วินาทีแห่งความตาย

โดย ภัทรวดี องค์สกุล

อาจารย์ ภัทรวดี องค์สกุล

ความเบื้องต้น

ดิฉันเป็นอาจารย์ประจำสถาบันราชภัฏสงขลา (วิทยาลัยครูสงขลา) พักอาศัย ณ บ้านพัก ของข้าราชการภายในบริเวณวิทยาลัย เขตตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ห่างจากตัวบ้านของดิฉัน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕-๖ เมตร มีต้นตาลอายุหลายสิบปี ๒ ต้น ถ้าลากเส้นตรงจากต้นตาลต้นแรกมายังตัวบ้านก็จะตรงกับกึ่งกลางบ้าน ส่วนต้นที่สองจะตรงแนวชายคาบ้าน ความสูงตลอดต้นประมาณ ๑๘-๒๐ เมตร และเนื่องจากต้นตาลนี้อยู่ทางทิศตะวันออก หากถึงฤดูฝนหรือฤดูมรสุมของภาคใต้อันเกิดจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ โอกาสที่ต้นตาลจะล้มมาโดนตัวบ้านมีทางเป็นไปได้มาก ไม่ว่าจะล้มในแนวตรงหรือแนวเฉียง

เมื่อ ๕ ปีที่แล้ว ดิฉันได้ทำบันทึกถึงวิทยาลัยขอความอนุเคราะห์ตัดต้นตาลทั้งสองต้นนี้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจงว่า จากประสบการณ์และความรู้ในชีวิตจริงของเขา ไม่เคยมีต้นตาลล้ม การเจรจาเรื่องนี้ดำเนินมาเป็นระยะ ๆ ตลอดเวลา ๕ ปี จนอาจสร้างความรำคาญขึ้นบ้างก็ได้ที่ดิฉันไม่ละความพยายาม แม้จะเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่แล้วก็ตาม

ดังนั้นในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๖ (๓ สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุร้าย) จึงมีการคุยกันเรื่องนี้ โดยดิฉันได้รับคำยืนยันว่า ถึงต้นตาลจะสูงแค่ไหนและมียอดหนักปานใด ก็จะไม่ล้มเด็ดขาด เพราะมันมีเนื้อไม้ที่เหนียว เมื่อมีลมแรง ๆ มันจะเอนตามและคืนตัวกลับได้ เรื่องที่ดิฉันวิตกนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น ก็ได้ผลคือดิฉันเลิกคิดกังวลเรื่องนี้ไปเลยเพราะเชื่อสนิท แต่ทั้งนี้ทางวิทยาลัยไม่ทราบว่าในระหว่าง ๕ ปีที่ผ่านมา ต้นตาลทั้งสองเคยถูกหยอดน้ำมันก๊าดตรงยอดของมันจนมันตากซากไประยะหนึ่ง แล้วกลับฟื้นตัวแตกยอดออกผลใหม่อีก ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าต้นตาลทั้งสองจะมีเนื้อไม้เสียไปไม่เหมือนเดิม จึงไม่ได้แจ้งรายละเอียดส่วนนี้เพิ่มเติมให้ทางวิทยาลัยทราบ ต้นตาลที่เปรียบเสมือนผีดิบนี้เจริญเติบโตลวงตาว่าเป็นต้นตาลปกติ ทั้งที่ข้างในของมันกลวงตลอดแนวเนื่องจากน้ำมันก๊าด ดังนั้นวันหนึ่งเมื่อมีลมพายุพัดผ่าน มันจึงหักทับบ้านของดิฉันโดยที่ตอและรากของมันยังคงอยู่ในดินเปิดเผยสภาพความจริงของลำต้นที่กลวงให้ได้เห็น

เหตุการณ์

คืนวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๖ ล่วงเข้าวันที่ ๑๖ เวลาเกือบสองนาฬิกา ก็เกิดเหตุการณ์วินาทีแห่งความตาย

