บันทึกเหตุการณ์

โดย พันตำรวจโท ชน อินทนา
๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๗

พันตำรวจโท ชน อินทนา

เมื่อกระผมรู้จักหลวงพ่อ

กระผมพันตำรวจโท ชน อินทนา อดีตผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธร อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผมเริ่มรู้จักท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นครั้งแรกเมื่อได้ย้ายเข้ามารับราชการ ที่อำเภอพรหมบุรีนี้ โดยการแนะนำของเพื่อน คือ คุณอิทธิพล ศิริพานิช ซึ่งเป็นสรรพสามิต อำเภอพรหมบุรี อยู่ในสมัยนั้นกระผมเริ่มเข้าวัดอัมพวัน เมื่อประมาณเดือน ก.ค. พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีถนน จึงต้องอาศัยการนั่งเรือหางยาวมาขึ้นที่ท่าน้ำหน้าวัด พอขึ้นมาถึงก็เห็นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในกุฏิท่าน กระผมจึงตรงเข้าไปกราบนมัสการท่าน และแนะนำตัวเอง พร้อมกับฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน จากนั้นมากระผมก็มักจะแวะเวียนเข้ามาทำบุญและฟังธรรมจากท่านเสมอ ซึ่งหลวงพ่อก็มีความเมตตากรุณาต่อผมมากเช่นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ กระผมได้จัดกฐินไปทอดที่วัดเขาแก้ว อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร หลวงพ่อท่านก็มีเมตตาพาคณะพระภิกษุและคณะญาติโยมไปร่วมทอดกฐินสามคันรถบัส และรถเล็กๆ ตามไปอีกหลายคัน รวมคนก็ร่วมร้อย การไปทอดกฐินในครั้งนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ประทับใจ ในความรอบรู้หรือจะเรียกว่าญาณวิถีของท่านอาจารย์ก็ได้ คือคุณเฉลาภรรยากระผมท้องแก่ จะคลอดลูกคนที่แปด คุณเฉลาเขาเป็นคนเดินแจกซองกฐินให้เพื่อนๆ เขา เขาจึงอยากไปมาก แต่กลัวจะไปไม่ได้ เพราะจะครบกำหนดคลอดในเดือนนั้นแล้ว เขาจึงเข้าไปถามหลวงพ่อ เพราะกลัวว่าไปแล้วจะลำบาก เพราะสมัยนั้นอำเภอท่าแซะยังไม่มีโรงพยาบาล ก็เลยมาเรียนถามหลวงพ่อว่าไปได้หรือไม่ ซึ่งหลวงพ่อท่านก็บอกว่า ไปได้ แต่ไปแล้วให้รีบกลับคุณเฉลาก็เชื่อหลวงพ่อเลยตัดสินใจไป

ขบวนกฐินได้ออกเดินทางเมื่อเวลา ๐๑.๐๐ น. ของคืนวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๑๑ ก็ถึงท่าแซะในเวลาสามทุ่มของวันนั้น เดินทางถึงหนึ่งวันเต็ม พอเช้าวันต่อมาก็ทำการทอดกฐิน เสร็จพิธีก็พาคณะไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในขณะที่กำลังเดินชมสะพานที่ทอดออกไป เพื่อให้เรือประมงเข้าเทียบ ซึ่งยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร หลวงพ่อก็หันมาบอกกับภรรยาของกระผมว่า ให้รีบกลับพรุ่งนี้จะเจ็บตัวผมก็เชื่อท่านเลยรีบพาคนขึ้นรถกลับในวันนั้น และมาถึงรังสิตเช้าวันที่ ๒๑ ตุลาคม คุณเฉลาก็เกิดเจ็บท้อง เลยต้องรีบเปลี่ยนรถ ให้นั่งรถเล็ก และรีบวิ่ง ผ่านวังน้อย ผ่านหนองแค ผ่านพุทธบาท ผ่านลพบุรี ตลอดทาง ผมก็ถามคุณเฉลาตลอดว่าไปไหวไหม คุณเฉลาก็บอกว่าไปได้ จนถึงบางงา เขาก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว จึงนำเขาไปส่งโรงพยาบาลสิงห์บุรี โดยให้ตำรวจหญิง สมปอง วิพันธุ์เงิน เป็นผู้นำไปเพราะกระผมต้องเข้าไปลงชื่อ และเซ็นรายงานราชการส่งจังหวัดที่อำเภอ พรหมบุรี เลยคิดว่ารอให้เลิกงานก่อนค่อยไปเยี่ยมภรรยา และคิดว่าคงไม่มีปัญหาในการคลอด เพราะครั้งนี้เป็นการคลอดลูกคนที่แปดแล้ว การคลอดคงจะง่ายๆ สบายๆ

