากห้องพระ จึงได้ทราบว่าเวลาล่วงเลยมาประมาณ ๓ ชั่วโมงกว่า พิจารณาตัวเองว่าเรานั่งหลับไปหรือไร ถ้านั่งหลับทำไมจึงไม่มีอาการสัปหงกเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเรื่องที่แปลก ต่อมาจึงได้ทราบว่า เป็นการเข้าสู่ภวังค์ เป็นสมาธิขั้นสูงของแนวสมถกรรมฐาน หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เข้าสู่ภวังค์อีกเลย นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกจากการทำสมาธิทั่วไป การทำสมาธิจิตจะสงบอยู่ในสมาธิยังรับรู้ความรู้สึก เมื่อความสุขความเบิกบานอยู่ในใจเหมือนการพักผ่อนทางจิต แต่การเข้าสู่ภวังค์ ร่างกายและจิตจะไม่รับรู้ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น มีลักษณะเหมือนตายไปชั่วขณะ นอกจากนี้แล้วข้าพเจ้ายังได้รับการอบรมสั่งสอนอีกว่า เมื่อนั่งสมาธิควบคุมอารมณ์และจิตให้เป็นสมาธิแล้ว ให้ถอนออกจากสมาธิ และฝึกเข้าสู่สมาธิใหม่ เข้า ๆ ออก ๆ อยู่ให้เป็นประจำ จะได้เกิดเป็นความชำนาญ ผลจากการปฏิบัติข้าพเจ้าสามารถเข้าสู่สมาธิได้เร็วมากและจากการสังเกตพบว่า ระยะเวลาในการนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบสั้นลง ข้าพเจ้าเก็บคำถาม ๒ ข้อ อยู่ในใจมาโดยตลอดคือ

๑. การเข้าสู่ภวังค์เป็นการขาดสติหรือไม่
๒. ทำไมระยะเวลาในการนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบจึงสั้นลง

สำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวันนั้น ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามีปัญหาไม่ว่าด้วยเรื่องใด ๆ ก็ตาม ข้าพเจ้ามักเข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ไหว้พระ นั่งทำสมาธิเมื่อจิตเป็นสมาธิ จึงนำปัญหาในแต่ละเรื่องมาพิจารณา และเมื่อออกจากห้องพระ ข้าพเจ้าก็จะออกมาพร้อมกับวิธีการแก้ไขปัญหานั้น ๆ และเมื่อนำไปปฏิบัติก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจยิ่ง และนี่หรือคือปัญญาอันเกิดจากสมาธิ

ต่อมา เมื่อข้าพเจ้าได้เข้ามาปฏิบัติธรรมตามแนวของพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล ณ วัดอัมพวัน แห่งนี้ จึงทำให้ข้าพเจ้าพิจารณาได้ว่า แตกต่างจากสมถกรรมฐานที่ข้าพเจ้าเคยฝึกปฏิบัติมาดังนี้

๑. ถ้าเปรียบสมถะเป็นชั้นมัธยมศึกษา วิปัสสนาก็เปรียบเป็นขั้นอุดมศึกษา ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาปฏิบัติธรรม ณ สำนักแห่งนี้ เท่ากับได้มาเรียนรู้ในสิ่งที่สูงขึ้น

๒. สมถะ เป็นการเรียนรู้ในการเจริญสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา แต่วิปัสสนาเป็นการเจริญสติเพื่อให้เกิดปัญญา จะเห็นได้ว่า แตกต่างกันในเรื่องของความละเอียดลึกซึ้ง วิปัสสนาจะมีมากกว่ากล่าวคือการมีสติรู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ทุกอิริยาบถนั้น จะทำให้เรามีปัญญาโดยตลอด สำหรับสมถะนั้นปัญญาจะเกิดต่อเมื่อมีสมาธิเท่านั้น

๓. ในเรื่องของการนำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะมีความสามารถในการเข้าสู่สมาธิเร็วเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะทำให้มีสมาธิยาวนานและต่อเนื่องตลอดเวลาได้ ฉะนั้นแล้วในวันหนึ่ง ๆ คงจะต้องกำหนดจิตเพื่อให้เป็นสมาธิหลายเวลา แต่การมีสติรู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ทุกอิริยาบถ เราสามารถทำได้อยู่ที่การฝึกฝน