ในตอนกลางวันของวันที่ ๑๕ ธันวาคม กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกคำเตือนเป็นระยะ ๆว่า พายุชื่อแมนนี่ จะขึ้นฝั่งที่จังหวัดสงขลา ครั้นถึงเวลาสี่ทุ่มก็มีประกาศยืนยันแน่นอนว่าพายุจะขึ้นฝั่งเวลาประมาณหนึ่งนาฬิกาเป็นต้นไป อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่อการเคลื่อนตัวของพายุนี้ กลับไปกังวลเกรงว่าน้ำจะท่วมวิทยาลัยและบ้านคุณแม่ที่อำเภอหาดใหญ่

ก่อนเข้านอนคืนนั้น ตั้งแต่สามทุ่มเศษ ดิฉันรู้สึกจิตใจมันแปลก ๆ จะว่าเศร้าหรือหดหู่ก็ไม่ใช่ แต่ทราบว่าไม่เบิกบานสดใสเหมือนตอนหัวค่ำ เป็นสภาพจิตที่เปลี่ยนไปทันที ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว พี่สาวของดิฉันได้เตือนดิฉันให้เชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับ คำสอนกรรมฐานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล เรื่องการดูจิตเป็นอย่างไร แล้วเกิดเหตุการณ์เช่นไร ได้เงินหรือเสียเงิน ให้ศึกษาสังเกตและจดจำ แล้วเราจะรู้เหตุการณ์ต่อไปได้ ด้วยสภาพจิตของเราเอง นั่นก็คือ หมั่นฝึกฝนแล้วจะเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตได้ด้วยตัวเราเอง ดังหลวงพ่อได้ขมวดคำสอนเป็นหลักจำง่าย ๆ ว่า

“อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย จะคลายทิฎฐิ จะดำริชอบ จะกอปรกุศล ได้ผลอนันต์”

เมื่อดิฉันรู้สึกเช่นนั้นโดยค้นหาสาเหตุไม่พบ ดิฉันจึง สวดมนต์คาถาพาหุงมหากาฯ และบทพระพุทธคุณเกินอายุ ๑ จบตามปกติ แล้วเข้านอนเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ดิฉันหลับสนิทจนมาสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยเสียงที่ดังสนั่น ลุกขึ้นมานั่ง ทันเห็นส่วนหนึ่งของแผ่นเรียบที่ดิฉันใช้กรุห้องนอนหลุดล้มลงมาทั้งแผ่น เหนือแผ่นเรียบนี้ขึ้นไปคือ กระจกฝ้าแผ่นใหญ่ยาวติดหลังคาเพื่อให้ห้องมีแสงสว่าง ดิฉันสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นถึงขนาดทำให้แผ่นเรียบที่ตอกไว้แน่นหนาหลุดล้ม จึงรีบลุกออกจากห้องนอนเพื่อจะไปเปิดประตูหน้าบ้านดูเหตุการณ์ ห้องนอนของดิฉันอยู่ส่วนด้านหน้าของตัวบ้าน เมื่อดิฉันก้าวออกจากห้องนอนเข้าไปในห้องรับแขก ก็ต้องยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เพราะภาพที่เห็น เป็นภาพที่ดิฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อน ห้องรับแขกส่วนหนึ่งพัง ฝาบ้านเปิดโล่ง ด้านนอกมีท่อนไม้สีดำสนิท พาดทะมึนตรงมุมห้อง ขณะเดียวกันลมก็พัดอื้ออึง สายฝนกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา และสาดเข้ามาในบ้านจนชุ่มโชก ไฟฟ้าดับ ทุกอย่างมืดไปหมด

