ทำความดีนี้แสนยาก

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๒๖ ต.ค. ๓๗

ในวันนี้จะให้คติกรรมฐาน พูดถึงวิธีการทำกรรมฐานอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลผู้มีชีวิตอยู่ และบุคคลที่ตายไปแล้วสู่สัมปรายภพ จะอุทิศอย่างไร มีคนยังไม่เข้าใจอีกมาก ตายไปแล้วอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ จึงไม่สามารถจะอุทิศได้

การเจริญกรรมฐานดีที่สุดในโลก ได้บุญกุศลทั้งผู้มีชีวิตอยู่ และผู้ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภพ วันนี้จะยกตัวอย่างหลายเรื่องให้ท่านเข้าใจในเรื่องบุญให้ถูกต้อง ตั้งใจทำกุศลจะได้ผลประการใด

พระพุทธเจ้าสอนนักสอนหนา แต่เราฝึกไม่ถึงขั้น ดียังไม่พอ ยังไม่พอดี ยังไม่เหมาะสม ไม่เสมอต้นเสมอปลาย ไหนเลยล่ะเราจะได้บุญ ได้กุศล อุทิศผลงานไปให้คนอื่นเขาได้ ผลงานเรายังไม่มี ฝึกไม่เต็มขั้น ดียังไม่พอ เลยก็หาเรื่องไปว่า กรรมฐานไม่ได้ผล หาเรื่องไปว่า บุญไม่ช่วย ตรงนี้น่าฟัง น่าคิด น่าพิจารณามาก

ต่อนี้ไปโปรดตั้งใจฟัง เพราะหลักของพระพุทธเจ้าต้องศรัทธา ต้องเชื่อ ต้องเลื่อมใส ท่านจะมานั่งหลับตาสัก ๑๐๐ ปี ก็เอาดีไม่ได้ เพราะไม่ศรัทธา ทำไปโดยเขาทำกัน เราก็ทำบ้าง ท่านจะไม่ได้อะไรติดตัวไปในอนาคตแต่ประการใด ขอท่านติดตามฟังต่อไป ณ โอกาสบัดนี้ ขอเจริญพร ขอเจริญสุขโดยทั่วหน้ากัน

ในโอกาสที่เป็นมิ่งขวัญมงคลในวันนี้ อาตมาจะชี้แจงให้บางท่านเข้าใจว่า วิธีสร้างคนดีนั้นไม่ใช่สร้างที่ทุกคนนะ ทำได้ยากมาก เหตุผลอย่างไรเรียกว่าทำได้ยาก เพราะมันมีศัตรูในใจ ศัตรูในใจนี่สำคัญมาก ที่สร้างคนดีไม่ได้ผล เพราะมันมีศัตรูในใจ

ขอเจริญพรว่า ทำความดี น่ะยาก ต้องใช้เวลามากต้องฝึก ไม่ใช่ทำความดีตรงไหนได้ตรงนั้น อย่างที่เขาพูดกันนั่นมันตื้นเกินไป

ทำความดีนั้นต้องมีอุปสรรค คือ มีศัตรูในใจมันมาปิดบังอำพราง บุญมีแต่กรรมบัง มันไม่อยากให้สร้างความดี มันมาแย้งกับเราคือ ศัตรูในใจ ไม่อยากจะสร้างความดีกับเขาตรงนี้น่าคิดมาก

คนที่สร้างความชั่วน่ะมันไม่มีศัตรูเลย ไม่มีอุปสรรคด้วย เหมือนไหลไปตามน้ำ สบาย ไม่มีใครขัดคอแต่ประการใด แต่ถ้ามันสร้างความดี ท่านมีศัตรูทีเดียว มันมาแย้ง มันมาเป็นมารให้เราไม่สร้างความดี

ท่านทั้งหลายโปรดตีความก่อน ไม่ได้หมายความว่า สร้างความดีแล้วจะสบายอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ใช่ต้องการสบาย ต้องการอยู่เย็นเป็นสุข กินสบาย นอนสบาย นั่นกำลังชั่วแล้ว กำลังทำความชั่ว

แต่หลักที่อาตมาจะชี้แจงนั้น สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้ทุกวิถีทาง สร้างความชั่วชอบลงทุนความสบาย เอาปูนหมายหัวคนนั้นไว้ก่อน กินสบาย นอนสบาย ไม่เอางานเอาการแต่ประการใด ตรงนั้นน่าคิดพิจารณา เอามาพิจารณาคน

พระเอกนางเอกในเรื่องละครชีวิต ไม่เคยมีความสบายเลย ตลอดลาโรงของชีวิตละคร มีแต่ความยากความลำบากที่ต้องระหกระเหิน ต้องใช้อุดมการณ์ อุดมคติมากมาย

ถ้าท่านทั้งหลายเกิดมากำพร้าพ่อกำพร้าแม่ ต้องช่วยตัวเองมาตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆ ประสบการณ์มาทุกวิถีทาง นั่นแหละจะมีอุดมการณ์มาก จะเป็นคนที่มีอุดมคติ มีทักษะ จะมีความนึกคิด มีชีวิตอันเป็นแก่นสารของบุคคลที่มีผลงาน ดังที่ชี้แจงแสดงมา ณ บัดนี้

คนเราอยู่อย่างสบาย พ่อแม่เลี้ยงอย่างสบาย คอยดูต่อไป พ่อแม่ล้มหายตายจากไปแล้วไปมีครอบครัว ไปประสบความลำบากขึ้นมาอดทนไม่ได้ ประเภทนี้ไม่ใช่พระเอกนางเอกในเรื่องละครชีวิต กลับเป็นตัวโกง ตัวเล่ห์กระเท่ห์ ตัวหางเครื่องตลอดรายการ

ท่านทั้งหลาย ดูหนังดูลิเก ดูละคร ดูหนังจีน พระเอกนางเอกต้องลำบากที่สุดจนชีวิตหาไม่ แต่ตัวโกง ตัวเฉฉวนชวนให้เราหลง งงในโมหะ มันบอกเราว่า อย่าทำกรรมฐานเลยเมื่อยเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ นี่แหละศัตรูมารทั้งหลายมากระซิบ นั่งทำไม มันเมื่อยขบไปหมด มาทรมานกายไม่ดีเลย นี่ศัตรูใช่ไหม เราก็เชื่อศัตรูเป็นมารร้าย

ฟังติดตามข้อสอง มารไม่มี บารมีไม่เกิด ประเสริฐไม่ได้ ถ้ามารมีต่อสู้มาร ขอฝากพี่น้องกรรมฐานไว้ทุกคน มีความหมายเพราะเหตุใด จะสร้างความดีมันมีศัตรูมากมายเหลือเกิน เรามีบุญแต่กรรมบัง ไม่อยากให้สร้างความดี มาปิดบังอำพรางเรา

เรามานั่งกรรมฐานเอาแต่ความสบาย วันนี้นั่งสบายไม่มีเวทนา จิตฟุ้งซ่าน ท่านคิดไหมว่าท่านจะได้ ครูไม่มาสอนท่านแล้ว ว่างเปล่า นั่งสบาย ใจก็ลอยออกไปชมวิวทิวทัศน์ถือว่าได้ญาณ ถือว่าได้ผลงาน นั่นแหละถือว่าเลว ไม่ได้อะไรเลย เพราะครูไม่มาสอน

ครูเวทนาก็ไม่ได้มาสอน ครูฟุ้งซ่านก็ไม่ได้มาสอนออกมาอย่างนี้นะ แต่ท่านตีความผิดกันทั้งนั้น เข้าใจว่านั่งสบายวันยังค่ำ ไม่เมื่อยไม่ปวด คิดว่าท่านได้ฌานได้ญาณ คิดว่าได้สมาธิ ไม่ได้เลยนะ ไม่ได้อะไรเลย

ตรงกันข้ามกับมารอันนี้ ถ้าเรามานั่ง ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก เดี๋ยวก็ปวด เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็เสียใจ เดี๋ยวก็ดีใจ นั่นแหละครูมาสอน ต้องเรียน ต้องเรียนตำรานั้นให้ได้เรียกว่า สมถะ

สมถะ แปลว่า ต้องศึกษา แสวงหาความรู้ ถ้ารู้จริงเมื่อไรพบของจริง ได้ของจริง ของแท้ แน่นอนแล้ว จึงจะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นวิปัสสนา ขอฝากท่านไปตีความให้มันชัดเจนกว่านี้หน่อย

จิตมีอุปาทาน จิตยึดเวทนา ยึดมากปวดมาก ยึดน้อยปวดน้อย ถ้ายึดมากหนักเข้ามันก็ปวดน้ำตาจะร่วง นั่นแหละการศึกษาแสวงหาความรู้ เรียกว่า สมถะ

กำหนดจิตได้ต่อสู้กับเวทนา พอทราบความจริงของเวทนาแล้วมันบังคับบัญชาไม่ได้ เวทนาแปลว่า บังคับไม่ได้ บัญชาไม่ได้ ไม่มีตัวตนแต่มันปวดที่ไหน ปวดที่ขา ขานี่คืออะไร สังขารปรุงแต่ง อาศัยรูปอยู่ ณ บัดนี้ มันจึงปวดดังที่กล่าวมา

พอศึกษาให้เข้าใจของหลักธรรม ปวดหนอ ๆ ๆ ๆ ศึกษาหนักเข้าไปเป็นสมถะ จับจุดมุ่งหมายได้ก็แตกโป้ง รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ก็เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พบตรงนั้นเมื่อไร จิตก็ไม่เป็นอุปาทานยึดมั่นอีกต่อไป ตรงนั้นแหละมันจะไม่ปวดต่อไป

มันปวดเพราะจิตใจไปยึด แต่จำเป็นต้องยึด เหมือนโยมขึ้นบันได มีอยู่ ๙ ขั้น ก้าวขั้นที่ ๑ ก็ต้องเกาะ ก้าวขั้นที่ ๒ มือก็ปล่อย อย่างนี้นะ ก้าวขึ้นอีกก็ปล่อยอีก ต้องก้าวไปถึงขั้นสุดท้ายเลยนะ ถึงจะปล่อยได้

ก้าวต้องมีที่เกาะ เกาะต้องมีที่เก็บ ตรงนี้ลึกซึ้งมาก แต่เราไม่สามารถจะตีปัญหาอันนี้ได้ เราไม่มีโอกาส เราจึงเห็นว่ายาก ที่อาตมาพูดไว้เมื่อวันก่อนว่า ยากแท้แต่เราไม่เคย ถ้าเคยแล้วมันง่ายแท้ เพราะทุกอย่างต้องฝึก เรียกว่า สมถะ

ถ้าท่านทำงานเรียนวิชาเสร็จแล้วไม่ได้ฝึก รับรองจะไม่ได้ผล ทุกอย่างต้องฝึกหมด

ที่อาตมากล่าวไว้แล้วเป็นเวลานาน แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ มีแรงจะไปจ้ำเรือแต่เสียใจด้วย ท่านพายเรือไม่เป็น ลงเรือก็จะล่มแล้ว นี่หรือจะไปอวดรู้อวดดี จะไปแข่งเรือใช่หรือไม่

ไม่ฝึกการพายเรือ จะมีแรงยังไงก็จ้ำไม่ไป มันก็หมุนไปทางโน้น หมุนไปทางนี้ นี่แหละจุดมุ่งหมายอันนี้ต้องฝึกต้องหัด ต้องดัดนิสัย จิตใจก็จะเข้าสู่จุดมุ่งหมายอันนั้นเป็นประการสำคัญ

ปวดหนอ ต้องศึกษาอย่าเลิก ทักษะแปลว่า อะไรหรือเกิดความคิดใหม่ ๆ เรื่องเก่ามาคิดให้ทันสมัย ประยุกต์ปริทรรศน์ให้เกิดวิปัสสนาญาณ เป็นผลงานของชีวิต ประจำจิตประจำใจ ประจำถิ่นประจำฐาน ประจำครอบครัว จะมีความสุขในตัวเอง ออกมาในทำนองนี้เป็นต้น

ไม่ได้หมายความว่า นั่งสบายแล้วได้ญาณโน้น ญาณนี้นั่นแหละครูไม่มาสอน ไม่ได้เรียนเลยนะ เหมือนท่านเป็นนักเรียน ครูไม่มาสอนสนุกดี สบายเล่นกันทั้งชั้น พอครูมากก็ปวดหัวแล้ว ครูสอนภาษาอังกฤษมาก็ปวดหัวเหลือเกิน นั่นแหละเหมือนอย่างนั่งกรรมฐานละ แต่ท่านก็ไม่มีความเข้าใจจะเอาญาณโน้น ญาณนี้ จะไปสวรรค์ นิพพาน จะผิดหวังอย่างน่าเสียดายนะ

ต้องฝึกจิตก่อน พัฒนาจิตให้มันดี จิตดีมีปัญญารับรองครรลองที่สองมาแล้ว โดยอัตโนมัติ คือ พัฒนาการศึกษา อยากจะเรียน อยากจะรู้ อยากจะดู อยากจะเห็น อยากจะเป็นพยานหลักฐานให้แก่ตัวเอง

ถ้าจิตไม่ดีแล้วเลวทั้งหมด ไม่อยากจะเรียนอะไร ไม่อยากจะศึกษาอะไร ถ้าเป็นนักเรียนก็เลว ไม่เอาเหนือเอาใต้ วิ่งเล่นให้เกรียวกราวเหมือนลิงค่างบ่างชะนี ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องฝึกตั้งแต่เล็ก ๆ

นิสัยปัจจัยแปลว่าแบบอย่าง แบบไม่ดี เพราะนิสัยมันไม่ดี ถ้าจิตใจดีแล้วแบบสวย รวยด้วย มีแบบมีผังมีแปลน ทำอะไรก็แผนผัง มีแบบแปลน ถึงจะถูกต้องตามวิธีการที่พระพุทธเข้าสอนมา

นี่เป็นจุดมุ่งหมายที่น่าเสียดายมาก คนเราเข้าใจผิดกันมากมาย อยากจะหลับตาไปสวรรค์นิพพาน ไปเห็นพระพุทธเจ้ามาคุยกันสนุกสนาน มันจะเบลอไปนะ

เมื่อสองวันมานี้เขามาเล่าให้ฟังว่า แหม! หลวงพ่อเอ๋ย เมื่อคืนนอนไม่หลับ ดีใจเหลือเกิน พระพุทธเจ้ามา สวยมากเลย เอาละ ให้คะแนนไป ๖๐% คือประสาท มีมาเยอะ โรคประสาทขึ้น ๖๐% เจริญสมาธิไม่ได้นะ

โปรดตั้งใจฟัง อาตมาได้ประสบการณ์มา เลือดลมไม่ดีเจริญกรรมฐานไม่ได้ เป็นด็อกเตอร์ เครียดเนื่องจากขาดทุน ๑๕ ล้าน เลยไปนั่งกรรมฐานในกรุงเทพฯ นั่งแค่วันเดียวจำเมียไม่ได้ จำลูกไม่ได้ ขนาดเป็น ด็อกเตอร์นะ ไปหาพระหมอดูบอกว่า ถูกแรงสินบน ผีเข้าเจ้าทรง ว่ากันไปนั่น รักษาไปก็ไม่หาย พ.อ.ทองคำ ศรีโยธิน เอามาที่วัด

อาตมาดูแล้วเครียดมาก เครียดแล้วเกร็งเลยนะ จำแฟนไม่ได้เลยจะเอายังไง เลยให้เอาจดหมายของอาตมาไปที่โรงพยาบาลพญาไท ให้หมอฉีดยาให้ ๒ เข็ม หายเดี๋ยวนั้นเลย

ภาวะไม่สู่ความเป็นปกติ เจริญสมาธิไม่ได้ เดี๋ยวก็เกร็งเดี๋ยวก็เครียด ระวังนะ ส่วนมากจะเป็นนักเรียนนักศึกษา ไม่ใช่ว่าเป็นโรคประสาทแล้วนั่งสมาธิจะหาย ไม่ใช่นะ ตีความให้มันถูกต้องหน่อยได้ไหม

จิตที่ห้ามไม่ได้มีกี่อย่าง โปรดตั้งใจฟัง

๑.   อำนาจโลภะ ขณะโลภอย่าไปห้าม ต้องให้ลดก่อน อยากได้ของเขา กลุ้มอกกลุ้มใจต้องเอาให้ได้

๒.   อำนาจโทสะ กำลังโกรธ กำลังจะต่อย ห้ามไม่ได้

๓.   อำนาจโมหะ โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ดูหน้าใคร ไม่มองหน้าใคร โง่ เง่า เต่า ก็ใช้ได้ ถ้าถึงตัวตุ่นไม่ต้องสอน ดื้อที่สุด จะลงรูตะพึด คนดื้อทีสุดคือคนโมหะ ไม่ใช่โทสะ จำไว้ เอาดีไม่ได้ ไม่ยอมรับความรับผิดชอบ และไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย ขอฝากท่านผู้ใหญ่ไว้ ผู้สูงอายุที่เคารพตัวตุ่นไม่ต้องสอน เพราะอะไร ตำราของอาตมามีนะ

คนบ้าอย่าถือ มีคนบ้าไหม บ้าแปลว่าอะไร ปุถุชนแปลว่าคนบ้า อาตมาพูดให้โยมฟังก็บ้าพูด โยมก็บ้าฟัง บ้าด้วยกัน ถ้าไม่พบเลือดบ้าก็เข้าไปในธรรมะของพระขีณาสพ (พระขีณาสพ หมายถึง บุคคลสิ้นอาสวะแล้ว ผู้กระทำกิจเสร็จแล้ว เป็นพระอรหันต์ แล้ว)

คนดื้ออย่าสอน ยังมีคนดื้ออีกเยอะ ดื้อเป็นพี่ชายของด้าน จริงเท็จประการใด ขอให้ท่านประเมินผลต่อไป ไม่ใช่อาตมาพูดไม่มีเหตุผลนะ

สอนคนดื้อแล้วไม่ได้ผล เพราะมันดื้อ มันด้าน หมดโอกาสที่จะสอนได้ ไปสอนให้เสียเวลาเปล่า ๆ สำหรับคนที่ไม่มีหน่วยกิต ไม่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่มีกุศลขันธ์อยู่ในชีวิตจิตใจของเขา ไม่มีรูปแบบ รูปแผน นิสัยปัจจัยไม่มีทางนี้ อย่าไปสอนเสียให้ยาก ไม่เกิดประโยชน์

คนจรอย่าคบ
คนประจบอย่ารัก
คนทักอย่านิ่ง
คนจริงอย่าหน่าย
คนอายอย่าล้อ
คนง้ออย่าโกรธ
คนโฉดอย่าเข้าใกล้
คนตายอย่ากลัว
คนชั่วอย่านำพา

กำหนดจิตเจริญภาวนา เป็นการสำรวจ สังวรระวัง ถ้าใครมีกรรมฐานจะสวยงาม จะเดินไปไหนก็สวยน่ารัก มีมารยาท ชาติผู้ดี เพราะเรามีศีลธรรม

ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้ว จะมีมารยาทชาติผู้ดีได้ไหม จะไม่มีเลยนะ ไม่ต้องไปมองกันหรอก ดูหน้าก็รู้ หน้ายี่ห้อมันบอก คนนี้แหลมลึกเหมือนส้นช้างไม่ได้ ต้องแหลมเหมือนหนาม แต่ก็เสียใจด้วย ต้นไม้มันแหลมทุกต้นไม่ได้ มันมีหนามเป็นบางต้น

คนเราก็เช่นเดียวกัน มีหนามบ้าง ไม่มีหนามบ้าง หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง ถ้าไม่มีหนามทำอย่างไร ต้องเสี้ยม ต้องสอน ต้องสอนต้องเสี้ยม มันถึงจะแหลม

เรามีลูกต้องเสี้ยมต้องสอนนะ ถ้าไม่เสี้ยมสอนมันเป็นไปไม่ได้ ต้องฝึกลูกตั้งแต่เล็ก ๆ ตั้งแต่เด็กแดงร้องอะแว้ออกมานะ นกอยู่ในกรงให้รีบสอน จะสอนอะไรก็สอนให้มาก มีปีกมีหางหนีออกจากกรงแล้ว ไม่ต้องตามไปสอนนะ จะเสียใจอย่างน่าเสียดาย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นยอดในโลก ยอดพัฒนา ปลุกคนให้ตื่น เสกคนให้เป็นงานทั่วโลก พระองค์ท่านไปนั่งหลับตาอยู่ ๖ พรรษา ในอรัญราวป่า กว่าจะได้พบวิชานี้ ต้องเหนื่อยยากหลายประการ

แต่อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าจบ ๑๘ ด็อกเตอร์ เรียกว่า ๑๘ ศาสตร์ ถ้าผู้ศึกษาจะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเรียนมาก่อนเรียนมาหลายชาติ หลายกัปป์ หลายกัลป์แล้ว กว่าจะมาตรัสรู้เป็นพระสยัมภูสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ใช่มากันสองวัน มานั่งกันจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ สำเร็จเป็นพระโสดาอย่างนั้น อาตมาว่าอย่าเพิ่งเอาโสดาเลย เอาโสดีก่อน

๔.   ประสาทกำลังขึ้น ห้ามไม่ได้ ต้องให้ประสาทลดลงก่อน บางคนจับไมค์ตามงาน อาตมาสังเกตดูนะ พอแย่งไมค์ก็โกรธเลย นี่ประสาทกำลังขึ้น

๕.   จิตคิดจะไป ใครอย่าไปห้าม ตรงนี้ท่านรู้ไหม ต้องเข้าใจข้อนี้ด้วย จิตคิดจะไปแล้วใครห้ามไม่ได้ ขอประทานโทษ ขออนุญาตกล่าวคำนี้ว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกได้เฉพาะตัวเท่านั้น จิตใจลูกเราเลี้ยงได้ไหม จิตใจลูกจะไปกับใครจะบอกไหม

เหมือนตัวของโยมเองทุกคน กับอาตมาด้วย จิตคิดจะไปแล้วห้ามไม่ได้เลย ถ้าหากภาวะสู่ความเป็นปกติแล้ว ถึงจะห้ามได้ ขณะที่โกรธจัด จะตบกัน เราไปห้าม เดี๋ยวก็โดนตบ โดนตีด้วย ถ้าหากภาวะเข้าสู่ความปกติเมื่อใดแล้วถึงจะห้ามได้

เพราะฉะนั้นการเจริญกรรมฐานเป็นการมีเบรคในตัวถ้าหากไม่มีเบรคในตัวแล้วห้ามไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกไว้ ไม่มีทางนะ เวลาโมโหขึ้นมานี่ มันโกรธจัด ห้ามไม่ได้ขณะนั้น เมื่อเราห้ามไปแล้วเดี๋ยวก็มาต่อยเอา ไม่เชื่อฟังขณะเกิดโทสะนั้น

ถ้าโทสะลดลงไป ใจดีแล้ว จากหายใจสั้น ๆ กลับไปหายใจยาวแล้ว ใจดีมีปัญญา จะพูดอะไรก็พูดกันตอนนั้น ขณะที่มีโทสะอย่าไปพูดกัน ถ้าพูดกันจะไม่รู้เรื่องเลยนะ จะไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ตรงนี้ต้องฝึกนะ ต้องฝึกนานด้วย ไม่ใช่วันสองวัน หรือเวลาเดียวนะ ต้องฝึกไปตลอดชีวิต มีอะไรก็ต้องฝึก ๆ ไป จิตใจจะได้สู่ภาวะแห่งความเป็นปกติ คนที่ประสาทขึ้นมานี่ห้ามไม่ได้ และมาเจริญกรรมฐานก็ไม่ได้ด้วย ต้องให้ภาวะสู่ความเป็นปกติให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยมาเจริญสมาธิ

บางท่านก็สอนผิด เวลาเป็นโรคประสาทมานั่งกรรมฐานแล้วหาย ไม่หายหรอก ขณะที่มันขึ้น ฝึกไม่ได้ ฝึกแล้วเดี๋ยวก็ร้องรำทำเพลง บ้าบอคอแตกไป มีที่วัดนี้เป็นตัวอย่าง

เลือดลมไม่ดีอีกอย่างหนึ่ง เลือดจะไปลมจะมา ไม่เคยฝึกไว้ก่อน อย่ามานั่งกรรมฐานะนะ เดี๋ยวด่าสามีแหลกไปเลย มันออกมาแบบนี้ชัด

ถ้าเราฝึกไว้ก่อนแล้ว ทุกอย่างแก้ได้หมด ถ้าเราไม่ฝึกไว้ก่อน ทุกอย่างแก้ไม่ได้เลย คนเลือดลมไม่ดี ดานเลือด ดานลม ลมเพลมพัด เจริญสมาธิยังไม่ได้ในครั้งแรก เขาเรียกลมเพลมพัด แต่เรากลับกลายว่าถูกกระทำยำยี ไม่ใช่เลยเลือดลมในตัวไม่ดี แค่เอาน้ำเปล่า ๆ ไปพ่นเข้าหน่อยยังดิ้นเลย

คนที่เหนือวัดเบาเป็นลมเพลมพัด อาตมาเรียกมาทดสอบว่าจะทำน้ำมนต์รดนะ ก็เอาน้ำมาทำปากขมุบขมิบเฉย ๆ ไม่ได้ ว่าคาถาเลย พอเอาน้ำรด ดิ้นตูม ๆ เลย ร้องกลัวแล้ว กลัวแล้ว เอ๊ะ กลัวอะไร น้ำแท้ ๆ ไม่ได้มีคาถาเลย อาตมาก็เลยกลายเป็นหมอผีไป แท้จริงไม่ได้ว่าคาถาอาคมเลยนะ

คนที่มีสติดีคือคนที่เจริญกรรมฐาน ผีไม่เข้าเจ้าไม่สิง คนผีเข้าเจ้าสิง อาตมาไม่เชื่อได้ เพราะเหตุใด ส่วนมากจะเป็นแต่โยมผู้หญิง

ยกตัวอย่างให้เห็นตามวัดเขาชอบสวดภาณยักษ์กัน นะโม… ว่าเสียงเหมือนยักษ์ ผู้หญิงสองคนดิ้นแล้ว ตูม ๆ ผีเข้า แล้วทำไมไม่เข้าทุกคนล่ะ สอบสวนทวนถามแล้ว สองคนนี่ใจอ่อน เป็นลมเพลมพัด ถูกน้ำมนต์ไม่ได้ ประเภทใจอ่อนทั้งนั้น ผีถึงจะเข้าเจ้าถึงจะสิง ใจเข้มแข็งอดทนฝึกกรรมฐานไว้ ผีไม่เข้าเจ้าไม่สิง ไม่ต้องไปหาอาคมแต่ประการใด

ตรงนี้เป็นหลักสูตรของผู้มีใจเข้มแข็ง มานั่งเจริญกรรมฐานต้องจิตใจเข้มแข็ง มาฝึกความอดทนกันนะ ไม่ใช่มานั่งเล่นกันอย่างนี้ มานั่งกรรมฐานนี่เป็นการออกแขก ถ้าออกแขกดีโยมจะดีตลอดชีวิต ถ้าลิเกโรงใดออกแขกไม่ดี เล่นไม่ดี ตลอดชีวิต ดูหน้าตารู้เลยว่าคนนี้เอาดีไม่ได้ มาทำกรรมฐานก็ได้บาป ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นคุณประโยชน์แต่ประการใด จุดนี้เป็นจุดที่น่าศึกษา น่าแสวงหาความรู้กัน

มาสร้างความดีก็ต้องละความชั่ว สร้างความดีก็ต้องละบาป มาทำบุญยังมีบาปในใจมากอีก รับรองไปไม่รอด ไปทอดกฐินกี่โครมก็ไม่ได้ผล เสียเปล่าโดยปราศจากประโยชน์ ไม่ได้บุญได้กุศลไปทำทำไม

ตรงนี้เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญอันหนึ่ง น่าจะเป็นที่พึ่งของเราชาวพุทธไปได้แล้ว แต่ไม่เอากัน ไปเอาสิ่งที่อยู่นอกตัว ขยันนอกหน้าที่การงาน ได้ที่จริงไม่ชอบไปชอบที่ไม่จริง ที่ได้ไม่เอา ไปเอาที่ไม่ได้ ไม่มีการสร้างความสุขความเจริญในชีวิตของตน อันนี้สำคัญมากน่าจะเข้าใจ

ข้อนี้อาตมาเป็นห่วงโยมเหลือเกิน ต้องทำให้มันถูกจุดตั้งอกตั้งใจ ถ้าตั้งใจทำงานมีงานทำเยอะ ถ้าคนขยันงานเหลือมือ คนขี้เกียจไม่มีงานทำ คนขี้เกียจเป็นคนประเภทโมหะ พวกไร้ปัญญาขี้เกียจที่สุด ไม่อยากเอางานเอาการแต่ประการใด บ้านรกรุงรังอย่างรังไก่รังกา แต่ไม่มีงานทำ คนประเภทโมหะไม่ควรจะฝากงานให้ บ้านของตัวเองยังสกปรก ที่กินยังไม่สะอาด ยังไม่ดี ที่ถ่ายก็ยังไม่ดีด้วย สวนรกรุงรัง ก็มาถางสวนให้มันเตียน ปลูกต้นไม้ให้งอกงามเข้าซิ ถึงจะเรียกว่าคนทำงาน

คนมีธรรมมะเป็นคนขยัน คนปฏิบัติธรรมมีแต่ความขยันหมั่นเพียรไม่มีขี้เกียจเลย คนมีคุณธรรมมีค่าสูงมาก ถ้าจิตใจมีคุณธรรม มีคุณค่าของจิต ผลงานก็ตามขึ้นมา ชีวิตมีค่า เวลาก็มีประโยชน์เกิดขึ้น

เรามาปฏิบัติธรรมกันต้องให้ถึงธรรมะ อย่าลดละภาวนาไว้ตลอดรายกาย มีสติสัมปชัญญะรวบรวมเข้าไว้ก่อน ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะสวยน่ารักจริง ๆ จะเดิน จะยืน จะนั่งจะนอน จะเหลียวซ้ายแลขวา จะคู้เหยียด เหยียดขา มีระบบ มีระเบียบ เพียบด้วยวินัย มันจะบอกออกมาชัด จะควบคุมตัวเองได้

คนที่เป็นโรคประสาท จะไม่มีสติควบคุมตัวเอง จึงทำไม่ได้ บางทีนั่งแข็งโด่ไปเลย เดี๋ยวเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ บางคนเป็นโรคลมชัก พอนั่งจิตเป็นสมาธิชักเลย แล้วหาว่ามานั่งกรรมฐาน มาชักที่วัดอัมพวัน อาตมาบอกว่า ไม่ใช่หรอกถามแม่ของเขาดูซิ แม่บอกว่า เด็กคนนี้ชักมานานแล้ว ไม่มีทางหาย ตายฟรี เป็นโรคกรรม ต้องชักจนกระทั่งตาย เดี๋ยวนี้ชักตายไปแล้ว

นี่เห็นไหม พ่อแม่แก้ไขปัญหาชีวิตไม่ได้เลย หาที่พึ่งให้ลูกไม่ได้ ลูกพิการหรือเป็นอะไรก็ตาม พ่อแม่ช่วยกันสวดมนต์ภาวนา เจริญกรรมฐานบางทีก็หายได้เลยนะ พ่อแม่บางคนก็ไม่เอาไหนอีก สร้างความดีไม่ถึงที่ ดีไม่ถึงขั้น ดีไม่พอลูกจะได้ดีอย่างไร

พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ได้ดูลูก เพราะไม่ได้สวดมนต์ เจริญกรรมฐาน อาตมาจับจุดได้หมด คือ กฎแห่งกรรม เอาลูกไปฝากวัด ไม่เคยให้เงินลูกเรียนหนังสือ มีตัวอย่างที่ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี อาตมาต้องแก้ปัญหาให้เด็ก ให้ทุนไปเรียนหนังสือ วันนี้ให้ไปอีกเป็นทุนต่อเนื่อง

เด็กร้องไห้เลยบอกว่า หลวงพ่อไม่ได้เป็นอะไรกับผม พ่อผมยังไม่เคยให้เลยแม้แต่สตางค์เดียว เอาละ! หลวงพ่อจะส่งเรียน บัดนี้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เขาเขียนจดหมายมาบอกว่าจะหางานทำด้วย ช่วยหลวงพ่อ พอมีงานทำแล้ว หลวงพ่อจะได้ส่งน้อยลงไป จะได้ช่วยอีกแรงหนึ่ง เด็กดีน่ะมีลักษณะอย่างนี้

อาตมารับหนังสือจากชลบุรีไม่พัก บอกว่าลูกฉันดีแล้ว ไม่เคยเถียงฉันเลย ก่อนไปเรียนก็ไหว้ฉัน กลับจากโรงเรียนก็ไหว้ ไม่เกเรแต่อย่างใด นี่เป็นคำชมที่เด็กเข้ามาอบรม

กรรมฐานนี่แก้ปัญหาได้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าไปอยู่ในป่า ๖ ปี ไปหลับตาดู ศึกษาวิธีแก้ปัญหา ไปศึกษาวิชาแก้ทุกข์เท่านั้นเองนะต้องใช้เวลาถึง ๖ ปี พอท่านได้แล้ว ท่านก็ลืมตาดูโลก ท่านไม่เคยไปนั่งหลับตาในป่าอีกเลยนะ

โลกนี้มันมืดเหลือเกิน ท่านจึงทำโลกให้สว่าง เรียกว่า โลกวิทู ท่านทำโลกให้แจ้ง ประชาชนมืดมนอาทรร้อนจิต ด้วยอำนาจกิเลสนานาประการ ฆ่ารันฟันแทงกันอยู่มิได้พัก โลกมันมืด ตั้งแต่นั้นมา พระพุทธเจ้าจึงได้สร้างพุทธกิจ ๕ ประการ ทำโลกมืดให้สว่าง (พุทธกิจ ๕ ประการ คือ พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญประจำในแต่ละวัน มี ๕ อย่าง คือ ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓. ปโทเสภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ ๔. อฑฺฒรตฺเต เทญฺหนํ เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา ๕. ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่)

สร้างคนให้เป็นคนดี ให้มีงานทำ สร้างอนุปุพพิกถา (เทศนาที่แสดงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจดเป็นชั้น ๆ จากง่ายไปหายาก เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะรับฟังอริยสัจ มี ๕ ประการ คือ ๑. ทานกถา พรรณนาทาน ๒. สีลกถา พรรณนาศีล ๓. สัคคกถา พรรณาสวรรค์ คือ ความสุขที่พรั่งพร้อมด้วยกาม ๔. กามาทีนวกถา พรรณาโทษของกาม ๕. เนกขัมมานิสังสกถา พรรณนาอนิสงส์แห่งการออกจากกาม)

พรรณนาให้ทานช่วยเหลือกันในโลกมนุษย์นี้ จนกว่าจะตายจากโลกมนุษย์นี้สู่สัมปรายภพ ท่านไม่เคยกลับไปนั่งหลับตาอีกนะ พระเดี๋ยวนี้ไม่สอน ออกไปนั่งหลับตาจนกระทั่งตาย ไม่ได้สอนใครเลยนะ

พระพุทธเจ้าโลกวิทู ทำให้โลกแจ้ง โลกคือหมู่สัตว์แห่งมนุษย์นี้ มันยังมืดอยู่ด้วยกิเลสนานาประการ พระพุทธเจ้ามาสอนตรงนั้นให้โลกสว่าง เรียกว่า โลกวิทู ควรจะแปลว่าอย่างนี้จะถูกมาก ไม่ใช่โลกวิทูทุกคนนะ มันคนละเรื่องกัน พระองค์ต้องการทำให้โลกสว่าง ต้องการให้คนนั้นมีสติปัญญาแก้ไขปัญหา แก้ทุกข์ได้ อย่างนี้จะถูกมาก ไม่ใช่โลกวิทูทุกคนนะ มันคนละเรื่องกัน พระองค์ต้องการทำให้โลกสว่าง ต้องการให้คนนั้นมีสติปัญญา แก้ไขปัญหา แก้ทุกข์ได้ อย่างนี้จึงจะถูกต้องตามวิธีการ จะมีประโยชน์สำหรับตัวเองที่เจริญกรรมฐานเท่านั้น คนที่ไม่เจริญกรรมฐานจะไร้ผลมาก

ญาติโยมที่ว่า มีศีลมีธรรม อาตมาไม่เชื่อโยมนะ รับศีลกันได้ทุกวัด รับศีลกันได้ทั่วประเทศไทย แต่จิตมันยอมรับไหมล่ะ รับแล้วไปฆ่าสัตว์ รับแล้วไปเบียดเบียนทรัพย์ของเขา รับแล้วไปร่วมประเวณีน่าบัดสีในสังคม รับแล้วยังจะไปโกหกมดเท็จขึ้นห้วยลงเขากันมากมายก่ายกอง รับแล้วยังไปดื่มสุรายาเมา ทำไมจะแก้จุดนี้ได้

ต้องเจริญกรรมฐาน ทำให้มีศีลแน่ ๆ ศีลแปลว่าอะไร แปลว่าปกติ ปกติมาจากไหน ก็มาจากมีสติสัมปชัญญะกำหนดจิต กำหนดจิตนั่นแหละมีศีล ถ้าเชื่อตามนี้ ถ้าศีลคือถือสัจจะ มีสติสัมปชัญญะจากการเจริญกรรมฐาน จะส่งเสริมจิตให้มีเมตตา จะได้ไม่ต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันต่อไป เห็นอกเห็นใจกันตรงนี้สิน่าคิด เพราะเรามาสร้างปฏิบัติการ

ถ้าโยมมีสติปัญญา สะสมหน่วยกิตไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เวลามีทุกข์มันจะออกมาแก้ ไม่ใช่ว่านั่งกรรมฐานได้ปัญญาเดี่ญวนี้นะ ไม่ใช้ต้องสะสมก่อนเป็นการสำรวมเข้าไว้ สำรวม คือ รวบรวมไว้ เรียกว่า สติ เป็นการระลึกก่อน สังวร คือ สัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลากาลในปัจจุบัน นั่นแหละ คือ สมาธิของวิปัสสนาญาณ

ถ้านั่งงุบหน้างุบหลัง สั่นไปสั่นมาใช้ไม่ได้ สมาธิเกินคาดสติขาดไป ก็เอาสติยัดเข้าไป มันจะดิ่งพสุธามีปัญญาแล้ว เรียกว่า ตัวสังขร ไปไหนก็ไม่ประมาท เรียกว่า ตัวระวัง เรียกว่า ปัญญา มันจะเกิดมาอย่างนี้นะ ถึงจะได้ผลได้อานิสงส์ในการปฏิบัติธรรม

โยมบางคนมานั่ง ๒ วัน บอกว่าได้โน่นได้นี่ อาตมาไม่เชื่อโยมหรอก อาตมาฝึกมาเป็นเวลานานแล้ว สอนมา ๔๐ กว่าปีแล้ว เราจึงรู้ประสบการณ์หลายนัยยะดังที่กล่าวมา ไม่ใช่มานั่งจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ เป็นพระโสดากัน ญาณโน้นขึ้นญาณนี้ขึ้น ไม่ใช่นะ เอาตรงนี้ก่อนได้ไหม ยืนหนอ ๕ ครั้ง ให้ได้หน่อยได้ไหม ยืนให้สติอยู่กับจิต เราจะต้องผูกจิตด้วยสติปัฏฐาน ๔ สร้างความดีให้กับตัวเอง ทำให้ได้

พอสติอยู่ดีกับจิตแล้วรับรองรู้หมดเลย รู้โน่นรู้นี่ รู้วาระจิตของคนได้ ว่าเขาต้องการอะไร ควรจะให้เขาหรือจะช่วยเขาโดยวิธีใด มันจะบอกออกมาเอง การบอกเองนี่เรียกว่า ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ รู้ได้เฉพาะตัวเอง คนอื่นไม่ได้รู้หรอก

กรรมฐานเป็นบุญวาสนาของคน ถ้าคนไร้บุญวาสนาจะไม่สนใจกรรมฐาน โยมเดินไปเถอะตั้งแต่วัดนี้ถึงปากน้ำโพ ทุกวันเจริญกรรมฐานบ้างไหม ทุกบ้านเจริญกรรมฐานบ้างไหม มีน้อยคน ดีแต่ไปบวชชีพราหมณ์ ไปนั่งยัดเยียดกันบนศาลา ไปดูกระดานป้ายว่าองค์ไหนมาเทศน์บ้าง ไม่ต้องทำกรรมฐานกันจะใช้ได้หรือ

เรามาปฏิบัติต้องปฏิบัติกันจริง ๆ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรให้มาก จึงจะถูกต้อง โยมจะได้อะไรกลับบ้านไปไม่มาก็น้อย

การทำธุระในศาสนาต้องคู่กันทั้งคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ จะปฏิบัติต้องมีความรู้ การปฏิบัติจะถูกต้องหรือไม่อาศัยวิชาการด้วย ต้องมีแผนที่ชี้บอกจึงจะถูกต้องควบคู่กันไป เรามีเท้า ๒ เท้า เท้าหนึ่ง ความรู้ อีกเท้าหนึ่ง ปฏิบัติตามความรู้นั้น ๆ เรียกว่า ภาคทฤษฏีกับภาคเชิงปฏิบัติการ นี่มีความหมายอยู่มิใช่น้อย

การปฏบัติกรรมฐานต้องการให้เรามีหน้าที่การงานด้วยความถูกต้อง งานที่ทำนั้นต้องเป็นงานที่ไม่มีโทษ งานที่ดีคือ งานที่เสร็จทันเวลาที่ตั้งใจไว้

 การเจริญกรรมฐานไม่ใช่ง่ายนะ ต้องคนมีบุญวาสนาถึงจะมาได้ ท่านทั้งหลายนับว่ามีบุญวาสนา อย่าทิ้งวาสนาทิ้งบุญเสีย บุญคือความสุข มาหาความสุขกันต้องชำระใจให้สะอาดหมดจด เรียกว่า กรรมฐานถึงจะเป็นบุญ ถ้าจิตใจโยมสกปรกลามกอยู่เสมอ โยมจะมีความสุขรึ ?ไม่ได้บุญเลยนะ

ความสุขข้อที่สองคือ นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอะไรจะยิ่งกว่าความสงบไม่มีแล้ว ถ้าไม่มีความสงบ วุ่นวาย โยมจะไม่พบความสงบที่ถูกต้อง จะเป็นความสุขเจือปนด้วยความทุกข์ หาใช่ความสุขตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ ความสุขที่พระพุทธเจ้าสอนต้องไม่มีกิเลสมาเจือปน

เรามาขัดเกลากิเลสกัน ต้องการให้กิเลสมันน้อยลงไป ไม่หมดกิเลสก็ยังดี ยังรู้ดี รู้ชั่ว รู้ตัว รู้กาลเทศะ กิจจะลักษณะบ้างตามสมควรแก่อัตภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทุกวันนี้ จึงจะเป็นประโยชน์นะ

การเจริญกรรมฐานต้องการสภาพชีวิต ต้องการจะรู้หน้าที่การงานด้วยความถูกต้อง เป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าดีชั่วประการใด คนอื่นเขาไม่รู้ นอกเหนือจากเรารู้เอง ถ้าเจริญกรรมฐานจะรู้ตัวเอง ว่าเราผิด เป็นการระลึกชาติได้แน่นอน ข้อที่สอง ระลึกถึงบุพการี จะไม่ลืมแม่ลืมพ่อ จะไม่ลืมสภาพความดีของชีวิต จะไม่ลืมโรงเรียน จะไม่ลืมสถานที่สร้างความดีให้กับเรามา

ประการที่สาม คือ รู้กฎแห่งกรรม ว่าเราทำมานั้นเป็นอย่างไร เราทำกรรมชั่วไว้ที่ไหน จะได้รับผลกรรมอย่างไรจะต้องรู้แน่

อาตมาทำไปไม่ได้มากมายอะไร ยังรู้ว่าวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ต้องตาย รถชนเราแน่ ขาก็หัก แขนก็หัก ไฟก็ลวก ฟ้าก็ผ่าแล้ว ผ่าที่หน้ากุฏิเลยนะ อย่าลืมนะท่านทำกรรมอะไรไว้บ้าง

มีอยู่คนหนึ่งเป็นชาวมาเลเซีย ปวดขามา ๗ ปีแล้ว ทรมานเหลือเกิน พูดไทยไม่ได้ มานั่งกรรมฐานที่วัดนี้ กำหนดปวดหนออย่างเดียว ปวดจนน้ำตาร่วง ปวดหนักตั้งสติไว้ ปวดหนอนี่อุปาทาน ยึดการศึกษาเรียกว่า สมถวิธี เป็นการศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง

พอเห็นจริงแล้ว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วูบเลย เวทนาหายไปเลย จิตก็เป็นกุศลเกิดปัญญา นั่งงอเขา พับเพียบได้ทันที เดิมงอขาไม่ได้ นั่งไม่ได้ ต้องเหยียบขาโด่ออกไป ภาวนาก็ผุดขึ้นมาทันที บอกเหตุการณ์ของกฎแห่งกรรม

คนจะรู้กฎแห่งกรรมได้ต้องผ่านเวทนา เวทนาทำให้รู้กฎแห่งกรรม ไม่ใช่นั่งหลับตาเห็นกรรมนะ ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดจังเลย ตายให้ตาย จิตยึดมั่นเป็นมาถะศึกษาเวทนาจบรายการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเลย เพราะรู้จริงเสียแล้วจิตจะไม่ยึดถือ ขอให้นักกรรมฐานโปรดจำข้อนี้ไว้ รู้จริงจะไม่ยึด รู้จริงยิ่งสงบ คนไหนรู้ไม่จริง จิตไม่สงบรู้แต่วิชาการใช้ไม่ได้ เลยก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ขางอได้เลย และไม่ปวดจนบัดนี้

กฎแห่งกรรมโผล่ออกมาว่า ไปขว้างขาหมู หนอนกินแล้วจับขายให้เขาฆ่าตาย เอามีดไปขว้างขามัน ตัวเองต้องเป็นไข้ขามาจนบัดนี้ ตั้งแต่รุ่นสาว ขณะนี้ ๕๐ กว่าปีแล้ว เลยก็แผ่เมตตาให้หมู

ลูกชายเขามาด้วย เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาลว่า หายภายใน ๗ วัน ขางอนั่งพับเพียงได้ ลูกชายก็ปฏิญาณตนกับอาตมาว่า จะเลิกเลี้ยงหมู จะสร้างวัดแบบจีน และจะสอนแบบที่วัดนี้ เมื่อก่อนต้นตระกูลเขาเป็นคริสต์ บัดนี้เป็นพุทธเต็มตัวแล้ว

ทำอะไรทำให้จริงเถอะ ทำจริงจะได้ผลภายใน ๗ วัน มีตัวอย่างที่วัดนี้ ถ้าทำไม่จริง จิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ไม่ได้อะไร จะได้บาปนะ อย่าหมิ่นประมาทต่อกรรมฐาน อย่าไปว่าหนอ ๆ แหน ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว ระวังนะ “หนอ” มีราคาหลายล้านนะ

“หนอ” เป็นคำภาษาไทย แปลมาจากภาษาบาลีว่า “วต” ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ เชิญมาได้ทุกเวลามีหลักอยู่ แต่จะไม่ขอกล่าวให้ยืดยาวออกไป “หนอ” เป็นตัวรั้งจิตให้มีสติดี

เราหายใจยาว ๆ เข้าไว้ อย่าหายใจสั้น คนเราหายใจสั้นมีทิฏฐิมาก โมโหเก่ง พองหนอ ยุบหนอให้มันยาว ๆ หน่อยได้ไหม พองหนอ ไม่ทันหนอมันก็ยุบ ยุบยังไม่ทันหนอมันก็พอง เลยเอาพอง-ยุบ พอง-ยุบ ไม่ต้องได้อะไรกันแล้ว ไปกันใหญ่แล้ว มักง่าย มักได้ เลยเอาดีไม่ได้ เพราะขาดมรรคแปด ถ้าคนขาดศีล สมาธิ ปัญญา จะมักง่ายทันทีมักได้ด้วย ไม่เอาเหนือเอาใต้แต่ประการใด ออกมาในรูปแบบลักษณาการอย่างนี้

เพราะฉะนั้นคนเป็นโรคประสาทเกินกำหนดที่นั่งสมาธิไม่ได้นะ มันควบคุมตัวไม่ได้ สติควบคุมจิตไม่ได้ อย่าให้นั่งนะ ขอฝากท่านอนุศาสนาจารย์ไว้ด้วย ถ้าไปทำจะเสียชื่อนะ

ที่วัดนี้มีตัวอย่าง อาจารย์ปริญญาโท มากับยุวพุทธหลายปีมาแล้ว ปฏิบัติได้ ๓ วันเท่านั้นแหละ ออกมานั่งกับอาตมาเลย เขาบอกว่าเขาเป็นพระโสดา เมื่อวานมาดี ๆ แท้ ๆ ทำไมมานั่งเป็นโสดาเสียล่ะ ญาณขึ้นหรือยังไง เลยมาหาว่าถูกต้นพิกุลบ้าง ถูกผีในวัดอัมพวันบ้าง เลยสอบถามญาติกาว่านี่มาจากไหน เขาบอกว่า เพิ่งออกจากศรีธัญญามายังไม่พอ ๓ ปี

จำไว้เลยนะ ออกจากศรีธัญญามายังไม่พอ ๓ ปี เจริญสมาธิไม่ได้ โปรดจำไว้ด้วย บางคนมารำสวย รำไปรำมา มานั่งบนเก้าอี้เราเลย บอกว่าท่านยังไม่เสร็จ ข้าพเจ้าสำเร็จแล้ว นี่พวก ๖๐% อย่าเจริญสมาธิ

มีคนหนึ่งรูปร่างสวย พูดจาไพเราะเจ้าคะเจ้าขา เราก็เห็นหนอ เอ๊ะ ทำไมตาขวาง เลยบอกกับแม่ใหญ่ (แม่สุ่ม ทองยิ่ง) ว่าอย่าไปรับเลย แม่ใหญ่บอกว่าไม่เป็นไร เขามีหน้ามีตารับไว้หน่อย ๓ วันเท่านั้นแสดงอภินิหารเลย เป็นนางฟ้ารำป้อ เสียหายมาก

ไม่ใช่ว่ามานั่งกรรมฐานแล้วเป็นคนบ้าบอ กลายเป็นคนวิกลจริต หาใช่วิสัยไม่ แต่ปัญหามีอยู่ว่า เขาปกติไหม ถ้าเขาไม่สามารถจะรักษาตัวเองได้ ไม่สามารถจะควบคุมจิตได้ อย่าให้เจริญสมาธิ ไม่ได้เด็ดขาด

บางคนไม่รู้เรื่อง นึกว่ามานั่งสมาธิแล้วหาย ต้องดูก่อนมันหายไม่เหมือนกันทุกคน มันมีสร้างกรรมสร้างเวรมามากมาย ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย หายใจยาว ๆ ไว้ให้มันเคย คนที่ใจเดือดร้อนหายใจสั้น แก้ปัญหาไม่ได้หายใจสั้น

เรามาฝึกเรียนลมหายใจ เรียกว่า อานาปานสติ แต่ปัญหาเอามาทำที่ท้องจะได้เห็นชัด หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ หมายความว่ารู้อย่างไร มีสติตามลมหายใจไปรู้ขณะที่ลมหายใจไปที่ท้อง พองหนอ… ยุบหนอ… เรียกว่า อาณาปานสติ จึงจะถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ ยึดสติปัฏฐาน ๔ เป็นแม่บท เป็นภาคปฏิบัติมีสติทุกประการ อย่าขาดสติไม่ได้ รับรองได้ผลอย่างสมคาดปรารถนาทุกประการ

การฝึกนี่ต้องการให้อดทนด้วย ต่อสู้เหตุการณ์ที่มันจะเผชิญหน้ากับเราคืออุปสรรคนั้น ๆ เราจะได้สู้กับปัญหาแก้ปัญหาต่อไป

เล่าให้ฟังกันมานานแต่ไม่มีใครสนใจ เด็กหญิงทัศนีย์ตัวนิดเดียว มีศรัทธามาก แม่เป็นโรคมะเร็ง จะต้องตายภายใน ๓ เดือน แต่เด็กกตัญญูกตเวที มีศรัทธาอย่างแรงกล้า มานั่งเจริญกรรมฐานเอาจริงเอาจัง ขออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ แม่หายได้อย่างน่าอนุโมทนา แต่บอกใครไม่มีทางเพราะไม่มีบุญ บอกคนบาปจะไปได้เรื่องอะไร แล้วแต่บุญวาสนาของท่านเอง ไม่บังคับบัญชา พระพุทธเจ้าไม่เคยบังคับใครนะ

ถ้าโยมทำบุญได้บุญ นั่งเจริญกรรมฐานได้ที่ มีคนมาขอส่วนบุญนะ ค้าขายไม่ได้เลย ไม่มีใครมาทวงหนี้ ยิ่งขายดิบขายดี มีคนมาทวงนี้คือ กฎแห่งกรรม ต้องมีเรื่องมีเหตุอิจฉา

มานั่งกรรมฐานถ้ามีบุญวาสนา เดี๋ยวก็มีเปรตมาขอส่วนบุญ มีเรื่องเล่ากันที่วัดนี้

แพทย์หญิงบุญเยี่ยม มานั่งเจริญกรรมฐานที่วัดนี้ ตอนตี ๔ ไฟสว่าง อาตมาจะไปสวดมนต์ที่โบสถ์ มานั่งคอยที่กุฏิบอกว่า หลวงพ่อคะ หนูมาเจริญกรรมฐานไว้ ๓-๔ วันแล้วค่ะ หนูขอถามอะไรหน่อย มีพระเดินมาที่หน้ากุฏิ รูปร่างใหญ่โต บอกว่า โยม ขอส่วนบุญหน่อย จีวรไม่มีห่ม จีวรขาดรุ่งริ่งหมด พระองค์นี้ชื่อเฟื่อง มีไหมหลวงพ่อ ท่านบอกว่า ท่านบวชที่นี่ และท่านตายไปแล้วด้วย หมอบุญเยี่ยมก็ไม่รู้จัก

พระเฟื่องนั้นก็คือ จ่าตำรวจนครราชสีมา บ้านอยู่ข้างวัดนี้ มาบวชที่นี่ ตายเป็นเปรต เดี๋ยวนี้พระเป็นเปรตอยู่ที่นี่หลายองค์

แพทย์หญิงบุญเยี่ยมกำลังจะไปเดินจงกรม ไฟสว่างมองเห็นชัด บอกว่า ขอเจริญพรโยม คุณหมอมาเจริญกรรมฐานได้ผลดี อาตมาขอ ไปขอหลายกุฏิแล้วเขาไม่ให้ อาตมาขอลาไปก่อน แล้วก็ค่อย ๆ จาง ๆ ๆ ๆ แล้วหายไป

แพทย์หญิงบุญเยี่ยมก็ถามว่า หลวงพ่อจะทำอย่างไรก็เลยบอกว่า ถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้ ซื้อผ้าไตรมาถวายด้วย เหลืออีก ๒ วัน หมอบุญเยี่ยมจะกลับ ผีเปรตห่มจีวรสวยมาอีกแล้ว มาขอบคุณอนุโมทนา ยถาให้ หมอบุญเยี่ยมก็รับพร รับพรเสร็จแล้วท่านก็ค่อย ๆ หายไป ก่อนจะหายไปบอกว่า ขอบพระคุณคุณหมอมาก ขออนุโมทนากับโยมด้วย

เหตุใดจึงเป็นเปรต จะตอบให้โยมฟัง หลวงตาอ้อนปลูกต้นน้อยหน่าไว้เยอะที่วัดนี้ เดี๋ยวนี้ไม่มีสวนน้อยหน่าแล้ว เวลาเย็นหลวงตาเฟื่องก็ไปลักน้อยหน่า เอาไปให้หลานในบ้านทุกวัน อย่าลืมว่า น้อยหน่าหลวงตาอ้อนปลูก แต่ที่ดินของวัด เป็นของสงฆ์นะ เอาไปไม่ได้ต้องให้สงฆ์อนุญาตก่อน ตายที่ศาลาห้องเล็ก อาตมาทำศพให้เสร็จ เดี๋ยวนี้ยังอยู่ที่นี่

การแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล เจริญกรรมฐานดีที่สุด สามารถจะช่วยพ่อช่วยแม่ยังมีชีวิตอยู่ได้ พ่อแม่มีชีวิตอยู่แต่อยู่ไกลแสนไกล ลูกสามารถทำให้พ่อแม่ได้ด้วยการเจริญวิปัสสนา ไม่ต้องใช้สตางค์ เอาบุญมาใส่ใจให้อิ่มเอิบ ขอแผ่ส่วนบุญนี้ให้บิดาของข้าพเจ้า หรือให้ลูกก็ได้ ถึงทันทีนะ

ถ้าโยมทำบุญถวายสังฆทาน ถ้าไม่เคยนั่งกรรมฐานบุญนั้นจะไม่สัมฤทธิ์ผล มีแต่ทานไม่มีศีล ทานนั้นทานจะไม่ได้รับผล ทานธรรมดา เช่น ทานช่วยเหลือกันธรรมดามันไร้ผล ต้องมีสติ มีศีลก่อน เราจะเห็นได้ว่าเวลาจะถวายทานหรือทำกุศล ต้องรับศีลก่อน ต้องการให้เป็นหลักสูตร ทำอะไรต้องมีสติสัมปชัญญะเต็มแล้วค่อยทำ รับรองได้ผลอย่างสมคาดปรารถนาทุกประการ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ

มีศีลก่อน มีสติสัมปชัญญะก่อน นั่งเจริญกรรมฐานมีพลังสูง พ่อแม่อยู่ที่ไหน ลูกอยู่ที่ไหน ส่งไปเหมือนเราไปเครื่องบินฉะนั้น นี่เรียกว่า ภาวนา ทานธรรมดาไปเรือพายมีศีล ทานเราไปรถยนต์ ถ้ามีภาวนาผุดขึ้นใสสะอาด ทานนั้นได้สัมฤทธิ์ผล เหมือนเราไปเครื่องบิน ไว เห็นทันตาเลย ออกมาในลักษณาการอย่างนี้จะมีประโยชน์มาก

ถ้าโยมสมาธิเข้าขั้นแผ่ไปให้ลูกที่สหรัฐอเมริกา เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับ เดี๋ยวจะสะท้อนย้อนมาหาจิตเรา อ๋อ ลูกอยู่เย็นเป็นสุข ได้รับบุญกุศลของพ่อแม่แล้ว มันจะบอกอย่างนี้ได้ แต่ฝึกไม่ถึงขั้นมันก็ไม่รู้เรื่อง

อาตมาแผ่ไปยุโรป ๗ วัน ๗ คืน ไม่รู้จักใครเลยนะ ไปเข้าบ้านญวน บ้านเขมร บ้านฝรั่ง มาต้อนรับเยอะแยะหมด ลูกสาวลาวอายุ ๑๖ ปี บอกว่า หลวงพ่อองค์นี้ไปสอนเขา ๒ คืน สอนเดินจงกรม เลยบอกเดินให้ดูซิ ยืนหนอ ๕ ครั้ง ก็ว่าได้ นี่คือโทรจิต เรียกว่า แผ่เมตตา ใครเป็นญาติเราก็มารับเรา เด็กคนนี้เรียนหนังสือเก่งมาก และพูดเพราะ เวลาพูดกับอาตมาพนมมือทุกครั้ง พ่อแม่เขาก็ดีอกดีใจ มาตามอาตมา คืนนั้นเลยไม่ได้นอน อยู่สว่างเลยนะ อาตมาก็ได้ตำรา เอามาคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์เขียนเป็นวิทยานิพนธ์สอนอนุชนรุ่นหลังต่อไป

เวลาจะเคลียร์พื้นที่ โยมเดินจงกรมก่อน นั่งกรรมฐาน มีสติปัญญาดี ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยแผ่ไป ไม่ใช่นั่งด้วยแผ่ด้วยใช้ไม่ได้

กำลังขายของยังไม่หมดรายการ จะเอากำไรไปให้ใคร เดี๋ยวจะขาดทุนไม่รู้ตัว เวลานั่งกรรมฐานอย่าเพิ่งให้ สมมติว่าหัวหน้าทีมเขาบอกว่า เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง แล้วเวลาออกจากรรมฐานจิตมันว่าง กำลังมีพลังสูงส่งเลย แผ่เมตตาทันที จะอุทิศให้ใครก็อุทิศไป มันถึงจะมีพลัง

อาตมาเคยพบคนแก่อายุ ๑๐๐ กว่าปี มีคนเอากับข้าวมาให้ ก็สวด อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ๑ จบ ให้ตัวเองก่อน สวดอีกจบหนึ่งให้คนที่นำมาให้ เสร็จแล้วให้ถ้วยคืนไป อาตมาจับเคล็ดลับได้ จะให้ใครต้องเอาทุนไว้ก่อน ถึงได้เรียกว่า สวดพุทธคุณเท่าอายุเกินหนึ่งไงเล่า

การแผ่เมตตาสรุปผลงานที่ขอนแก่น ลูกติดยาเสพติดพ่อแม่สวดมนต์ไม่เป็น ลูกไม่เคยเข้าวัด ค้าเฮโรอีนด้วย ทำอย่างไรถึงจะแก้ไข ตำรวจบอกว่า ลูกคุณพี่ถ้ายังค้าอยู่จะเก็บเลยนะ ลูกก็หนีไปอยู่กรุงเทพฯ พ่อแม่ก็เสียใจ ไปเข้าศูนย์เวฬุวันวัดที่ขอนแก่น ไปสวดมนต์ไหว้พระตามแบบเขาไปก่อน พออ่านได้คล่องปาก คล่องใจแล้วจึงมีสมาธิ จิตใจดี แล้วนึกถึงลูก ให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข

ลูกก็เลยหันเหเร่เข้าไปพบหนังสือธรรมะ เอามาอ่านเลิกได้เลย สัจจะ ตัวเดียวทำกันไม่ได้ เลยกลับมาบ้าน เดี๋ยวนี้ช่วยพ่อแม่ค้าขายอย่างดีแล้ว พ่อแม่ก็เข้าวัดไปสวดมนต์ไม่เห็นก็ต้องสวดเป็น

การแผ่เมตตาจะต้องมีสมาธิก่อน มีพลังสูง มีเมตตาในตัวเองก่อน แล้วค่อยแผ่อุทิศให้เขาจะได้ผล ถ้าโยมปราศจากเมตตาอย่าอุทิศ ไม่มีได้ผล ไม่ได้ผลจริง ๆ อาตมาทำมาแล้ว แผ่ได้ผลต้องมีเมตตาครบอย่างต่ำ ๘๐% ไม่มีอย่างนั้น แผ่ไม่ออกหรอก เหมือนยิงปืนตกปากกระบอกไม่มีแรงส่ง ขาดสมาธิ ขาดสติปัญญา ขาดความสามารถ ขาดความเชี่ยวชาญในการฝึก

ต้องฝึกให้คุ้นเคยทุกวัน ไม่ใช่นั่งแล้วได้ทุกคน ไม่อย่างนั้นคนก็ไปสวรรค์นิพพานกันหมดน่ะซี คนต้องไปนรกบ้าง ไปนิพพานทุกคนไม่ได้หรอก ไปสวรรค์ทุกคนก็ไม่ได้เพราะเครื่องไม่ครบ นิสัยไม่เหมือนกัน คนเราก็แตกต่างกันไปด้วย ความสุข ความทุกข์ ไม่เหมือนกันนะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีเรื่องเล่า กรรมฐานอุทิศส่วนกุศลช่วยแม่ผูกคอตายขึ้นมาจากนรกได้

มีโยมคนหนึ่ง ไม่ต้องออกชื่อ รับราชการ ซี.๗ ยังไม่มีครอบครัว อยู่กับแม่ ๒ คน บ้านใหญ่โตอยู่แถวบางกะปิ เขาไม่ทราบแม่เขาแท้ที่จริงเป็นน้าสาว เลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ และไม่ทราบว่าพ่ออยู่ที่ไหน แต่ก็รู้ว่าอยู่แถว ๆ ถนนสุขุมวิท พ่อเลิกกับแม่เขาไป

เขามานั่งกรรมฐานที่วัดนี้ ๒ ครั้ง ๆ ละ ๗ วัน ลาพักร้อนมาโดยไม่ทราบเหตุการณ์อื่นใดทั้งสิ้น นั่งกรรมฐาน ๗ วัน ครั้งแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้งที่สอง มานั่งกรรมฐานกลับไปได้เรื่องออกมาเลย

แม่ตัวจริงมาเข้าฝัน แต่งนุ่งขาวมาด้วย มาตอนตี ๓-ตี ๔ มากอดลูกบอกว่า ลูกเอ๋ย แม่ได้ขึ้นจากนรกแล้ว นี่แม่ตัวจริงของเจ้า เจ้ารู้ไหมว่า แม่ผูกคอตายที่เตียงที่เจ้านอน แม่ผูกคอตายได้ลูกมานั่งเจริญกรรมฐานทำให้แม่ขึ้นมาจากนรกได้ อาตมาจับได้หลายรายการแล้ว ถ้าฆ่าตัวตายไม่ต้องไปทำบุญให้ ไม่ถึงแน่นอน

บุญสูงสุดคือ บุญจากกรรมฐานแน่นอน คุณโยมคนนี้ก็เล่าให้ฟังต่อไปว่า แม่มากอดลูก บอกว่าแม่จะเล่าความจริงให้ฟัง พ่อเจ้าไปมีเมียใหม่ กลับมาบ้าน น้าเจ้าเอาปืนขับยิงพ่อเจ้า พ่อเจ้าจึงเข้าบ้านไม่ได้ น้าเจ้าดุเป็นผู้ครองสมบัตินี้ชื่อของน้าเจ้าทั้งนั้น พ่อเจ้าจึงไม่มาเลย ไปมีภรรยาใหม่ที่ถนนสุขุมวิท

เจ้ามาเจริญกรรมฐาน แม่ขึ้นจากนรกแล้ว แม่ลำบากเหลือเกินลูกเอ๋ย เขาก็ทำโทษให้ขุดดินขุดทราย กินอาหารก็ไปกินที่กองขยะ ทรมานอย่างที่สุดลูกเอ๋ย พอเจ้ามาเจริญกรรมฐาน แม่ขึ้นจากนรกแล้ว บัดนี้แม่มาบอกขอบคุณขอบใจเจ้า

            นี่ตำรา ได้ที่วัดนี้หลายเจ้า เช่น ตาเล่งฮ้วยผูกคอตาย พระสมภารชื่อหลวงตามด วัดกลางพรหมนคร ผูกคอตายเช่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้ยังไม่ไปเกิด ยังอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเจริญกรรมฐานให้ บรรดาญาติก็ไม่มีแล้ว

โยมคนนี้ก็เล่าต่อไปว่า ลูกเอ๋ย ทอง ๔ เส้น แหวนเพชร ๓ วง แม่ฝากน้าเจ้าไว้ เขาให้เจ้าหรือยัง และก็ขอให้ลูกไปใช้หนี้ให้แม่หน่อยได้ไหม ก่อนตายแม่ไปขอยืมเพื่อนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ๔๘๐ บาท เจ้าเอาไปใช้แทนแม่หน่อยนะ

โยมจำไว้อย่างหนึ่ง เวลาตายรูปร่างอย่างไร เวลามาเข้าฝันก็รูปร่างเหมือนเดิม ไม่มีแก่ เป็นรูปร่างของเปรตวิสัย มีรูปอยู่ที่บ้านเขา เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นแม่ของเขา เข้าใจว่าน้าเป็นแม่ เพราะรูปร่างเหมือนกัน

พอตกใจตื่นก็ไปปลุกน้า บอกว่า แม่เนี่ยะเป็นน้าหนูใช่ไหม น้าก็ตกใจ เอ๊ะ รู้ได้ยังไง เขาก็เล่าให้ฟัง น้าน้ำตาร่วงเลย แม่บอกว่า ฝากของน้าไว้ ยังอยู่ไหม แม่น้าบอกว่า ยังอยู่ ยังไม่ให้เจ้าหรอก เจ้ายังไม่มีครอบครัว

เขาก็ลางาน ๑ วัน ไปสืบหาเพื่อนแม่ จนพบและเล่าเรื่องที่แม่ให้นำเงินมาให้ เขาบอกว่า หนูไม่ต้องใช้ แม่เจ้าตาย ได้รับพระราชทานเพลิงศพที่วัดโสมนัส แม่ให้อโหสิกรรมแล้ว บอกดวงวิญญาณของแม่เจ้า ไม่เอาโทษ ยกโทษให้เลย เขาโทร.มาบอกอาตมา เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วก็มาที่วัด เขาบอกว่า นั่งกรรมฐานให้แม่ทุกวัน

นี่เห็นไหม ขอฝากญาติโยมไว้ เวลาใครตายจะอุทิศส่วนกุศล ไม่มีอะไรดีเท่ากรรมฐาน อุทิศให้ได้ผลอย่างสมคาดปรารถนา จะได้รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน

ถ้าไปอยู่บนบนสวรรค์ เราทำบุญสังฆทานไป เขาก็รับอนุโมทนา แต่เขารับอาหารนี้ไม่ได้ เขากินอาหารทิพย์ ถ้าไปตกนรกโลกันต์ ขุนนรกที่ลึกมาก เราก็อุทิศให้ไม่ถึง ต้องเจริญกรรมฐานถึงจะได้ถึงนะ

ขอสรุปเพื่อให้ข้อคิดแก่ญาติโยม เป็นโรคประสาทเจริญกรรมฐานไม่ได้นะ สติไม่พอ ต้องไปรักษาก่อน ให้ภาวะสู่ความเป็นปกติก่อนถึงจะได้ผล

การแผ่ส่วนกุศลไม่มีอะไรดีเท่ากรรมฐาน คนตายไปแล้วเราก็อุทิศได้ ไปนรกสวรรค์เดี๋ยวมันจะบอก

การเจริญกรรมฐานเป็นญาติกับพระศาสนา ถ้าท่านไม่เจริญกรรมฐาน บวชกาย วาจา ใจ เป็นไตรสิกขาสามแล้ว ท่านจะไม่เป็นญาติกับพระศาสนาเลย จะสร้างศาลาสัก ๑๐๐ หลังก็ไม่มีโอกาสเป็นญาตินะ ขอฝากนักกรรมฐานไปตีความคิดให้ใกล้ตัวต่อไป

วันนี้ขออนุโมทนาแก่ท่านพุทธสมาคมเครือข่ายทั่วประเทศ โดยคุณโยม พ.อ. (พิเศษ) ปาน จันทรนุช ท่านอนุศาสนาจารย์ และญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย โดยทั่วกันสร้างผลงานให้ชีวิตเถอะ ชีวิตนี้มีค่า เวลาจะได้มีประโยชน์แก่ชีวิตของตน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าสืบไป

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ผู้ปฏิบัติธรรม สัมมาปฏิบัติในหน้าที่ และขอจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด สมความมุ่งมาดปรารถนา ด้วยกันทุกรูป ทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