จากการศึกษาและฝึกปฏิบัติ ณ วัดอัมพวันแห่งนี้ระหว่างวันที่ ๓ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ จึงทำให้ข้าพเจ้าสามารถตอบคำถามที่อยู่ในใจ ๒ ข้อได้ดังกล่าวข้างต้นได้ ดังนี้

๑. การเข้าสู่ภวังค์ในสมถกรรมฐานนั้น เป็นการถูกต้องในเรื่องของจิตตามแนวสมถะ แต่ระหว่างอยู่ในภวังค์เป็นการขาดสติ สำหรับในแนววิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเข้าสู่ภวังค์อย่างมีสติ เราเรียกว่า สมาบัติ

๒. ระยะเวลาในการนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบสั้นลงเป็นเพราะแนวสมถะเป็นการเรียนรู้การกำหนดจิตให้เป็นสมาธิ ไม่ได้เรียนรู้ในเรื่องของการประคองจิต ฉะนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จึงถอนกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนการเดินทาง ถ้าความรวดเร็วในการเข้าสมาธิเปรียบเสมือนพาหนะในการเดินทาง และระยะเวลาที่จิตสงบเป็นสมาธิเปรียบเสมือนระยะทาง การเดินทางไปและกลับโดยเครื่องบินย่อมรวดเร็วกว่าการเดินทางโดยรถยนต์ ฉันใดก็ฉันนั้น ยกเว้นการกำหนดจิตเข้าสู่ภวังค์

ดังนั้น จึงใคร่ขอเชิญท่านผู้เจริญทั้งหลายได้โปรดพิจารณาท่านผู้เคยฝึกสมถกรรมฐานเพื่อให้จิตสงบมาก่อนแล้ว ขอได้โปรดให้มาปฏิบัติด้วยตัวของท่านเอง แล้วท่านจะพิจารณาได้ว่าท่านได้เรียนรู้ในสิ่งที่สูงขึ้น ละเอียดขึ้น แต่ท่านผู้ที่ไม่เคยฝึกอย่างใดมาก่อนเลย ก็ขอให้มาฝึกปฏิบัติ ไม่ต้องเกรงกลัวจะฝึกไม่ได้ ขอให้มี ขันติ ความอดทน รับรองว่าจะต้องได้ทุกคน เพราะวิธีการฝึกของพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) วัดอัมพวันแห่งนี้ มีวิธีการที่แยบยล เป็นการฝึกสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา เป็นการเรียนรู้ให้มีสติรู้เท่าทันอยู่ทุกอิริยาบถ จิตอยู่คู่กับสติ การกำหนดจิตจึงเป็นสมาธิเบื้องต้นตามแนวสมถะ การเรียนรู้ เท่าทัน ปัจจุบันทุกอิริยาบถเป็นวิปัสสนา ฉะนั้น การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะนั่ง เดิน ยืน หรือนอน และการรับรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ ไม่ว่าจะได้รู้ ได้เห็น ได้ยินหรือได้ฟัง เราจะเป็นไปอย่างมีสติ รู้อยู่ทุกอิริยาบถด้วยการภาวนา พองหนอ ยุบหนอ เห็นหนอ เสียงหนอ คิดหนอ รู้หนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น การกำหนดจิตหรือสติให้เคลื่อนไหวไปตามอิริยาบถและการรับรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ จึงเป็นการฝึกเพื่อประคับประคองจิตให้รู้เท่าทันปัจจุบันและเมื่อฝึกได้ดังนี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา อยู่ทุกเมื่อในที่สุด