ดิฉันได้แต่พึมพัมว่า บ้านเราพัง ๆ มันเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกรุนแรงเหลือเกิน เพราะเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ห้องติดกันกับห้องที่ดิฉันนอนและหลับสนิทไม่ใช่ที่อื่นดังที่คิดในตอนแรก เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น ดิฉันละล้าละลัง และชั่วขณะนั้นดิฉันก็ควบคุมสติได้ ทราบว่าจะต้องตะโกนเรียกเพื่อนบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยแจ้งว่าต้นตาลต้นหน้าบ้านหักทับบ้าน เมื่อพวกเขาเข้ามาแล้ว ก็ขอให้ดิฉันรีบออกจากบ้าน เพราะนอกจากน้ำฝนรั่วนองในห้องนอนแล้ว พวกเขากลัวบ้านจะยุบลงมาเพราะคานบ้านชั้นล่างฉีกหัก แต่บ้านยังทรงตัวอยู่ได้เพราะอาศัยแนวกำแพงโรงรถรองรับ อีกทั้งต้นตาลหลังบ้านกำลังเอนโอนตามแรงลม อาจะล้มลงมาอีกต้นก็ได้ ดิฉันเปิดประตูโรงรถซึ่งข้างบนคือส่วนห้องรับแขกที่พังมีต้นตาลพาดทับอยู่ ประตูก็ทำงานได้ลื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวบ้านเลย ยิ่งไปกว่านั้น ดิฉันถอยรถออกมาได้สะดวกโดยที่ไม่ต้องรบกวนเพื่อนบ้านผู้มีน้ำใจให้ต้องเปียกฝนด้วยการรื้อเศษซากปรักหักพังเลย เพราะสิ่งของเหล่านั้นไม่ได้หล่นกระจัดกระจายกลับกองรวมกันอยู่มุมหนึ่งของบริเวณบ้าน หน้าโรงรถมีเพียงเสาอากาศทีวีหล่นขวางอยู่ เพียงแค่ยกออก บริเวณทางเข้าออกนั่นก็โล่งสะดวก

เมื่อสว่างเต็มที่ สภาพบ้านที่ปรากฏแก่สายตา คือ ต้นตาลหักเหลือแต่ตอแล้วล้มทับลงตรงเสาหน้าบ้านด้านทิศตะวันออกพอดิบพอดี เสาบ้านจึงรับน้ำหนักเต็มที่ ส่งผลให้คานบ้านด้านบนฉีกแตก ส่วนคานบ้านด้านล่างหักและเมื่อเวลาผ่านไป รอยแตกก็ขยายแนวยาวออกไปเรื่อย ๆ ทำให้ประตูโรงรถเริ่มเปิดไม่ออกปิดไม่เข้า ความยาวของต้นตาลพาดไปถึงปลายจั่วหน้าบ้านหลังคาแตกหมด ซึ่งบริเวณนี้ตรงกับห้องรับแขก ฝาห้องรับแขกด้านทิศตะวันออกฉีกหลุดออกไปเป็นแนว แต่ที่ฝาด้านนี้ไม่พังยุบลงมาเพราะแรงรับของเหล็กดัดที่หน้าต่าง ซึ่งดิฉันเพิ่งติดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน เพราะฉะนั้นความเหนียวของเนื้อเหล็กยังคงอยู่ในสภาพ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ กระนั้นเส้นเหล็กดัดบริเวณที่ติดกับกรอบหน้าต่างด้านล่างยังบิดงอ เรื่องติดเหล็กดัดนี่ก็น่าสนใจ ตรงที่ทำไมดิฉันจึงเพิ่งจะติดทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านนี้มาก็นานกว่าสิบปี และเมื่อดิฉันมีความคิดจะติดเหล็กดัด ดิฉันก็ร้อนรนจะต้องรีบทำเสียให้ได้

เมื่อเรียนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้รับคำอธิบายว่า เป็นเพราะ สติ บอกให้ทำ หากไม่มีเหล็กดัดใหม่ ๆ ที่ติดไว้ ความเสียหายคงจะรุนแรงกว่านี้แน่นอน เมื่อฝาบ้านยุบ หน้าต่างยุบ หลังคาก็น่าจะยุบลงมาด้วย และเมื่อน้ำหนักที่กดลงมากเกินกว่าที่คานล่างและแนวกำแพงโรงรถจะรับได้ บ้านก็คงพังลงมาทั้งแถบ แน่นอนที่สุดรถยนต์ของดิฉันซึ่งเพิ่งถอยออกจากอู่มาไม่ถึงปี คงจะยับเยินและอาจรวมถึงชีวิตดิฉันและทรัพย์สินอื่นด้วยก็เป็นได้

