ทำดีความดีคุ้ม

โดย พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ (อธิบดีกรมตำรวจ)

ระผมมีความเชื่อมั่นในเรื่องของกฎแห่งกรรมที่ว่าใครทำสิ่งใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น คนสร้างความดีย่อมได้รับผลของความดีที่ตนกระทำ ส่วนใครทำความชั่วความไม่ดีไว้ ความชั่วความไม่ดีนั้นก็ย่อมติดตามไปสนองเขา แม้บางครั้งจะไม่เกิดกับเขาโดยตรง ก็จะเกิดกับบุคคลที่เขารัก จนเป็นเหตุให้เขาเกิดความทุกข์ทรมานใจ ตรงกันข้ามกับการสร้างความดีไว้ ความดีนั้นย่อมส่งผลไปถึงลูกหลานได้อย่างแน่นอนทำให้พบกับความสุขใจจากการที่เห็นลูกหลานเป็นคนดีมีความกตัญญู ดังตัวอย่างที่กระผมประสบมาดังนี้

เมื่อกระผมจบปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์ ทางด้านการปกครอง ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้ว ก็เข้ารับราชการเป็นทหารอยู่ศูนย์กลางทหารราบ อยู่ ๑ ปี แล้วจึงโอนเข้ามารับราชการเป็นตำรวจสันติบาลในตำแหน่งว่าที่ร้อยตำรวจโทในปีถัดมา

ตลอดระยะเวลาการทำงานของผม มักประสบปัญหาและอุปสรรค เพราะกระผมทำงานอย่างถูกต้องปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบทุกอย่าง จึงมักทำให้ถูกเพ่งเล็งจากผู้ใหญ่ว่าผมทำให้ระบบวุ่นวาย ชอบหาเรื่องหาราว เขาเคยอยู่กันดี ๆ ไม่ต้องตรวจสอบงานถึงขนาดนี้ พอผมมาก็เรียกตรวจสอบตามระเบียบ จึงมักทำให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นไม่พอใจเสมอ ปัญหาเช่นนี้ผมต้องเผชิญมาตลอด ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนถึง ๙ ครั้ง ถูกกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา

แม้ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่กระผมต้องเผชิญมาตลอดและบางครั้งรุนแรง แต่ผมก็ไม่เคยย่อท้อ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่ยึดมั่นอยู่ในจิตใจของผม ซึ่งคุณแม่ และครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนคอยปลูกฝังให้กระผมโดยเฉพาะ ท่านอาจารย์อารีย์ สมประสาท อาจารย์ใหญ่ผู้สอนผมในสมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สิ่งเหล่านั้นก็คือ คุณธรรมความซื่อสัตย์

กระผมจำไว้ในจิตใจได้อย่างแม่นยำ ถึงคำสอนของคุณแม่ ท่านมักจะสอนผมว่า “อย่าไปคด อย่าไปโกงของ ๆ ใครเขา อย่าไปอยากได้ของ ๆ ใครเขา มันเป็นบาปเป็นกรรม จะพูดจะจาก็อย่าโกหกมดเท็จ ให้พูดความจริง” คุณแม่ท่านสอนผมอย่างนี้มาตลอด

คุณพ่อของกระผม (ประทาน สันติประภพ) ได้เสียชีวิตตั้งแต่กระผมอายุได้ ๒ ขวบ ทำให้คุณแม่ (นางทวน สันติประภพ) ต้องเลี้ยงดูกระผมแต่ลำพังเพียงผู้เดียวมาตลอด คุณแม่อดทนทุกอย่าง เพื่อเลี้ยงดูและปลูกฝังสิ่งที่ดีงามให้กับจิตใจผม ปัจจุบันนี้ท่านอายุได้ ๘๖ ปีแล้ว

กระผมยึดมั่นในเรื่องของคนทำดีต้องได้ดีมาโดยตลอด ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นในตนเอง แม้จะประสบอุปสรรคก็ไม่ทำให้ผมท้อถอย แต่ยิ่งกลับฮึดสู้ เพราะคิดอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งความดีต้องชนะแน่ ทำให้ผมอดทนและต่อสู้ได้ต่อไป ยิ่งผมประสบอุปสรรคมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งทำให้ผมมีความรอบคอบระมัดระวังตัวมากขึ้น ทำงานได้ละเอียดถี่ถ้วนขึ้น แม้ต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ก็จะขวนขวายหาหลักฐานและเหตุผลมาสู้กับเขา ว่าเรื่องที่เขากล่าวหานั้น เป็นไม่เป็นความจริง ขาดเหตุขาดผล ขาดหลักฐานประการใด ต้องมานั่งคิดหาเหตุผลเพื่อชี้แจงให้คณะกรรมการเข้าใจ ซึ่งทุกเรื่องที่ผมต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ปรากฏว่าไม่เป็นความจริงสักเรื่องเดียว

กำลังใจในการทำงานของผมส่วนหนึ่งมาจากประชาชนที่เขาแสดงออก ในการขอบคุณขอบใจที่เราตั้งใจช่วยเหลือเขา บางครั้งผมถูกกลั่นแกล้งก็ได้พี่น้องประชาชนคอยสงสารให้กำลังใจ ผมไม่เคยกลัวที่จะต่อสู้

ต่ออุปสรรค เพราะเมื่อผมสร้างความดี แม้บางครั้งผู้ใหญ่ท่านไม่เห็นความดีนั้น แต่ผู้ที่เห็นและได้รับประโยชน์คือ ประชาชน เขาสุขใจสบายใจมันก็ส่งผลให้ผมสบายใจ และภาคภูมิใจ กำลังใจอีกส่วนหนึ่งก็คือ ผลของความดีที่ส่งผลให้ภรรยาและลูก ๆ ที่บ้าน

ภรรยาของกระผม (กุณฑรา สันติประภพ) เป็นผู้คอยให้กำลังใจผมมาโดยตลอด คอยพูดปลอบให้เหตุผล ให้สติเวลาผมมีปัญหา ถ้าผมกลุ้มใจเรื่องานเขาก็จะชวนคุยเรื่องอื่นที่สบายใจ และคอยดูแลลูก ๆ ด้วยความตั้งใจ คอยสั่งสอนอบรมให้ลูกเป็นคนดี มีน้ำใจ และมีความเมตตา ทำให้ลูก ๆ ของกระผมเป็นเด็กที่ดีมาก ไม่เคยสร้างปัญหาหรือความหนักใจให้กับพ่อแม่เลย จนบางครั้งทำให้ผมคิดถึงคุณแม่ของผมที่ผมพยายามทำตัวเป็นลูกที่ดีของท่าน กตัญญูรู้คุณท่าน จึงทำให้ลูก ๆ ของผมเป็นคนดี มีความกตัญญู ว่านอนสอนง่ายตั้งแต่เล็ก ๆ

กระผมกับภรรยาเคยปรึกษากันว่า เราทำงานทำการต่าง ๆ ก็เพื่อลูก ดังนั้นเราควรดูแลเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิด ภรรยาผมจึงลาออกจากงานมาคอยดูแลลูก คอยเอาใจใส่พวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการเรียนการกินต่าง ๆ ก็คอยสอนเขาและเราพ่อแม่ก็หมั่นคอยสร้างความดีให้ลูกดู ภรรยาผมมักพูดให้ฟังเรื่องการทำงานของผม ที่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อประเทศชาติ ทำให้ลูกทั้งสามมีความภูมิใจในตัวกระผม บางครั้งเขากลับจากโรงเรียนก็จะมาเล่าให้ผมฟังว่า เขาได้รับการชมเชยจากครูอาจารย์ ว่าพ่อของพวกเขาเป็นคนดี กล้าที่จะทำดี เป็นข้าราชการตำรวจที่ดี เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จึงเป็นกำลังใจให้กับกระผม และยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นว่า คนทำดีต้องได้ดีแน่นอน แม้ความดีจะไม่ตกที่ตัวกระผมตรง ๆ แต่ก็ได้สนองออกมาให้ลูก ๆ ของผมเป็นเด็กดี ส่งผลให้ผมสบายใจและมีความสุขใจอย่างยิ่ง

ลูก ๆ ทั้งสามนั้น ปัจจุบันนี้ได้เติบโตเป็นคนดี มีความกตัญญูต่อทุกคน และประสบผลสำเร็จอย่างดี ทั้งทางด้านการเรียน และหน้าที่การงาน