๒. ภาคประสบการณ์พิเศษที่วัดอัมพวัน

ข้าพเจ้าเดินทางโดยรถยนต์ของกระทรวงมหาดไทยถึงวัดอัมพวัน ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. สิ่งที่สงสัยเบื้องต้นคือจะฝึกกันได้อย่างไร เพราะที่วัดแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานที่ก่อสร้างที่ผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวายให้มากมาย ความสงสัยนี้หมดสิ้นไปเมื่อข้าพเจ้าได้ลงมือปฏิบัติ คณะของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมดประมาณ ๘๗ คน กำหนดให้นอนในอาคารเรียนของโรงเรียนปริยัติธรรมและอบรมฝึกปฏิบัติธรรมที่ศาลาสุธรรมภาวนา โดยให้มีการสมาทานศีล ๘ ในค่ำคืนของวันเดียวกันนี้ มี พ.ท.วิง รอดเฉย และคุณสุวรรณา ดารามาศ เป็นอาจารย์ผู้ให้ความรู้และควบคุมการฝึกปฏิบัติอย่างใกล้ชิด ตลอดระยะเวลาการอบรมปฏิบัติธรรม ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) ที่ได้สละเวลามาให้คำบรรยายและธรรมโอวาทในเวลาค่ำคืน หลังจากเสร็จสิ้น การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมิได้ขาด อันเปรียบเสมือนกำลังใจสูงสุดที่จะให้พวกเราทุกคน อดทน อดกลั้น ที่จะปฏิบัติธรรมต่อไปตามคติธรรมของท่านที่ว่า กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรให้มาก พร้อมกันนั้นท่านยังได้ปลูกฝังคุณธรรมให้กับพวกเราทุกคน เพื่อให้พวกเราทุกคนเป็นข้าราชการที่ดี ต่อประชาชน ต่อเพื่อนร่วมงานและต่อผู้บังคับบัญชาตลอดจนธรรมะที่ใช้ในการครองเรือน นอกจากนั้นพระเดชพระคุณท่านฯ ยังสอนในเรื่องของกฎแห่งกรรมเพื่อให้ทุกคนมุ่งมั่นในการกระทำความดี ละเว้นการทำความชั่วทั้งปวง และทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ด้วยการหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ภาวนาถือศีลปฏิบัติอยู่เป็นเนืองนิจ

ประสบการณ์ที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จริงที่ข้าพเจ้าประสบตลอดระยะเวลาที่อยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันแห่งนี้ ระหว่างวันที่ ๓ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยจะเริ่ม ณ บัดนี้

 

วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

หลังจากสมาทานศีล ๘ และรับทราบระเบียบปฏิบัติระหว่างการอบรมปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งรับฟังธรรมโอวาทจากพระเดชพระคุณท่านฯ ในค่ำคืนวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ แล้ว ในวันนี้จะได้ฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ทำวัตรเช้าในเวลา ๐๔.๓๐ น. ณ ศาลาสุธรรมภาวนา หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลับกับการฝึกปฏิบัติ เดินจงกรมและนั่งวิปัสสนากรรมฐาน กินอาหาร ดื่มน้ำปานะ ทำวัตรเย็นและฝึกปฏิบัติจนถึงเวลา ๒๑.๐๐ น. ในแต่ละช่วงเวลาจะมีเวลาทำกิจธุระส่วนตัวในช่วงหลังอาหารเช้า-เพล และในช่วงเย็นก่อนทำวัตรเย็น หลังจากการฝึกปฏิบัติแล้ว พระเดชพระคุณท่านฯ ได้มีเมตตาบรรยายธรรมต่อในช่วงระหว่างเวลา ๒๑.๓๐ ถึง ๒๓.๐๐ น.

ผลการปฏิบัติวันนี้ไม่ดีเท่าที่ควร บางครั้งจะปวดศรีษะ ไม่สามารถกำหนดจิต ตั้งองค์ภาวนา พองหนอ ยุบหนอ ได้เลย บางครั้งเผลอสติไปภาวนา พุทโธ โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากความเคยชินในการกำหนดลมหายใจ บางครั้งมีอาการเหนื่อยเพราะไปกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อบังคับให้ท้องยุบและพองตามองค์ภาวนา นอกจากนั้นยังมีอาการท้องอืดและท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย

 

วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

การปฏิบัติยังคงเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน เริ่มตั้งแต่ ๐๔.๓๐ น. และจะไปสิ้นสุดในเวลา ๒๑.๐๐ น. ผลการปฏิบัติยังคงเป็นไปเช่นเดิม ไม่สามารถกำหนดจิตได้เลย จึงนำความสงสัยนี้ไปปรึกษาอาจารย์ผู้สอน (พ.ท.วิง รอดเฉย และคุณสุวรรณา ดารามาศ) อาจารย์ได้แนะนำว่าเราเป็นผู้ดูเท่านั้นปัญญาเกิดทันที ว่าสาเหตุที่ท้องอืดและท้องเสีย เกิดจากเราไปกำหนดลมหายใจเพื่อให้ท้องพองและยุบตามองค์ภาวนา และจากการปฏิบัติตามที่อาจารย์แนะนำในช่วงหลังทำวัตรเย็นสามารถกำหนดจิต เห็นอาการพองหนอ ยุบหนอได้เองตามธรรมชาติที่เกิดจากลมหายใจ