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ปลายต้นตาลได้ล้มวาดลงมาบนจั่วบ้าน ฉะนั้นยอดตาล คือส่วนที่เป็นใบและลูกควรจะฟาดลงมาตรงห้องนอนดิฉันพอดี การณ์กลับปรากฏว่า ยอดตาลบิดหักกระเด็นผ่านหลังคาห้องนอนลงไปที่พื้นเป็นแนวเฉียง ๔๕ องศาจากแนวลำต้นที่ล้มลง ตกไปกองบริเวณบันไดหน้าบ้านซึ่งทอดอยู่หน้าห้องนอน

การบิดหักของยอดตาลมีข้อน่าสังเกตอยู่ ๒ ประการ คือ หนึ่ง ไม่น่าจะบิดหักด้วยแรงหมุนของพายุ แต่จะเกิดจากอะไรเล่า ถ้าเป็นด้วยแรงพายุ บ้านของดิฉันน่าจะพังพินาศด้วย เพราะอยู่ในแรงหมุนของพายุเดียวกัน ความรุนแรงของพายุหมุนทำให้ต้นไม้ล้ม แต่ยอดมักไม่ขาด ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ครั้งพายุเกย์เข้าที่จังหวัดชุมพร พื้นที่บริเวณที่ศูนย์กลางพายุผ่าน จะเห็นภาพต้นไม้ล้มเป็นแถว ๆ แต่ไม่มีต้นไหนยอดขาดเลย ทั้ง ๆ ที่ได้รับฤทธิ์เดชของ พายุเต็มที่

ประการที่สอง เมื่อยอดตาลหักจากลำตาลแล้ว ควรตกลงในแนวดิ่งตามแรงดึงดูดของโลก นั่นคือ หล่นลงทับหลังคาห้องนอน และคงจะเป็นบนตัวดิฉันด้วย การตกผ่านหลังคาเบี่ยงจากแนวลำต้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

สภาพอื่น ๆ ทั่วไปในบริเวณบ้าน คือ เศษกระเบื้องที่แตก เศษไม้ที่ฉีกหัก ต่างกองรวมกันราวกับมีใครจัดกวาดเป็น ๒ กอง คือกองตรงเสาบ้านที่ต้นตาลพาดอยู่ และกองตรงเชิงบันไดที่ยอดตาลหักตกลงมาเหนือประตูหน้าบ้านขึ้นไปจะเป็นกระจกฝ้า จนติดหลังคา กระจกนี้จะติดตลอดแนวห้องหน้าบ้านทั้งหมด คือห้องรับแขกและห้องนอน

ปรากฏว่ากระจกนี้ไม่แตกเลย เพียงแต่เคลื่อนออกจากกรอบไม้เท่านั้น เพื่อนดิฉันเล่าให้ฟังว่า บ้านของเขาอยู่ห่างจากสนามซ้อมยิงปืนใหญ่ประมาณ ๓-๔ กม. กระจกที่บ้านเขายังแตกเพราะแรงสะเทือน และเมื่อฝ่ายเทศบาลซึ่งมีผู้ชำนาญการตัดต้นไม้สูงมาดำเนินการตัดต้นตาลอีกต้นที่เหลือ ก็ยังแสดงความประหลาดใจในเรื่องนี้ จากประสบการณ์ของเขาจะพบว่า เมื่อมีเหตุรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวบ้าน สิ่งแรกที่เสียหาย คือกระจกจะแตกเป็นเบื้องบน หากเกิดกรณีกระจกแตกหรือหล่นลงมาเช่นนั้น ดิฉันคงตายอย่างน่าอเนจอนาถ เพราะดิฉันนอนหันศีรษะชิดฝาบ้านด้านที่มีกระจก และกว่าผู้คนจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คงจะเป็นเวลาที่ออกไปทำงาน เพราะคืนเกิดเหตุไฟฟ้าดับ พายุฝนก็กระหน่ำไม่ขาดสาย คงจะไม่มีใครออกมา หรือได้ยินเสียงเป็นแน่