ลูกชายคนโตของกระผม ดร.ประทิต สันติประภพ สามารถสอบเทียบ ม.๕ ขึ้นไปเรียน ม.๖ และเมื่อเรียน ม.๗ ก็ได้เป็นที่หนึ่งของโรงเรียน และสอบเทียบ ม.๘ ก็ได้อีก จึงสอบเข้าคณะวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ด้วยอายุเพียง ๑๖ ปีเท่านั้น และจบการศึกษาเมื่ออายุ ๑๙ ปี โดยได้เกียรตินิยมอันดับ ๒ จากนั้นก็ไปสอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ และเรียนปริญญาโทที่นั่น และจบระดับปริญญาเอกเมื่ออายุได้ ๒๕ ปี จากมหาวิทยาลัย Florida State U. โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนเพียงแค่เทอมเดียว เพราะได้บรรจุเป็นผู้ช่วยการทำวิจัย เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ได้ทุนเรียนหนังสือและค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง และภายหลังได้ช่วยงานศาสตราจารย์เบเก้อ ทำให้มีชื่อมีเสียง มีเงินมีทองและหน้าที่การงานที่ดี จนทำท่าจะไม่กลับประเทศไทย ผมและภรรยาจึงขอให้เขากลับมาช่วยเหลือประเทศชาติ โดยมีหน้าที่การงานเป็นคณบดีวัย ๒๗ ปีของมหาวิทยาลัย ABAC จนกระทั่งปัจจุบัน และยังเปิดบริษัททางด้านคอมพิวเตอร์ของตนเองอีกด้วย

ส่วนคนที่สอง ดร.วิรไท สันติประภพ สามารถสอบเทียบจาก ม.๔ ขึ้นมาเรียนชั้น ม.๖ และสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยคะแนนที่สูงมาก และเรียนเศรษฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ จนจบระดับปริญญาตรีโดยได้เกียรตินิยมอับดับ ๑ ได้รับคะแนนสูงสุดทำลายสถิติของมหาวิทยาลัย ขึ้นเป็นเรคคอดไว้ ทั้งยังได้เหรียญทองทางด้านวิชาการถึง ๔ เหรียญ ด้านช่วยเหลือกิจกรรมดี ๑ เหรียญ เขาจบการศึกษาด้วยวัยเพียง ๑๘ ปีครึ่ง จากนั้นก็ไปสมัครเรียนตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และได้เลือกเรียนที่ Haward U.S.A. โดยก่อนไปเรียนก็เข้าสอบชิงทุนอานันทมหิดลไว้ ซึ่งก็สอบได้ และได้รับพระราชทานทุนการศึกษา นับว่าเป็นพระมหากรุณาอันล้นพ้นที่ฝังจิตฝังใจครอบครัวผมมาตลอด ลูกคนนี้ของผมจบปริญญาเอกเมื่ออายุได้ ๒๔ ปี เมื่อจบแล้วก็สมัครงานที่ WORLD BANK และที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (I.M.F) ซึ่งก็สามารถสอบได้ทั้งสองแห่ง แต่ก็เลือกทำงานที่ I.M.F โดยมีตำแหน่งเป็นสตาฟผู้พิจารณาเขตรับผิดชอบประเทศซิมบาคเวร์

คนสุดท้องเป็นผู้หญิงชื่อ แพทย์หญิง จีรันดา สันติประภพ ลูกสาวคนนี้เป็นคนขยันมาก เรียนหนังสือได้เกรด A ทุกตัวมาตลอด จนกระทั่งเรียนจบคณะแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ศิริราช ปัจจุบันนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ศิริราช

สิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกผมประสบความสำเร็จในชีวิต คือภรรยาผมซึ่งดูแลเอาใจใส่ลูก ๆ ดีมาก และลูก ๆ ผมก็เป็นเด็กรักดี ไม่ต้องคอยดุว่า หรือเคี่ยวเข็ญแต่ประการใดเลย จนบางครั้งเกิดความสงสารเขา ต้องขอร้องให้เขาพักผ่อนเรื่องการเรียนบ้าง เพราะกลัวเขาจะไม่สบายหรือเครียดเกินไป

สิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้รับมานี้ เป็นเพราะคุณแม่ของผมที่ท่านปลูกฝังสิ่งดีงามไว้ในจิตใจผม ดังนั้นเมื่อผมเกษียณอายุราชการ ผมจึงคิดที่จะอุปสมบทเพื่อตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน ผมได้มาพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล จากการแนะนำของภรรยาผม ซึ่งคอยเล่าเรื่องของท่านให้ผมฟังอยู่เสมอ จนเมื่อผมว่างเว้นจากราชการแล้วผมจึงไปกราบนมัสการท่าน เมื่อผมได้พบท่านเป็นครั้งที่สามผมจึงตัดสินใจขอการอุปสมบทจากท่าน หลวงพ่อท่านรับ โดยขอให้จัดงานบวชแบบเงียบ ๆ และตั้งใจฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อตอบแทนพระคุณของคุณแม่

ผมได้อุปสมบทที่วัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ พระอุโบสถ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล เป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดระยะเวลาที่ผมบวชนั้นมีค่ามาก หลวงพ่อท่านลงสอนพระภิกษุ และสวดชยันโตถวายพระพร นั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ๓๐ นาที เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสที่ท่านทรงครอบราชย์ครบ ๕๐ ปี ในทุก ๆ วันหลังทำวัตรเย็น ธรรมะที่ท่านสอนพระภิกษุและประชาชนเป็นธรรมะที่มีเหตุมีผล ฟังง่าย เป็นการเตือนสติทั้งนั้น เป็นโอวาทที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด จี้ใจคนมากที่สุด ฟังแล้วซึ้งใจมาก

ในส่วนตัวของท่านเองผมรู้สึกประทับใจท่านมาก เพราะท่านเป็นพระที่เสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อยเลย ผมประสบมาด้วยตนเองในขณะที่บวชอยู่กับท่าน ท่านทำงานทั้งกลางวันกลางคืน บางวันกว่าท่านจะได้จำวัดก็ตี ๔ ผู้คนก็เข้ามาที่วัดอัมพวันมาก ท่านก็ทนสู้และทนสอนประชาชนโดยไม่ห่วงตนเองเลย

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่วัดผมมีความสุขจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาก เพราะผมไม่มีกังวลใด ๆ มีแต่ความคิดที่จะปฏิบัติเพื่อตอบแทนพระคุณมารดา ทุกวันพระภิกษุที่วัดต้องตื่นตามเสียงระฆังในเวลาตี ๓ ครึ่งเพื่อลุกขึ้นมาเดินจงกรม และนั่งเจริญกรรมฐาน และต้องปฏิบัติกิจกรรมของสงฆ์อยู่ตลอดทั้งวัน

ผมลาสิกขาบท เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ ผมจะขอนำสิ่งที่ท่านสอนไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวผมเอง และบุคคลที่ผมเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการงานในชีวิตประจำวันนั้นยังสามารถนำกรรมฐานมาใช้ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ กรรมฐานช่วยให้การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น ช่วยให้จิตใจสงบขึ้น และมีเหตุมีผลขึ้น

สิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้เรียนให้ทราบทุกเรื่องนี้ คงจะเป็นประโยชน์ให้กับคนหรือข้าราชการที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง หรือมีปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จากการกลั่นแกล้งก็ดี หรือทำดีแล้วไม่ได้ดี ซึ่งผมขอให้ท่านจงอดทน และจงเชื่อมั่นเถิดว่า คนที่สร้างความดีย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบแทนแน่นอน มันเป็นหลักของกฎแห่งกรรมที่ไม่มีใครหนีพ้นความจริงไปได้ ความดีนั้นบางครั้งต้องใช้เวลา และบางครั้งมันอาจจะไม่สนองกับท่านโดยตรง แต่มันก็จะสนองต่อบุคคลที่ท่านรัก ส่งผลให้ท่านมีความสุขใจสบายใจ สมดังคำที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมักเทศน์สอนให้กับลูกศิษย์ของท่านเสมอว่า “มารไม่มี บารมีไม่เกิด คนสร้างความดีย่อมมีอุปสรรค คนจะดีได้ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคได้ และเมื่อนั้นความดีย่อมสนองคนที่ทำดีแน่นอน”