 

วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

การปฏิบัติยังคงเป็นไปตามปกติ ผลการปฏิบัติดีขึ้นกว่าเดิมมาก อาการท้องอืดท้องเสียหายไป ปรากฏการณ์พิเศษเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนสิ้นสุดระยะเวลาการอบรมฝึกปฏิบัติธรรม จะเกิดขึ้นทุกวันในช่วงระยะเวลา ๐๙.๐๐ ถึง ๑๑.๐๐ น. เป็นลักษณะของเสียงมาสอนในการทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน เสียงนี้มาจากที่ใดไม่ปรากฏ มาจากเทพเทวาที่ปกป้องรักษาข้าพเจ้าอยู่ หรือเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติไม่ทราบได้ เป็นเสียงที่ได้ยินเฉพาะตน ข้าพเจ้าจึงทดลองปฏิบัติตามเสียงที่แนะนำนั้น เสียงนี้เกิดขึ้นระหว่างนั่งวิปัสสนาบอกให้กำหนดจิตเจริญภาวนาไปที่ลิ้นปี่ ผลการทดลองสามารถมองอาการพองหนอ ยุบหนอ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเมื่อมีอาการเวทนาปวดชาที่ขาขวา เสียงก็มาบอกให้กำหนดจิตไปที่ขาข้างที่ปวด ให้ภาวนา ปวดหนอ ๑ ไปจนถึงปวดหนอ ๑๐ พร้อมทั้งให้เคลื่อนจิตไปที่ปลายเท้าเสร็จแล้วกำหนดจิตไปที่ลิ้นปี่ตามเดิมพร้อมภาวนา พองหนอ ยุบหนอ จากการสังเกตอาการปวดชาเหล่านี้จะบรรเทาเบาบางลงไป และในค่ำคืนวันนี้เช่นเดียวกันพระเดชพระคุณท่านฯ ได้เมตตามอบธรรมโอวาทให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมอีกวาระหนึ่ง ระหว่างเวลานั่งรอข้าพเจ้าไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ได้นั่งวิปัสสนาไปด้วย และเมื่อเวลา ๒๑.๔๕ น. ก่อนที่พระเดชพระคุณท่านฯ จะมาเล็กน้อย ข้าพเจ้าได้นิมิต เห็นกินรี ๒ ตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวผู้ลักษณะคล้ายครุฑ อีกตัวเป็นตัวเมียมีลักษณะคล้ายผู้หญิงแต่งชุดรำมโนราห์ กำลังฟ้อนรำอยู่บริเวณกลางศาลาสุธรรมภาวนา นับเป็นนิมิตที่แปลกมาก

 

วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

วันนี้ระหว่างปฏิบัติในช่วงระยะเวลาเดียวกัน คือ ๐๙.๐๐ ถึง ๑๑.๐๐ น. ขณะนั่งวิปัสสนาข้าพเจ้าปวดชาขาข้างขวามาก แต่มีความตั้งใจว่าจะทนให้ถึงที่สุด ถึงตายก็ยอม เพราะได้มอบกายถวายแด่พระพุทธเจ้าแล้ว และแล้วก็มีเสียงมาชี้แนะวิธีการแก้เวทนาอีก โดยให้กระดกส้นเท้าซ้ายกดลงไปใต้ต้นขาขวาในลักษณะกด ปล่อย ไปเรื่อย พร้อมให้กำหนดจิตไปขาข้างขวาภาวนา หายหนอ ๆ ผลการปฏิบัติตาม จากอาการขาข้างขวาปวดชา แข็ง ไม่สามารถกระดิกนิ้วเท้าได้ ก็เริ่มมีความรู้สึกกลับคืนมา แต่ยังไม่เป็นปกติ นิ้วเท้าเริ่มขยับได้ พลันก็ได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลาของการปฏิบัติในช่วงนั้น ๆ

จากการสังเกตอาการปวดชาขาข้างขวาขณะนั่งวิปัสสนาแปลกประหลาดมาก กล่าวคือ แม้ว่าจะปวดมากเพียงใดก็ตาม เมื่อเราทนเวทนานี้ไปจนหมดเวลาและแผ่เมตตาเสร็จจึงเปลี่ยนท่านั่งจากขัดสมาธิเป็นนั่งพับเพียบและต่อด้วยการแผ่ส่วนกุศล อาการปวดชานั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว และในวันนี้เช่นเดียวกันก็มีนิมิตประหลาดเกิดขึ้น คือ ก่อนที่จะทำการแผ่เมตตา เกิดนิมิตเป็นแสงสีเหลืองสว่างไสวไปทั่วศาลาฯ และเมื่อกำหนดจิตตามไป เพื่อให้รับรู้ว่าเป็นอะไร ก่อนที่กำหนดกลับที่เดิม โดยภาวนา เห็นหนอ ๆ ก็บังเกิดภาพ หลวงปู่เทพโลกอุดร มาปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้ากลางศาลาสุธรรมภาวนาแห่งนี้ แปลกมาก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ใจไม่เคยคิดถึงหลวงปู่เทพโลกอุดรแต่อย่างใด ต่อมาได้ทราบภายหลังว่า มีรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นรูปบูชาอยู่กุฏิแม่ใหญ่ (อุบาสิกาสุ่ม ทองยิ่ง) นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อกินรี ๓ ตัว อยู่ในศาลาสุธรรมภาวนาแห่งนี้ โดยซุกไว้ใต้รูปพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล

 

วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

วันนี้มาแปลก ก่อนฝึกปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้ขอบารมีจากพระเดชพระคุณท่านฯ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ในวัดอัมพวันแห่งนี้ ให้ช่วยชี้แนะแนววิปัสสนากรรมฐานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย วันนี้เป็นการฝึกเดินจงกรมในจังหวะที่ ๓ ระหว่างฝึกอยู่นั้นก็มีเสียงมาสอนให้ข้าพเจ้าเดินจงกรมในจังหวะที่ ๔, ๕ และ ๖ ต่อไป ข้าพเจ้าจึงนำเรียนอาจารย์ผู้สอน ปรากฏว่าเป็นการเดินจงกรมที่ถูกต้อง จะต่างกันก็ตรงองค์ภาวนาขณะเดินจงกรมเล็กน้อยเท่านั้น นับว่าแปลกมากที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เองโดยที่อาจารย์ยังไม่ได้สอน และเมื่อหมดเวลาจะต้องแผ่เมตตาและแผ่ส่วนกุศล หลังจากนั้นก็จะทำการกราบพระก่อนที่จะก้มลงกราบ ข้าพเจ้าก็นิมิตเห็นพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) มายืนอยู่ตรงหน้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะก้มลงกราบ ข้าพเจ้าจึงก้มลงกราบอย่างนอบน้อมแนบปลายเท้าท่าน

ยังมีเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งคือ วันนี้ในช่วงปฏิบัติเดินจงกรมก่อนที่จะนั่งวิปัสสนา ข้าพเจ้าถูกกำหนดให้ยืนบริเวณริมศาลาฯ ตรงเสาต้นที่ ๗ และจะเดินจงกรมไปกลับ ระหว่างเสาต้นที่ ๖ ถึงต้นที่ ๗ และเกือบเสียทุกครั้งก็ว่าได้ ข้าพเจ้ามักได้รับสัญญาณให้นั่งวิปัสสนาตรงเสาต้นที่ ๖ เสมอไป บางครั้งมีเพื่อนข้าราชการย้ายที่เตรียมปฏิบัติอยู่บริเวณนั้น แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติ เพื่อนข้าราชการท่านนั้นก็ย้ายที่ไปปฏิบัติที่อื่นเป็นเสียอย่างนี้ทุกครั้งไป วันนี้ก็เช่นกันข้าพเจ้านั่งวิปัสสนาตรงเสาต้นที่ ๖ ก็นิมิตเห็นเปรตตัวหนึ่งคุกเข่าเดินอยู่ในศาลาฯ หัวจ่อเพดาน ผมยุ่งเหยิงกระเซิงบานออก ลำตัวเล็กเรียวสีเขียว แขนขายาวเก้งก้าง ข้าพเจ้าไม่ได้ยึดติดในนิมิตที่ปรากฏยังคงนั่งวิปัสสนากำหนดพองหนอยุบหนอต่อไป เมื่อหมดเวลาจึงไปเล่าให้อาจารย์ผู้สอนฟัง อาจารย์ผู้สอนบอกมีจริงอยู่ที่เสาต้นที่ ๖ แปลกมาก ข้าพเจ้าไม่ได้บอกอาจารย์แม้แต่น้อยว่าข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ใด แต่อาจารย์บอกตรงกันกับที่ข้าพเจ้านั่งอยู่พอดี หลังเวลาปฏิบัติพระเดชพระคุณท่านฯ ได้มีเมตตาให้ธรรมบรรยายต่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ธรรมบรรยายสิ้นสุดลงในเวลาประมาณ ๒๓.๓๐ น.