สิ่งที่น่าประหลาดใจอีกประการ คือ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย ข้าวของที่เป็นทรัพย์ส่วนตัวไม่เสียหาย แม้แก้วน้ำสักใบก็ไม่แตก มีเพียงหนังสือจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เปียกฝน ยิ่งไปกว่านั้นวิทยาลัยก็บังเอิญมีบ้านพักว่างหนึ่งหลังในวันนั้นพอดี ทำให้ดิฉันได้มีที่พักอาศัยชั่วคราว ในระหว่างที่วิทยาลัยดำเนินการซ่อมบ้านซึ่งเป็นทรัพย์สินทางราชการ นอกจากนี้แล้วช่วงที่ขนของใช้ที่จำเป็นไปยังที่อยู่ใหม่ ฝนที่ตกมาตลอดคืนก็หยุดตกพอดี ทำให้ทุกอย่างสะดวกราบรื่นอย่างเหลือเชื่อ

อานิสงส์

ดังคำกล่าวว่า “ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ” สิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน มิใช่เรื่องที่จะพูดให้คนอื่น ๆ เข้าใจกันได้ทุกคน ต้องเกิดขึ้นกับตนจึงรู้เอง

ดิฉันได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เป็นเวลา ๗ วัน เมื่อปี ๒๕๓๕ ที่นี่เป็นโรงเรียนกรรมฐานแห่งแรกที่สอนให้ดิฉันรู้จักเดินจงกรม นั่งสมาธิ แผ่เมตตาและอื่น ๆ อีกมาก เมื่อกลับไปทำงานช่วงแรก ๆ ดิฉันก็พยายามปฏิบัติตอนก่อนเข้านอนเสมอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ดิฉันก็พลัดหลงเข้าไปในวังวนชีวิตการทำงานเหมือนที่เคยเป็นมา แล้วมีข้อแก้ตัวให้ตัวเองว่าเหนื่อยเพลีย

ดิฉันเริ่มปฏิบัติได้ไม่สม่ำเสมอ จึงหันมาสวดมนต์ โดยสวดคาถาพาหุงมหากาฯ และบทพระพุทธคุณเกินอายุ ๑ จบ แทนการนั่งหลับในขณะกำลังนั่งสมาธิ ขณะเดียวกันก็พยายามปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อว่า ในขณะทำงานก็ให้ปฏิบัติกรรมฐานไปด้วย คือ ดูจิตดูใจดูตัวให้ทั่วพร้อม ระวังให้มั่นและให้มาก มีสติและสัมปชัญญะ ดิฉันทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทันกิเลสบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ทั้งนี้จะมีกำลังใจตลอดเวลา โดยยึดเอาคำพูดของหลวงพ่อที่ว่า “ปฏิบัติธรรม คือ การฝืนใจ ต้องฝืนใจ ต้องพยายาม” ดิฉันก็ต้องเริ่มต้นอยู่เรื่อย พยายามอยู่เรื่อย

จะเห็นได้ว่า ดิฉันยังไม่เก่งในการปฏิบัติแต่ประการใด ยังเป็นผู้ฝึกหัดอยู่ ที่กล่าวเช่นนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่เริ่มท้อแท้ โปรดอย่าทิ้งแนวทางนี้เลย เดี๋ยวจะเป็นดังคำหลวงพ่อ “ของจริงให้ยังไม่เอา” หากเราตั้งใจปฏิบัติอยู่เสมอจะเป็น การสะสมหน่วยกิต เกิดบุญกุศลได้คุ้มครองตัว ลองพิจารณาเหตุการณ์วินาทีแห่งความตายของดิฉันดูเถิด เหตุการณ์นี้พิสูจน์ว่า ตัวเราเองเท่านั้นที่จะช่วยตัวเราได้ เหตุอัศจรรย์อะไรก็คงไม่เกิดถ้าตัวเราไม่ได้สะสม สร้างบุญกุศลเอาไว้ อย่ามัวไปหลงติดกับอิทธิปาฏิหาริย์อยู่เลย ขอให้ใช้ประโยชน์จากการอ่านเรื่องนี้ เตือนใจตนให้เร่งหาทุนบุญกุศลด้านภาวนามัย ไว้ใช้เมื่อประสบวินาทีแห่งความตายเข้าบ้าง

การเจริญกรรมฐาน ต้องการให้มีปัญญา แก้ไขปัญหา จำตรงนี้เอาไว้

เพราะ กรรมฐาน เป็นวิชาแก้ปัญหาชีวิต เป็นวิชาแก้ทุกข์ ต้องเรียนรู้เอง ซึ่งพระพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบ