การเจริญพระกรรมฐาน

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ขอเจริญพรบรรดาญาติพี่น้องพุทธบริษัท ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสต์ทุกท่าน

ในวันนี้เป็นวันธรรมสวนะ วันพระอุโบสถ เป็นวันที่เรารวมกันเพื่อแสวงหาพระ ให้พบพระในจิตใจของท่าน ถ้าพบพระเมื่อใดใจประเสริฐเมื่อนั้น จิตใจก็เยือกเย็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นพระ

การเจริญพระกรรมฐานต้องการพบพระ ต้องการมีพระประจำกาย ประจำใจ ต้องการมีความสุข เจริญรุ่งเรืองในชีวิตของท่าน ถ้าท่านไม่ปฏิบัติธรรมท่านจะไม่พบพระที่แท้จริง จะพบพระปลอม นุ่งเหลือง ห่มเหลือง หาใช่พระของเราไม่

ท่านมีพระประจำใจจะมีแต่เมตตาปรานี ปรารถนาดี และมีแต่ความสงสารซึ่งกันและกัน แสดงความยินดีแก่ผู้สร้างความดี มีแต่ความวางเฉยในเรื่องกิเลสนานาประการคืออุเบกขาเวทนา ไม่ใช่ใครทำดีทำชั่วก็เฉย อุเบกขาอย่างนี้ไม่ถูกต้อง

วันนี้จะชี้แจงให้ท่านเข้าใจในเรื่อง เจริญกรรมฐานได้อะไร เจริญกรรมฐานจะพบพระตรงไหน กรรมฐานจะไปหาเวรกรรมอีกต่อไปไหม ถ้าเจริญกรรมฐานได้จริง หมดเวรหมดกรรมแน่ ท่านจะหมดเวร หมดกรรมที่ทำไว้ ขอติดตามฟังสืบไป ณ โอกาสบัดนี้

ท่านสาธุชนที่รักทั้งหลาย ที่ท่านขวนขวายมาที่วัดนี้ ท่านต้องการอะไรบ้าง วัตถุประสงค์ของท่านมีอะไรบ้าง อาตมาถามหลายคณะแล้ว ตอบไม่ถูกเลย ต้องการจะนั่งกรรมฐานไปสวรรค์ไปนิพพาน มันจะเอื้อมสูงเกินไป

ไปบวชชีพราหมณ์ก็มารวมกัน วิทยากรหลายท่านบรรยายกันเป็นวัน นั่งฟังกันจนตาปรือ นั่งฟังกันหลับจนอ่อนอกอ่อนใจ ท่านจะได้อะไรบ้างไหม เลยกลายเป็นคนรู้มาก แต่เสียดายที่รู้ไม่จริง

คนรู้มากมีเยอะ พูดตรงไหนรู้หมด ญาณโน้นญาณนี้รู้หมด แต่ตัวเองไม่มีแม้แต่ญาณเดียว เรียกว่ารู้มากไม่ใช่รู้จริง

รู้จริงต้องทำ รู้จริงต้องท่อง รู้แจ้งถึงจิต มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมจิตอยู่ตลอดเวลาถึงจะรู้จริง

การเจริญกรรมฐานต้องการความจริงใจ ต้องการจะรู้ว่าเราน่ะเป็นคนจริงไหม เราจะเข้าข้างตัวเองเสมอว่าเราเป็นคนดี ไม่มีใครบอกตัวเองว่าเป็นคนชั่ว เราจะทราบได้จากการเจริญพระกรรมฐาน

ถ้าท่านมาแต่ฟังเขาบรรยาย ไม่ได้ปฏิบัติ ฟังเขาพูดญาณกัน รู้ถึงญาณ ๑๖ เดินจงกรมถึงระยะ ๖ มันก็ รู้มากไปอย่างนั้น แต่ไม่รู้จริงที่จะแก้ไขกรรม เพราะความตื้นลึกหนาบางของกฎแห่งกรรมอยู่ในตัวท่านมาก ครั้งอดีตชาติมาท่านสร้างเวรรกรรมตามสนองมีอะไรบ้าง ท่านจะมิทราบเลยถ้ามัวแต่ฟัง

การเจริญพระกรรมฐานตามหลักสติปัญญา ๔ ทางสายเอกของพระพุทธเจ้านี้ไม่ค่อยมีใครสอน การเจริญพระกรรมฐานต้องการเจริญมรรค ๘ ได้แก่ เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรานั่งเจริญภาวนากัน แล้วหาเหตุที่มาของกรรมคือทุกข์ เราจะพบ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา คืออริยสัจ ๔

ทุกข์เกิดขึ้นแล้วเราก็หาเหตุของทุกข์ได้ และเราจะแก้ไขทุกข์ด้วยตรงเหตุนั้น ต้องแก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่คันจะได้หายคัน เปรียบเทียบให้ท่านเข้าใจ

ถ้าเราพบพระแล้ว จะขยันหมั่นเพียรเรียนหนังสือ จะขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพการงาน จะกระตือรือร้นสร้างความดีขึ้นมา และท่านจะไม่เบียดเบียนทรัพย์สินเงินทอง จะไม่ขี้โกงขี้เม้มแต่ประการใด เพราะมีพระประจำจิต ประจำใจ แล้วเกิดแสงสว่าง

ท่านมาแล้วแสวงหาความจริงของชีวิต ท่านต้องการอะไร หรือต้องการหาความจริง ต้องการอดทน เพื่อบ่มจิตให้มีสติปัญญา เพื่อต้องการจะแก้ไขปัญหาที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในอนาคตต่อไป

พี่น้องที่รัก ไปไหนอย่าเอาปากไปก่อน เอา ตา หู จมูก ไปก่อน เอาสติปัญญาไปก่อน ไปไหนอย่า ปากไว ใจอย่าเบา เรื่องเก่าอย่ามารื้อฟื้น เรื่องของคนอื่นอย่านำมาคิด กิจที่ชอบควรจะทำเป็นปัจจุบันธรรม พระพุทธเจ้าให้ทำปัจจุบัน อนาคตก็ไม่แน่นอน อย่าจับให้มั่นคั้นให้มันตาย จะผิดหวังจะเสียใจตลอดชีวิตกระทั่งตาย ไม่มีใครช่วยท่านแต่ประการใดเลย ตรงนี้เป็นจุดหมายสำคัญ

การเจริญกุศลพร่ำภาวนาต้องการให้มันผุด ให้มันเกิดเองที่จิตใจของท่าน ไม่ใช่ฟังพระเทศน์ ฟังวิทยากร แล้วก็เป็นคนดี เป็นไปไม่ได้แน่ เพราะขาดหลักธรรม ขาดกิจกรรมของชีวิตแล้ว ไหนเลยล่ะท่านจะเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านได้ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไม่ได้ ภาวะก็ไม่เปลี่ยน นิสัยก็ไม่เปลี่ยน จิตใจก็คงเดิม ก็หนักกว่าเก่าเข้าไปอีก ตรงนี้เป็นจุดสำคัญของการปฏิบัติกรรมฐาน

ไม่ใช่หมายความว่าจะมานั่งไปสวรรค์นิพพานนะ มาถวายสังฆทาน ฉันจะไปสรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ตามใบลานที่เทศน์ พระท่านแต่งกันเสียเลอเลิศ ทำบุญนิดเดียวจะไปสวรรค์ตั้ง ๗-๘ ชั้น ถวายนิดเดียวนั้นไปสวรรค์ ไม่จริงหรอก ไม่มีความจริงเลย เดี๋ยวจิตลามกสกปรกไปทำบาปแก้ไขปัญหาไม่ได้ ไหนทำทานนิดเดียวจะไปสวรรค์เล่า

บางคณะเขามาอบรมที่นี่กัน วิทยากรพูดกันวันยังค่ำเดินจงกรมก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ท่านจะได้ของจริงไหมเลยก็ได้ของปลอมเป็นวิปัสสนึกไป เพราะทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้เลย จะได้ของจริงอย่างไรเล่า

การปฏิบัติธรรมต้องเอาไปใช้ตลอดชีวิต ต้องหาความสงบที่อาตมาเคยพูดไว้แล้ว เข้าวัดให้พบ ๓ วัด ไม่ใช่ว่ามาวัดอัมพวัน มานั่งเงียบบนศาลาหลังนี้แล้วเป็นคนดีนะ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยจะเป็นคนดีได้อย่างไร พระเทศน์สัก ๑๐๐ องค์ ก็ยังดีไม่ได้ เพราะไม่รู้จักปฏิบัติอย่างไร จับจุดไม่ได้ ชีวิตนี้คืออะไร ท่านก็มิทราบ เลยนะ แล้วท่านจะเอาอะไรอีกเล่า คงไม่ได้อะไรกลับไป ท่าจะผิดหวังจากวัดอัมพวันไปอย่างน่าเสียดายมาก

การปฏิบัติต้องยึดหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักปฏิบัติ คือ มรรค ๘ ทุกข์ที่มันเกิดขึ้นต้องยึด อริยสัจ ๔ เป็นข้อปฏิบัติ ทุกข์เกิดตรงไหน ต้องแก้ตรงนั้น เหตุมันเกิดตรงไหน ต้องแก้ที่เหตุ อย่าไปแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้ เราชอบแก้ปลายเหตุกัน

เหมือนท่านทั้งหลายปลูกต้นไม้เข้าต้นหนึ่ง ไม่เคยรดน้ำที่ราก เอาน้ำไปรดที่ยอด ให้มันออกดอกไว ๆ มันจะได้มีผลออกมาให้เรากินเราใช้ นั้นแหละมันผิดแล้ว ควรรดน้ำที่รากก่อน ให้รากมันดูดเข้าไปเลี้ยงยอดเลี้ยงใจ จึงจะถูกต้อง

ศีลาจารวัตรข้อหนึ่งที่เราเคยสอนกันมา คือปฏิบัติกรรมฐานให้มีสติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกยึดเป็นหลักไว้ก่อน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายจะยืน นั่ง เดิน นาน เหลียวซ้าย แลขวา คู้เหยียด เหยียดขา มีสติ มีศีล เข้าไปกำกับจิต ให้มีสติสัมปชัญญะในการเยื้องก้าวไป ตั้งสติไว้ทุกอิริยาบถ นี่สิ! มีศีลอยู่ประจำกาย คือองค์พระสัมปชัญญะจะบอกให้เรารู้ว่าเราเสียมารยาทในสังคมแล้ว สติก็ระลึกไว้เสมอ ว่าเตรียมพร้อม สัมปชัญญะตัวเหมาะสม เราเอาไปวางตรงนั้น เรานั่งตรงนี้ เหมาะสมไหม เราจะรู้ตัวของเราเองนะจะเป็นการถูกต้องในการปฏิบัติธรรม

ไม่ใช่ว่านั่งเห็นพระพุทธเจ้า เห็นโน่นเห็นนี่ เดี๋ยวจะมาพูดว่า มานั่งวัดอัมพวันตั้ง ๗ วัน ไม่เคยเห็นอะไรเลย ไม่ต้องการเห็นอะไรหรอก ต้องการจะเห็นกิเลสของตัวเองว่าตัวเองมีกิเลสเท่าไร ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองน่ะมีกิเลสอย่างไร ไปรู้คนอื่นดี คนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี แต่ตัวเองเป็นอย่างไร

การเจริญกรรมฐานต้องการรู้ตัวเอง ไม่ต้องไปดูคนอื่นเขา จึงต้องกำหนดว่าเห็นหนอ เห็นด้วยปัญญา ต้องดูตัวเรา รู้หนอที่ลิ้นปี่ รู้หนอว่าเรามีอะไรบ้าง มีอะไรขัดข้องในเทคนิค ในชีวิตเราบ้าง ต้องดูตรงนี้นะ ไม่ใช่ไปดูคนอื่น

เท่าที่อาตมาสังเกตการณ์มาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่มีใครจะแก้ปัญหาชีวิตเลย มีแต่ไปสร้างแต่ปัญหา สร้างความวุ่นวายให้กับลูก สร้างความยุ่งเหยิงให้กับสามี ภรรยา สร้างความหายนะให้แก่บิดามารดา ไม่ถูกทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ประการใด พระพุทธเจ้าสอนให้แก้ปัญหา ให้แก้ทุกข์ แต่เรากลับไปสร้างทุกข์ สร้างปัญหาให้มากขึ้น สร้างความวุ่นวายให้แก่ตัวเอง สร้างความยุ่งยากให้กับลูก ทำให้ลูกทะเลาะกัน เพราะแบ่งสมบัติกัน

เท่าที่พูดมานี้ อาตมาแต่งเป็นบทกลอนว่า
พ่อแม่ที่ดี สร้างความดีให้กับลูก ทำถูกให้กับหลาน
พ่อแม่ที่ดี รักลูกให้ถูกวิธี ทำความดีให้ลูกดู
อันนี้กรรมฐานทั้งหมด ไม่ใช่นอกกรรมฐานเลย

พ่อแม่ที่ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว จะสร้างแต่ความไม่ดีให้กับลูก ไม่ทำถูกไว้กับหลาน แถมรักลูกไม่ถูกวิธี ทำความไม่ดีให้ลูกดู

ยกตัวอย่างให้เห็น เช่น พ่อแม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็นให้ลูกฟัง พ่อก็ดื่มเหล้าให้ลูกเห็น แม่ก็เล่นการพนันให้ลูกดู พ่อแม่รบราฆ่าฟันกัน ทะเลาะกัน ลูกก็เห็นกำหนดจดจำ เป็นกฎแห่งกรรมใช่หรือไม่

ท่านทั้งหลายเอ๋ย ฟังแล้วคิดสักหน่อย ไม่ใช่พูดให้ท่านมีความรู้ ที่บรรยายธรรมะมานี้ ถ้าโยมปฏิบัติจิตได้ จะเห็นด้วย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พ่อมีสติ แม่มีสติสัมปชัญญะ ลูกดีทุกคน ไม่ทำแบบเสียให้ลูกดู

รักวัวต้องผูก
รักลูกต้องตี
รักมีต้องค้า
รักหน้าต้องคิด
รักมิตรต้องเตือนกัน

รักวัวต้องผูกไว้ เดี๋ยวมันจะหาย จะเสียดายมัน

รักลูกต้องตี ตีมี ๒ แบบ ตีด้วยรูปธรรม นามธรรม ตีด้วยแบบอย่าง สร้างแบบให้ลูกดู เช่น ต้องการให้ลูกสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ต้องบังคับลูกเลย พ่อก็สวดแม่ก็สวดทุกวัน ลูกเล็ก ๆ มันก็คลานมา แม่สวดมนต์ เจอพระ ธุจ้ะ เห็นพระพุทธรูปก็ไหว้ พบคนแก่ก็ไหว้ ชัดมาก พ่อแม่เป็นแบบ ตีแบบตีแผนตีแปลนให้ลูกเห็น ต้องตีลูกอย่างนี้

บางคนไม่มีธรรมะเลย เมตตากับลูกแต่เจือด้วยโทสะ ตีลูกกำลังทานข้าว ลูกก็เสียใจ แม่ตบหูตึง ลูกก็ทุลักทุเล เห็นว่าพ่อแม่ไม่รักแล้วก็หนีไป โชคร้ายไปพบเพื่อนอันธพาล ไปติดยาเสพติด เด็กยุคใหม่สมัยนี้จึงไม่รักพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ได้เอาใจใส่ลูก เอาลูกไปฝากโรงเรียน แล้วไม่ได้ตามดูลูกแต่ประการใด พ่อแม่ดี แผ่เมตตา ให้ลูก ลูกจะไปพบบัณฑิต ลูกดีด้วยกฎแห่งกรรม จากการกระทำของพ่อแม่นี้

ต้องการให้ลูกสวดมนต์ไหว้พระเป็นคนดี พ่อแม่ต้องทำก่อน เด็กยังเล็ก กำลังจดกำลังจำนะ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เด็กก็ไม่รู้เรื่อง สอนอะไรให้ก็จำ ให้พูดได้ก่อน เด็กไม่รู้ว่าสวดมนต์ได้ประโยชน์อันใด พ่อแม่เป็นแปลนสอนลูกอย่างนี้ได้ไหม พ่อแม่เป็นผู้นำลูก และต้องตามดูลูกด้วย ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ มีความหมายลึกซึ้งในกรรมฐานมิใช่น้อย

ในวันพระเรามาสงบจิต ระงับใจสักวันหนึ่งได้ไหม ไม่ต้องการรื้อฟื้นคุยเรื่องของคนอื่น ทุกข์ของเราก็มากแล้ว จะไปเอาทุกข์จรมาทำไม เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บหนักเจ็บเบาเป็นทุกข์ทั้งนั้น จะไปเอาทุกข์ของคนอื่นมาไว้ในสมองทำไม นี่กรรมฐานนะ

ถ้าคนมีกรรมฐานจะแก้ทุกข์ตัวเอง ทุกข์หนัก ร้อนอกร้อนใจเหมือนไฟเผาหัวจิตหัวใจ เรามาเจริญกรรมฐานแล้วร้อนอกร้อนใจหายไป จิตใจก็สบาย ปัญญาก็เกิด ล้ำเลิศทุกประการ เอาไปแก้ปัญหาได้ทุกทิศ ทุกทาง ตรงนี้เป็นกรรมฐานนะ

โยมไม่เชื่อไม่ทำก็ไม่เป็นไร เป็นที่น่าเสียดายในชีวิตของโยม เกิดมาระยะอายุเท่าไร เช้า สาย บ่าย หรือเย็น พระอาทิตย์ไม่เคยค้างฟ้าเราก็คงจะอยู่ค้างฟ้าไม่ได้คือตาย ก่อนตายสร้างความดีให้ลูกหน่อยได้ไหม อย่าสร้างปัญหาให้ลูกต้องรบราฆ่าฟันกันเลย มีอะไรก็จำหน่ายจ่ายแจก แบ่งให้สมส่วนกัน

จงรักลูกคิดปลูกฝัง      ให้ลูกตั้งตนฝึกรีบรักษา
ให้ลูกได้ดีมีสติปัญญา      มีวิชาตั้งตนเป็นคนดี

ท่านหญิงท่านชายทั้งหลายเอ๋ย ต้องการตรงนี้มากที่สุด นี่คือกรรมฐาน

ถ้าท่านได้กรรมฐานแล้ว ท่าจะไปปลุกลูกให้ตื่น เสกให้เป็นงาน จะพูดกับลูกก็เพราะ ไม่ดุไม่ด่าลูกต่อไป และเป็นภรรยา แม่บ้านแม่เรือนที่ดี จะไม่ด่าเสียดสีสามีเลย สามีก็เห็นใจภรรยา จะไม่ว่าเสียดสีภรรยาเช่นเดียวกัน ยกย่องภรรยา อุตส่าห์เลี้ยงลูกตั้งหลายคน และยังเอาใจใส่สามีอย่างดีด้วย ภรรยาก็เห็นใจสามี หาเงินหาทองมากมายไว้ในครอบครัว ผู้ที่จะรู้จริงเรื่องนี้ต้องเจริญกรรมฐาน

สติยึดมั่น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน เอาสติกำหนด นี่คือตัวธรรมะ สัมปชัญญะรู้ตัวว่าก้าวไป ขวาย่างหนอ….ซ้ายย่างหนอ….. ช้า ๆ ช้าเพื่อไว เวลาเรามีสติครบเครื่องครบวงจรแล้ว เราจะวิ่งไปไหนสติก็ตามเราไปเรื่อย จะล้มข้างซ้าย จะล้มข้างขวาก็จะรู้ตัว คือสัมปชัญญะ นี่คือตัวธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะอยู่ที่ศาลาวัดอัมพวัน ธรรมะอยู่ที่ตัวโยมทุกคน เอาธรรมะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ไหม ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ

เรามีธรรมะแล้วก็จะเป็นพระสังฆเจ้า มีระบบมีระเบียบเพียบด้วยวินัย ทำอะไรก็มีแบบมีแผนมีแปลน เอาตาชั่งขึ้นมาดูเอาตราชูขึ้นมาชั่ง วัดแล้ววัดเล่าเฝ้าแต่วัด นี่ซิกรรมฐาน

ยืน…หนอ…. ตั้งสติให้ดี ๕ ครั้ง ไม่ใช่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ต้อง ตจปัญจกกรรมฐาน ตจปัญจกกรรมฐาน (อ่านว่า ตะจะปันจะกะกำมะถาน แปลว่า กรรมฐานที่มีหนังเป็นที่ครบห้า หมายถึงการทำกรรมฐานที่กำหนดพิจารณาอวัยวะ ๕ อย่าง คือ ผม (เกสา) ขน (โลมา) เล็บ (นขา) ฟัน (ทันตา) หนัง (ตโจ) เป็นอารมณ์ โดยพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งปฏิกูล ไม่งาม เป็นต้น เพราะมีคำว่า ตโจ เป็นคำที่ ๕ จึงเรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกรรมฐาน คือเป็นกรรมฐานเบื้องต้น)

เราอยู่ในท้องของมารดาก็ต้องห้าแตกปัญจสาขา มือสอง เท้าสอง สมองหนึ่ง ออกจากคัพภาของมารดามาก็ครบอาการ ๓๒ แต่บางคนเป็นกฎแห่งกรรมพ่อเป็นนายแพทย์ แม่เป็นแพทย์หญิง ลูก ๒ คน เป็นง่อยเปลี้ยเสียขา คนที่ ๓ เป็นใบ้ มันเป็นกฎแห่งกรรมอะไรหรือท่านรู้ไหม

ถ้าท่านเจริญกรรมฐานเข้าชั้นของเขาแล้ว โยมจะรู้เลยว่ามีกรรมอะไรลูกจึงเป็นเป็นนี้ พ่อแม่หูดีตาตี มีลูก ๖ คนหูตึงหมดเลย เป็นเพราะอะไร ถ้าโยมเจริญกรรมฐานเข้าชั้นของเขาแล้ว ปัญญาเกิดแล้ว จะได้ว่าทำไมลูกหูตึงหมดเพราะเวรกรรมตามสนองมาครั้งอดีตชาติ ควรจะแก้ไขอย่างไร น่าจะเข้าใจตรงนี้ ดีกว่าจะไปรู้ ญาณ ๑๖

บางทีมาอธิบายญาณขึ้นญาณลง ตรงนี้ยังทำไม่ได้ ชั้นประถมศึกษายังไม่ผ่าน แล้วจะไปเรียนมัธยมศึกษา อุดมศึกษาได้อย่างไรเล่า อันนั้นไม่จำเป็นต้องไปขึ้น ถ้าเราเต็มที่จากชั้นประถมศึกษา มัธยมมา คอยท่า มันคนละอย่างกัน ไม่ใช่เรียนหนังสือ จะไปเอนทรานซ์ เรียนเล่ม ๑ จบ สอนเล่ม ๒ ต่อ สอนเล่ม ๓ ต่อ

แต่วิธีปฏิบัติสอนอย่างนั้นไม่ได้ เล่ม ๑ ยังไม่รู้เรื่องแล้วจะไปอ่านเล่ม ๒ หรือ ไม่มาสอนเรียนวิชาการเทคโนโลยีแต่ประการใด

เราเรียนพุทโธโลยี ต้องการรู้จริง ทุกสิ่งให้มันผุดขึ้นมาจากจิตใจ เรียกว่าองค์กรภาวนา ภาวนาให้มันเกิดเอง ว่าของจริงน่ะมันเกิดเอง ไม่ใช่เอาของปลอมมาใส่จิตใส่ใจ หรือเพชรน้ำหนึ่งในดวงใจก็ไม่มีแล้ว เอาเพชรปลอมมาใส่กัน

ถ้าโยมผุดขึ้นมาเองจะได้เพชรในดวงใจ เพชรในดวงใจของโยมจะมีสัจจะ พูดจริงทำจริง มีเมตตาปรานีเสมอเอื้อเฟื้ออาทร เกิดสามัคคีธรรม นำสันติสุข มีวินัย เพชรนั้นจะเป็นหนึ่ง มันจะมีแสงระยิบระยับส่งไปไกล มีชื่อเสียงโด่งดัง ทรัพย์ ชื่อเสียง ความรัก ก็เกิดขึ้น นี่คือเพชรในดวงใจ

เพชรในดวงใจใสสะอาดยิ่งทำยิ่งสวย ยิ่งรวย ยิ่งมีปัญญา มีราคาสูงขึ้นทุกวัน สร้างความดีทุกวัน สะสมไว้ราคาไม่ลดเหมือนเพชรตลาดบ้านหม้อ เพชรตลาดบ้านหม้อซื้อมาแค่ ๒ ชั่วโมง เจ้าสาวไม่ชอบ เอาไปขายคืนลดราคาทันที

เพชรในดวงใจคือธรรมของพระพุทธเจ้า ราคาไม่ลดมีแต่ราคาสดใส ไปไหนมีแต่คนเชื่อถือ มีแต่คนเชื่อฟัง มีแต่คนศรัทธา มีแต่คนชอบ ไปพูดอะไรเขาก็เชื่อ นี่คือเพชรน้ำหนึ่งในดวงใจ สจฺจํเว อมตา วาจา วาจา ที่สัตย์ กล่าวออกไปแล้วคืนคำไม่ได้ ต้องทำให้ได้ นักกรรมฐานรับกรรมฐานแล้วต้องทำ อย่าไปเสียกิจกรรม เดี๋ยวพฤติกรรมจะเสีย แสดงพฤติกรรมออกไป น่าเสียดาย ไม่มีอะไรดีเลย ในเมื่อพฤติกรรมไม่เปลี่ยน นิสัยก็ไม่เปลี่ยน สันดานเดิมก็หนักกว่าเก่า

จิตใจที่ได้เพชรได้ธรรมมีราคาแพง ไม่สามารถจะตีราคาให้ต่ำได้ ชีวิตของท่านมีค่ามาก อย่าตีราคาชีวิตของท่านให้ต่ำอีกต่อไปเลยทีเดียว ชีวิตท่านมีค่า เวลาก็มีประโยชน์ ขยันทำงาน คนขี้เกียจน่ะเพชรปลอม ไม่ได้ย้อมใจมา ไหนเลยล่ะจะขยัน

คนมีเพชรในดวงใจขยันไม่พัก จะไม่ยอมตื่นสาย ไม่หน่ายหากิน จะไม่หมิ่นเงินน้อย จะไม่คอยวาสนาให้มาหาเอง ออกมาอย่างนี้ชัดเจน

ธรรมะอยู่ที่การปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติท่านจะได้พบเพชรปลอม จะขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ริษยา ผูกพยาบาท ฆาตพยาเวร ต้องฆ่ารันฟันแทงกันแน่นอน คนที่ปราศจากธรรมะทำอะไรก็ผิดพลาด ไม่เป็นผลงานให้แก่ชีวิตของคนแต่ประการใด นั่นแหละเพชรมันร้าวราน

ท่านทั้งหลายเอ๋ยฟังแล้วคิดด้วย

เวลาใดทำใจให้ผ่องแผ้ว    เหมือนแก้วมีค่าเป็นราศี
เวลาใดทำใจทำจิตให้ราคี  เหมือนมณีแตกหมดลดราคา

ความดีมีสุขทางใจ ไม่มีคนแสวงหาเลย คนส่วนมากชอบแต่ความสุข สนุกเพียงหูตา มันมาชักจูงให้ ยุ่งใจ ขอฝากท่านทั้งหลายไปด้วยโดยทั่วหน้ากัน จริงหรือไม่ประการใดไปพิจารณาดูเอง

ถ้าท่านมีสติสัมปชัญญะอย่างอาตมาว่า มีกรรมฐานจริง ท่านจะมองเห็นสิ่งมีประโยชน์แก่ตนเองมาก คือ ปัญญาเห็นด้วยปัญญา จะไม่มองของชั่วของใครอีกต่อไป ออกมาอย่างนี้ เสียงหนอ… จะไม่ฟังเสียงเลวร้ายอีกต่อไป จะมองคนในแง่ดี คนชั่วดีถี่ห่างจะไม่ไปดูถูกเขา

นักกรรมฐานเอ๋ย ถ้าท่านพบพระประจำใจ มีสติสัมปชัญญะครบ ท่านจะมองคนในแง่ดีหมด ถ้าหากว่าคนนี้เคยไปถูกกันมา เป็นศัตรูกันมา มองในแง่ดีสักหน่อยได้ไหม

เห็นหนอ… และมาคิดหนอที่ลิ้นปี่ นี่เป็นการทบทวนว่าคนนี้เป็นศัตรูกับเรา มีอะไรดีกับเราไหม คิดหนอ… ปัญญาจะออกมาว่า คนนี้เมื่อ ๓ ปีก่อน เขาเคยช่วยลูกเราเข้าโรงเรียน และบ้านนี้ คนนี้เคยทำอาหารให้เรารับประทาน คนนี้เคยช่วยเรามาก่อน ถ้าท่านคำนวณการได้ โดยคิดหนอดังนี้แล้ว ท่านจะไม่โกรธเขาเลย และจะไม่ผูกพยาบาลเขาอีกต่อไป จะสร้างศัตรูให้เป็นมิตร สภาพจิตของท่านจะมีแต่มิตรภาพ มีแต่ความดีร่วมกัน จะไม่มีอันธพาลในจิตใจของท่านเลย

เราควรจะคิดหนอทบทวนครั้งอดีตที่ผ่านมา คนนี้เราโกรธเขา เราผูกพยาบาทฆาตพยาเวรเขา มันเป็นกฎแห่งกรรมนะ เราก็กำหนด โกรธหนอ ๆ ๆ ที่ลิ้นปี่ ต้องทบทวนคือ กรรมฐาน โกรธเดี๋ยวนี้ กำหนดเดี๋ยวนี้ที่ ลิ้นปี่ ให้ทันปัจจุบัน อดีต อนาคตไม่เอา แต่ผู้ปฏิบัติไม่เคยทำ

อาตมารู้นะ อึกอักก็จะเดินจงกรม อึกอักก็จะพองหนอ ยุบหนอ เท่านี้ไมได้ผลเลยนะ แต่จี้จุดตรง พองหนอ ยุบหนอ กับเดินจงกรม เพราะต้องการให้จิตมั่น ให้มีกระแสไฟฟ้ามาก เราจะได้เอากระแสไฟไปจ่าย ใช้ให้มีประโยชน์อย่างนี้ต่างหาก

แต่ท่านจิตใจไม่มั่นคง ดำรงไว้ในจิต ชีวิตจะไร้ค่าทรัพยากรจะเป็นหมัน ท่านจะทำมาหากินไม่ขึ้น ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมากคือ ธรรมะ ไม่ต้องหาที่ไหนเลย เสียงหนอ…อ๋อ เขาด่า เขาว่า สติมีไหม มีธรรมะที่ หูไหม หูมีทรัพย์ไหม ถ้าหูท่านมีทรัพย์จริง มันจะสปาร์คออกไปนะ เสียงมันก็ไปหาเจ้าของเดิม หูจะไม่ยอมรับ จิตจะไม่ออกไปรับบ้า ๆ บอ ๆ

ถ้าจิตใจเรามีพระ จับแต่เสียงดี จะรับแต่สิ่งที่มีประโยชน์ในชีวิตของเราทั้งนั้น เราไม่ยอมรับมันก็กลับไปหาเจ้าของเดิม อาตมาพูดเสมอ… มึงด่าใคร กูด่ามึง อ๋อ ด่ามึงหรือ ไม่ได้ด่ากูนะ เท่านี้ยังคิดกันไม่ได้ ตะลึงตะลานกระเสือกสะสนโกรธ…

บางทีเขาก็ไม่รู้ตัวว่าเราโกรธเขา เราก็นอนไม่หลับ กินไม่ได้ ท่านจะเป็นกรรมไหม ท่านจะมีเวรกรรมตามสนองท่านไหม กินไม่ได้ นอนไม่หลับ อย่างต่ำโรคเบียดเบียน โรคเบาหวาน ความดัน โรคเครียดมาแล้ว เดี๋ยวก็ตายอย่างน่าใจหาย นั่นท่านสร้างกรรมให้แก่ตัวเอง ไม่ให้เป็นบุญเลยนะ เป็นบาปประจำจิตใจ

การเจริญกรรมฐานจะต้องแก้บาปให้เป็นบุญ สร้างคุณให้เกิดประโยชน์ นั่นแหล่ะตามีทรัพย์ หูมีทรัพย์ ดูด้วยฟังด้วย ไปไหน ตา หู เป็นครูใหญ่ อย่าเอาปากไปก่อนนะ ปากนั้นไม่ดี ถ้าขาดสติสัมปชัญญะเมื่อไร มันจะพูดเรื่องออกมา ไปดูศาลาหน่อย ตำหนิแล้ว แต่น่าจะรู้เหตุการณ์ของวัดนี้ว่าไม่ดีเพราะเหตุใด ไม่รู้เรื่อง มีปากก็พูดไป ขาดสติในการพูด

ท่านทั้งหลายเอ๋ย เรามีกรรมฐาน จะคิดก็คิดทางดี มีสติคิด คิดดีแล้วพูดออกไปด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ตัวในการพูด จะทำอะไรก็ทำด้วยกรรมฐาน คือ มีสติสัมปชัญญะในการทำงาน งานของท่านจะเสร็จด้วยความเรียบร้อย งานนั้นไม่มีโทษ มีแต่ประโยชน์ร่วมกัน และงานที่ดีคืองานที่เสร็จทันเวลาที่ทำ นี่คือกรรมฐาน

ถ้าท่านไร้กรรมฐานขาดสติสัมปชัญญะ กี่ร้อยปีล่ะท่านถึงจะได้พบของดี ของดีไม่ต้องไปหาที่ไหน อยู่ในตัวของท่านชายท่านหญิงเอง แต่เอามาใช้ไม่ถูกวิธี จงเอาออกมาใช้ให้ถูกต้อง ทำอะไรให้มันมีครรลองของชีวิตบ้าง นี่คือกรรมฐาน

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนาแปลว่า ทนไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นอยู่ ๓ ประการ ดีใจก็เป็นเวทนา เสียใจก็เป็นเวทนา มีความสุขก็เป็นเวทนา มีความทุกข์ก็เป็นเวทนา อุเบกขาเวทนา เราก็ต้องตั้งสติ กำหนดเวทนานั้น เพราะเวทนามันเกิดขึ้นแก่เราเอง

ปวดเมื่อยก็เป็นเวทนา กำหนดจิต ตั้งสติที่ปวดเมื่อยนั้นกำหนดปวดหนอ ๆ อาตมาเห็นหลายคนบ่น ปวดจัง หลวงพ่อเอ๋ย หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้หายปวดหน่อย ได้ไหมหรือ

บางคนอยู่ที่กรรมฐาน บอกว่าหลวงพ่อช่วยด้วยค่ะ ฉันปวดจะแย่แล้วค่ะ ช่วยหน่อย ๆ ๆ พอหายปวดก็หาว่าหลวงพ่อขลัง หาว่าหลวงพ่อไปช่วย เปล่าเลย ช่วยตัวเองนะ ถ้าปวดหนอ ไม่ต้องไปหาคนอื่นช่วยเลย กำหนดไว้ ไม่ใช่เลิกเลย

คนเราเดี๋ยวนี้มักง่าย มักได้เกินไป ของดีต้องทำยากของชั่วทำง่ายนิดเดียว กว่าจะสร้างความดีมาจนป่านนี้ ใช้เวลานานมากนะ ไม่ใช่สร้างกันวันเดียวแล้วเสร็จ ศาลาหลังนี้สร้างตั้งหลายเดือน ใช้เวลาเป็นปี กว่าจะเสร็จ ถ้าจะรื้อก็ไม่กี่วันหรอก หอระฆังทำมาตั้งหลายเดือน รื้อไม่กี่วันจะเสร็จแล้ว ทำลายง่ายที่สุด สร้างเสริมสร้างยากมาก ขอฝากไว้เป็นแง่คิด

การเจริญกรรมฐานง่ายที่สุดแต่ไม่อยากกำหนด เห็นแก่ตัวมาก ตั้งสติไว้อย่างเดียว มีเวทนากำหนด เสียใจกำหนดที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ ไว้ คนเสียใจหายใจเฮือก เร็ว ๓ ช้า ๒ จะเสียใจหนอ กำหนดไปเดี๋ยวสติมันบอกว่าเสียใจเรื่องอะไร แก้ไขได้ เสียประสาทเปล่า ๆ มันจะบอกออกมาเองอย่างนี้ แต่ผู้ปฏิบัติไม่เคยกำหนด

อาตมานั่งนี่ปวดไหม มันก็ปวดเมื่อยเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของเขาเอง แต่เราไม่ไปยึดมัน แต่กำหนดปวดหนอนี่ปวดหนัก ต้องศึกษาให้รู้ พอปวดหนักเข้า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป จิตไม่ไปพะวง จิตไม่ไปเป็นอุปาทานยึดมันอีก ในเมื่อจิตไม่ไปยึดแล้ว มันก็สบายใจใช่ไหม

ความดี ความชั่วก็อย่าไปยึด ถ้าไปยึดเอาความชั่วมาแล้วมันอยู่ในตัวเรา เราก็ชะล่าใจ ดีก็ไม่ได้ดีตลอด ก็มีชั่วช้าสามานย์เป็นเรื่องธรรมดา เราต้องกำหนดจิตให้มันได้ สมปรารถนาทุกประการ ออกมาอย่างนี้นะ

เวลาง่วงอยากจะหลับ แต่จำเป็นจะต้องดูหนังสือต่ออีกสักหนึ่งชั่วโมง เอาจิตมาไว้ที่หน้าผาก กำหนดที่หน้าผากว่า ง่วงหนอ ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวตาจะแข็ง สติดีขึ้น จะเขียนหนังสือได้เลย กำหนดให้ถูกที่ ทำความดีให้ถูกทาง

บางคนนอนไม่หลับ ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ถ้าเรามีสมาธิดี นอนหงายหายใจยาว ๆ เอาสติปักไว้ที่ลูกกระเดือกหรือคอหอย เพ่งตรงนี้ หายใจยาว ๆ เดี๋ยวจะหลับทันที นักกรรมฐานกำหนดให้ถูกต้อง

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตคือธรรมชาติที่คิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เป็นเวลานานเหมือนเทปบันทึกเสียง อยู่ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ตั้งสติไว้ เห็นเกิดจิตทางตา ฟังเกิดจิตทางหู ตั้งสติไว้ได้ไหม เอาสติไปควบคุมจิตไว้

กลิ่นหนอ จะเหม็นหรือหอมก็ตาม อย่าไปสนใจ ตั้งสติไว้ให้ได้ ปัญญาจะเกิดขึ้น ลิ้นรับรส เปรี้ยวหวานมันเค็มอร่อย มันก็ติดอกติดใจ เสียเงินเสียทอง ก็นึกว่า โภชเนมัตตัญญุตา รับประทานอาหารให้ชีวิตอยู่ไปวันหนึ่งข้างหน้าเพื่อทำงานต่อไป ก็พอแล้ว

เดี๋ยวจะเกิดโลภโมโทโส ก็ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้ลงคอ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะจะเกิดเมตตา จะไม่ ฆ่าสัตว์ เมตตาจะสูงขึ้น มีความรู้ตัวแล้ว จะไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครเลย พ้นจากหามาได้ด้วยกำลังของเราเอง หามาได้ด้วยสมองและปัญญาของเราเอง จะไม่อยากได้ของใครเลย

สติปัญญาเกิดขึ้นมั่นคงต่อสมาธิภาวนาแล้ว จะไม่อยากรบกวนในเรื่องประเวณีที่น่าบัดสีในสังคม ที่เรากล่าวกันนั้น จะไม่มีแน่ ๆ และเราจะไม่อยากกล่าวเท็จกับใคร จะไม่หลอกลวงจะไม่โกงใครอีกต่อไปแล้ว และไม่โกหกใคร แต่โกหกคนอื่นน่ะบาปน้อยกว่าโกหกตัวเอง พูดแล้วไม่ทำ โกหกเรื่อยผัดวันประกันพรุ่ง แสดงว่าโกหกตัวเองแล้ว

ขอเจริญพรว่าอย่าไปสร้างกรรมต่อไปเลย อาตมารู้แล้ว ครั้งอดีตที่ผ่านมาเป็นไปตามวัฏจักรเลยนะ เราสร้างเวรสร้างกรรมมามากแล้ว สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อย่าคิดว่าไม่มีเวรกรรมนะ ถ้าโยมอยากหมดเวรหมดกรรม อย่างไปสร้างกรรมต่อไปเลย ใช้หนี้เขาไปเถอะ หมดแน่

ขอสรุปใจความว่า ยังไม่เข้าใจการเจริญกรรมฐานกันอีกมาก กรรมฐานแปลว่าหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ คนเดี๋ยวนี้ไม่รับผิดชอบตัวเอง ไม่รับผิดชอบครอบครัว ไม่รับผิดชอบการค้าของตัวเอง ไม่ใช่กรรมฐานตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ทาน ศีล และภาวนานั้น ทานใครก็ทำได้ ที่ถวายกันนี่ ใครก็ทำได้ ถวายกันเยอะแยะไป แต่มีศีลไหม ไม่มีสติสัมปะชัญญะเลย ทานไร้ผล ถ้าเราทำด้วยสติสัมปชัญญะ ทำด้วยปัญญาของเรา ที่มันเกิด มีศีลอยู่แล้ว ทำได้ผลเดี๋ยวนี้ต้องการให้ได้ผลเลิศกว่านี้ ต้องมีภาวนาด้วย

ภาวนานี่ สูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ทำคนให้มั่นคงทำคนให้มีหลักฐาน จะไปค้าขายก็มั่นคงแน่ ๆ นั่นแหละคือ ศีล สมาธิ ปัญญา สรุปเหลือ ๒ คือ สติ สัมปชัญญะ สรุปเหลือ ๑ คือ ทำงานด้วยความไม่ประมาท ทำอะไรก็ให้วงล้อมไว้ถึงจะถูกต้อง

นี่แหล่ะเป็นกฎแห่งกรรมที่เราต้องทำไว้ ถ้าหากว่าเรากำหนดได้จะแก้กรรมไปในตัวด้วย จะไม่สร้างเวรกรรมอีกต่อไปแล้ว กรรมเก่าก็จะอโหสิกรรม เพราะที่เราทำชั่วไว้เราก็รู้ตัว เราจะไม่ทำอีกต่อไป อโหสิกรรม อย่ามีเวรมีกรรมแก่ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา ณ บัดนี้ เป็นการแก้กรรมไปในตัวด้วย กรรมนั้นจะได้ยุติ และเราจะไม่สร้างกรรมใหม่ต่อไป นี่คือกรรมฐาน

วันนี้ขออนุโมทนาในเรื่อง การเจริญพระกรรมฐาน ขอให้ตั้งใจกำหนดทุกอิริยาบถไป เสียใจกำหนด ดีใจกำหนด อย่างประมาทเลย ชีวิตนี้คืออะไร ท่านทั้งหลายก็ทราบ ที่พูดมาแล้วนั้นพูดให้ละเอียดแล้ว พูดให้เข้าใจแล้ว ถ้าโยมยังไม่เข้าใจก็น่าเสียดาย

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย บุญกุศลทั้งหลายที่ญาติโยมมาบำเพ็ญกุศลในช่วงจังหวะเวลาว่างของโยม ให้ส่งผลให้ถูกหลานสวัสดีมีชัยต่อไป ขอให้ญาติโยมเจริญยศ เจริญลาภ เจริญสุข สนุกในการทำงานต่อไปด้วย ขอให้ญาติโยมตั้งหลักฐาน มีงานทำ ลูกหลานเป็นใหญ่เป็นโต มีความรู้วิชาการสูง ยิ่งใหญ่ในธรรมะของพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว

ขอให้ญาติโยมจงมีความสุขความเจริญโดยทั่วหน้ากัน และจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสาร สมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด ขอให้สมมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ

ขอเจริญพรด้วยกันทุก ๆ ท่าน