 

วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

การปฏิบัติยังคงเป็นไปเช่นเดิม ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะนั้นกำลังต่อสู้กับเวทนาเป็นอย่างมาก นอกจากเหน็บชาแล้วยังมีอาการปวดหัวเข่า เหมือนใครเอาเข็มมาทิ่มแทงและปวดแผ่นหลังมาก ก็เกิดนิมิตเห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ ได้เคยให้ชาวบ้านทำดิ่งพสุธาให้เพื่อนำมาฝากเพื่อน ๆ ที่กรุงเทพฯ (อาหารพื้นเมืองชนิดหนึ่ง ที่นำเอาลูกเขียดมาผ่าท้องเอาไส้ออก เคล้าเกลือ แล้วนำไปตากแห้ง ก่อนที่จะนำไปทอดรับประทาน ในการหาลูกเขียดจะต้องออกไปจับตามท้องไร่ท้องนา นำมาหักขาเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้กระโดดหนี) นอกจากนี้ยังนิมิตเห็นภาพที่ข้าพเจ้ากำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์ทับงูอีกด้วย พร้อมกันนั้นก็มีเสียงมาชี้แนะอีกว่า เป็นการตัดรอนกรรมเก่า เพราะถ้าไม่รับกรรมตัดรอนนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะต้องรับผลของกรรมอย่างหนักในภายหลัง ฉะนั้น ให้ข้าพเจ้าน้อมรับกรรมด้วยความยินดี ทุกครั้งที่นั่งวิปัสสนาจะต้องต่อสู้กับเวทนาที่เกิดขึ้นให้ถึงที่สุด จนกว่ากรรมจะหมด คงเป็นระยะเวลาอีกนานเพราะในครั้งนั้น ชีวิตลูกเขียดจะต้องสังเวยต่อความต้องการของข้าพเจ้าหลายร้อยตัว พร้อมกับชี้แนะว่า ถ้าจะให้กรรมหมดเร็วจะต้องนั่งขัดสมาธิเพชร

ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ นับเป็นบุญบารมีของผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน ที่ทางวัดอัมพวันจัดให้มีการ สวดธรรมจักร บนศาลาฯ แห่งนี้ในเวลา ๑๗.๐๐ น. เพื่อถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ ๕๐ ปี ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสรับฟังและถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระคุณเจ้า และในช่วงที่พระเดชพระคุณท่านฯ หลวงพ่อจรัญขณะแผ่เมตตาและอำนวยพรให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน ข้าพเจ้านิมิตเห็นแสงสีเขียวออกจากหน้าผากของพระคุณท่านฯ แผ่ออกไปปกคลุมทุก ๆ คนที่อยู่บนศาลาสุธรรมภาวนาแห่งนี้

 

วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

วันนี้เวลาเดิม ยังคงมีเสียงมาสอนวิปัสสนากรรมฐานอีกเช่นเคย แต่เป็นการสอนให้ต่อสู้กับเวทนาในการนั่งขัดสมาธิเพชร ข้าพเจ้าทดลองทำตามโดยการนั่งขัดสมาธิเพชรเวทนาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน ๑๐ วินาที จะมีอาการปวดที่ขาทั้งสองข้างมาก มากกว่านั่งขัดสมาธิธรรมดาหลายเท่านัก เสียงนั้นให้ข้าพเจ้าค่อย ๆ นับ ๑ ถึง ๑๐๐ ข้าพเจ้านับ ๑ ไม่ทันถึง ๑๐ กลับปวดมากขึ้น ๆ แทบจะตายเสียให้ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ต่อสู้กับเวทนาได้จนนับถึง ๑๐๐ หลังจากนั้นเสียงนั้นก็ให้นั่งขัดสมาธิเพชรสลับกับนั่งขัดสมาธิธรรมดาไปเรื่อย ๆ จากการสังเกต ข้าพเจ้าสามารถนั่งขัดสมาธิเพชรได้นานขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมองค์ภาวนาพองหนอ ยุบหนอ และก่อนที่จะสิ้นเสียงในวันนี้ได้บอกแก่ข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายว่า ในการแผ่เมตตาให้ข้าพเจ้านั่งขัดสมาธิเพชรทุกครั้งไป

ในค่ำคืนวันนี้ เป็นวันที่พระเดชพระคุณท่านฯ จะได้มอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ก่อนสิ้นสุดพิธีในวันนี้ พระเดชพระคุณท่านฯ ได้แสดงธรรมให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน พร้อมทั้งแง่คิดต่าง ๆ มากมาย สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ธรรมที่ท่านแสดงล้วนแล้วแต่เป็นการตอบข้อสงสัยของผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน โดยที่ยังไม่มีการถามแต่อย่างใด นอกจากนี้สิ่งที่ทุกคนอยากรู้ อยากได้ หรืออยากให้ช่วยเหลือ ก็ได้รับการกล่าวแจ้งแถลงไขรวมอยู่ในธรรมบรรยายในครั้งนี้ด้วย เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด หรือเป็นเพราะญาณวิถีอันแก่กล้า ขอพระเดชพระคุณท่านพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) ที่มีเมตตาต่อพวกเราทุกคน

 

วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอบรมปฏิบัติธรรม พวกเราทุกคนตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าร่วมกัน โดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงฝึกปฏิบัติต่อเป็นครั้งสุดท้าย ผลการปฏิบัติ ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีกว่าวันแรก ๆ เป็นอย่างมาก สิ้นสุดการปฏิบัติในเวลา ๐๗.๐๐ น. ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยรถยนต์ของกระทรวงมหาดไทย พวกเราทุกคนไม่ลืมที่จะร่วมแสดงมุทิตา กราบลาอาจารย์ทั้งสอง ที่มีเมตตาต่อเราตลอดระยะเวลาการอบรม พร้อมทั้งขออโหสิกรรมต่ออาจารย์ทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับให้สัญญากับตัวเองว่า จะกลับไปปฏิบัติต่อยังเคหะสถานบ้านเรือนที่อาศัย และจะกลับมาปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวันแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง ในวันหยุดราชการหรือเมื่อมีโอกาส

บทความนี้ดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้าย ข้าพเจ้าสงสัยตัวเองว่าข้าพเจ้าเขียนขึ้นมาได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยเขียนบทความใดมาก่อนเลย เป็นบทความแรกของชีวิตที่เขียนออกมาจากประสบการณ์ ข้าพเจ้าใช้เวลาในการเขียนบทความนี้ ๒ วัน คือ วันที่ ๑๒ – ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ จะเขียนขึ้นมาได้อย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ รู้แต่เพียงว่าทุกครั้งที่จับดินสอกรีดลวดลายอักษรลงบนกระดาษ ข้าพเจ้ากระทำไปอย่างมีสติ รู้เท่าทันปัจจุบัน รู้อยู่ทุกเมื่อ รู้อยู่ทุกอิริยาบถ และมีความศรัทธาต่อพระเดชพระคุณท่านฯ เป็นอย่างมากในการสอนวิปัสสนากรรมฐานแก่ข้าพเจ้า จึงมีความต้องการเผยแผ่บารมีของพระเดชพระคุณท่านฯ ให้กว้างไกลออกไป เพื่อให้ผู้ที่เคลือบแคลงสงสัยทั้งหลาย หันมาปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น คนจะได้มีคุณธรรมกันทุกผู้ทุกคน สังคมจะได้สงบสุขร่มเย็น และเมื่อนั้นเราจึงจะเรียกได้ว่า ยุคพระศรีอาริย์