ปรากฏว่าเขาต้องปวดท้องตั้งแต่ถึงโรงพยาบาลสี่โมงกว่า ไปจนเย็นก็ยังคลอดไม่ได้ เมื่อคลอดไม่ได้หมอก็ตัดสินใจจะผ่าออก แต่กระผมยังไม่ได้ไปเซ็นชื่ออนุญาต หมอเลยไม่กล้าผ่า คุณสมปองต้องวิทยุไปบอกผมให้รีบมา พอผมมาก็ปรากฏว่าคลอดเรียบร้อยแล้ว เป็นการคลอดที่ต้องเจ็บตัวทนปวดทั้งวัน เหมือนที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ ในที่สุดก็คลอดอกมาได้เองเป็นลูกผู้หญิง เป็นลูกคนสุดท้องของกระผม และผมได้ตั้งชื่อให้กับเขาว่า “กฐิน” เพราะคลอดตอนไปทอดกฐินพอดี

ต่อมาในเดือนมกราคม ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ กระผมต้องย้ายไปเป็นผู้บังคับกอง สถานีตำรวจภูธร ที่อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช กระผมจึงได้ไปกราบลาท่าน หลวงพ่อท่านก็มีเมตตาได้บอกกับกระผมว่า จะไปส่งกระผมจนถึงบ้านพัก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

 

หลวงพ่อไส้ติ่งแตก

ในวันเดินทาง หลวงพ่อท่านเดินทางโดยรถยนต์ จากอำเภอพรหมบุรี ไปยังสถานีรถด่วน หรือสถานีรถไฟกรุงเทพฯ พอท่านได้ขึ้นไปนั่งบนรถไฟ ขบวนรถยังไม่ทันได้เคลื่อนออกจากสถานี หลวงพ่อก็อาพาธ เกิดปวดท้องบริเวณไส้ติ่ง ซึ่งก่อนออกจากวัด ท่านก็มีท่าทางไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านก็ขอเดินทางไปส่งกระผมให้ถึงบ้านพักให้จนได้ ท่านไม่ยอมแสดงอาการทุรนทุราย หรือร้องโอดครวญ ต่อความเจ็บปวดแต่ประการใดเลย ท่านมีความอดทนอดกลั้นสูงมาก แต่ก็บอกกับกระผมว่า อาตมาไม่ค่อยสบายและเมื่อขึ้นรถไฟแล้วท่านก็บอกกับกระผมอีกว่าท่านมีอาการปวดท้อง ผมจึงให้จ่านายสิบคนหนึ่ง ชื่อ จ่านายสิบตำรวจ บำรุง บุรีภัคดี ซึ่งจ่านายสิบคนนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ภายหลังได้เลื่อนยศเป็นถึงนายพันตำรวจโท ให้คอยดูแลหลวงพ่อ เพราะกระผมอยู่คนละโบกี้กับท่าน เพราะใช้บัญชีพลไปซื้อตั๋ว จึงต้องแล้วแต่เจ้าหน้าที่เขาจัดให้ใครนั่งตรงไหน

หลวงพ่อท่านอยู่ที่รถนอนเอก (บ.น.อ.) ผมก็อยู่รถนอนเอกแต่คนละโบกี้ จึงมอบหมายให้จ่านายสิบ เป็นผู้คอยดูแลหลวงพ่อ อยู่ตลอดเวลาพร้อมกับคุณเฉลา อินทนา ภรรยาของกระผม ซึ่งคอยดูแล และพยาบาลหลวงพ่อ ในตอนที่ท่านอาเจียนออกมาเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง เขาก็คอยเทกระโถนให้ ซึ่งตลอดทาง เขาคอยดูแลหลวงพ่อ จนไม่ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืน

จนเมื่อรถไฟถึงอำเภอชะอวดแล้ว หลวงพ่อจึงได้บอกกับพวกของกระผมว่า ท่านไส้ติ่งแตกแล้ว

 

ความอดทนต่อเวทนาของหลวงพ่อ

จากบ่ายสี่โมงเย็นที่คณะของผมเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ก็ได้มาถึงสถานีทุ่งสง เป็นเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ และถึงอำเภอชะอวดในเวลาแปดโมงเช้า เมื่อท่านได้บอกกับคณะของพวกกระผมว่าไส้ติ่งท่านแตกแล้ว พวกเราต่างตกใจ แต่หลวงพ่อก็สามารถควบคุมความรู้สึกของท่านได้ และพาพวกของกระผมเดินทางไปยังบ้านพัก ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟเป็นระยะทางประมาณห้าร้อยเมตรและเมื่อถึงบ้าน ท่านก็ประกอบพิธีขึ้นบ้านให้ และพาขึ้นบ้านพัก โดยไม่แสดงความเจ็บปวดทุรนทุรายให้พวกของกระผมต้องเป็นกังวลใจเลย และในคืนนั้น ท่านก็ได้จำวัดที่บ้านพักของกระผม

เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อก็พาผมและคณะเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อไปเยี่ยม พันตำรวจโท ชัยยา นิยมค้า ในภายหลังได้เลื่อนยศเป็น พลตำรวจตรี ซึ่งเป็นเพื่อนของกระผม และเป็นอดีตผู้บังคับกอง สถานีตำรวจอำเภอพรหมบุรี ก่อนกระผม และเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ จนกระทั่งพวกเราทานอาหารเที่ยงกันเสร็จ จึงเดินทางไปนมัสการปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ พระบรมธาตุ วัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นการนมัสการเป็นครั้งแรก ซึ่งแม้ในตอนเช้า ก่อนที่ท่านจะเดินทางท่านก็ยังมีอาการปวดอยู่ แต่ท่านก็มุ่งมั่นที่จะไปนมัสการ พระบรมธาตุ พวกกระผมจะพาไปโรงพยาบาลท่านก็ปฏิเสธ และท่านก็ขอพาพวกเรา มาตัวเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งห่างกันร้อยกว่ากิโลเมตร เมื่อท่านได้ไปนมัสการพระบรมธาตุและพาคณะเวียนเทียนเรียบร้อยแล้ว ในเวลาเย็น ท่านจึงเดินทางกลับมาส่งผมที่อำเภอชะอวด และถึงเดินทางต่อ จากอำเภอชะอวดกลับสู่กรุงเทพมหานคร

 

ความประทับใจของกระผม

กระผมประทับใจและอัศจรรย์ใจหลวงพ่อเป็นอย่างมาก ที่ท่านสามารถควบคุมเวทนาความเจ็บปวดของท่านได้ เพราะตามธรรมดาหากคนไส้ติ่งแตกขึ้นมาคงจะต้องเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลวงพ่อท่านสามารถอดทนต่อเวทนาอันแรงกล้าเป็นเวลาสามวันสามคืน นับจากกรุงเทพฯ มาถึงเช้าที่ชะอวด เป็นเวลาคืนหนึ่งแล้ว และอยู่ที่ชะอวดหนึ่งวันและพักจำวัดที่นั่น ตอนเช้าถึงได้เดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุและเวียนเทียน เสร็จแล้วท่านยังมีเมตตา เดินทางมาส่งผมที่บ้านพักอำเภอชะอวดอีกครั้ง แล้วถึงได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ

ต่อมากระผมถึงได้ทราบว่า เมื่อท่านเดินทางถึงกรุงเทพฯ แล้ว ท่านได้เข้าโรงพยาบาล และตลอดเวลาในการเดินทางท่านมีความอดทนอย่างมาก อาหารการกินท่านก็ฉันน้อยมากเพราะท่านป่วย กระผมจึงประทับใจ ในความเก่ง ความอดทนที่ท่านสามารถสู้กับอาการเจ็บป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

ความน่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ

จากประสบการณ์ที่กระผมได้พบในเรื่องของบุญบารมีของท่านนั้น ผมขอถ่ายทอดเพื่อเป็นประโยชน์สืบไป ดังนี้

คือในระหว่างที่ผมรับราชการอยู่ที่อำเภอชะอวดนั้น มีคหบดีคนหนึ่ง ผมเรียกท่านว่าเฒ่าแก่ลิ้ม เป็นเจ้าของโรงเลื่อยจักร และได้ดำเนินกิจการสร้างโรงน้ำแข็งขึ้นมาโรงหนึ่ง เฒ่าแก่ลิ้มได้รู้จักกับหลวงพ่อ ในตอนที่ท่านได้มีเมตตาไปส่งกระผม และเกิดเลื่อมใสในหลวงพ่ออย่างมาก เลยขอร้องให้กระผมนิมนต์หลวงพ่อ มาทำพิธีเปิดป้ายเจิมป้ายให้ด้วย กระผมจึงส่งจดหมายมานิมนต์หลวงพ่อ ท่านก็ตกลงที่จะไป

ในวันนั้นท่านก็เล่าให้ผมฟังว่า ท่านได้ออกเดินทางจากอำเภอพรหมบุรีมาสถานีรถไฟหัวลำโพงนั้น ความจริงเลยเวลาที่รถไฟจะออกไปแล้ว เกือบจะมาตามที่นิมนต์ไม่ได้แล้ว แต่ท่านกลับมาได้ เพราะรถไฟขบวนที่ท่านจะขึ้นมานั้น หัวรถจักรเกิดเสียอย่างกระทันหัน ช่างเครื่องช่างซ่อมต่างช่วยกันดู แต่หาสาเหตุที่เสียไม่พบ จนกระทั่งเลยเวลาที่รถจะออกจากสถานีไปประมาณยี่สิบนาทีหลวงพ่อจึงมาถึง และเมื่อหลวงพ่อขึ้นสู่รถไฟแล้ว ปรากฏว่าหัวรถจักรเกิดใช้ได้ตามปกติ

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวาจาของท่าน ซึ่งท่านอาจารย์มักพูดอะไร มักเป็นไปอย่างที่ท่านพูด และเรื่องที่เกิดกับตวของผมเองมีอยู่ว่า ในระหว่างที่กระผมรับราชการอยู่ที่อำเภอพรหมบุรี ซึ่งต้องขึ้นกับกองบังคับการตำรวจที่จังหวัดอยุธยา และพอดีที่ลูกน้องของกระผมต้องเดินทางไปราชการที่กองบังคับการที่อยุธยา พอกลับมาลูกน้องก็มากระซิบบอกผมว่ากระผมกำลังจะมีเรื่องซึ่งเป็นเรื่องครั้งที่ปฏิบัติราชการอยู่ที่จังหวัดชุมพร และกำลังจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาโทษ พอกระผมพอทราบข่าวจากลูกน้องอย่างนั้นก็ใจไม่ดี จะนึกก็นึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับไม่สบายใจอย่างมากเลยนึกถึงหลวงพ่อ ผมมาหาท่านและบอกเรื่องราวที่ผมกำลังจะเดือดร้อน ท่านอาจารย์ ท่านมองหน้าผมสักพักท่านก็บอกกับกระผมว่าไม่มีอะไรนี่ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ผมได้ยินท่านว่าอย่างนั้นก็สบายใจ

และมันก็เป็นจริงตามที่ท่านอาจารย์กล่าว เพราะว่าสองสามวันต่อมา คำสั่งที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนกระผมก็มาถึงจังหวัดสิงห์บุรี และส่งมาถึงผมที่อำเภอพรหมบุรี ซึ่งปรากฏว่าเรื่องที่เขาจะตั้งกรรมการสอบสวนผม เป็นเรื่องของการทำสำนวนการสอบสวนหายในเรื่องของอาวุธปืน โดยกล่าวหาว่า ที่ผมจับอาวุธปืนเถื่อนจากชาวบ้านมา และไม่ยอมมอบสำนวนให้กับเจ้าหน้าที่ ที่มารับหน้าที่ต่อจากผม เพราะสำนวนมันหายไป และปืนของกลางก็หายด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ถึงกับถูกให้ออกจากราชการ ถ้าหากสอบสวนแล้วเป็นความจริง

พอกระผมเห็นหนังสือคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว กระผมก็สบายใจ เพราะผมมีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งระบุไว้ว่ากระผมได้มอบสำนวนฉบับนี้ และปืนกระบอกนี้ แก่นายตำรวจที่มารับหน้าที่ต่อจากผมเรียบร้อยแล้ว เป็นหลักฐานที่ผมเก็บไว้เป็นสำเนาชุดหนึ่ง ผมเลยสบายใจได้ พอเขาเรียกตัวผมไปสอบสวนผมก็แสดงหลักฐานว่าสำนวนและปืนนั้นมีคนเซ็นรับไปจากกระผมแล้ว เลยถูกระงับ ไม่ต้องตั้งกรรมการสอบสวนต่อไป ทำให้ผมมาระลึกถึงคำ ที่ท่านอาจารย์ได้บอกกับกระผมว่า ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนอะไร

อีกเรื่องที่เกี่ยวกับวาจา ที่ท่านได้กล่าวออกมาแล้วเป็นจริงตามวาจานั้น ซึ่งเป็นความประทับใจในความรอบรู้ของหลวงพ่อมีอยู่ว่า เมื่อกระผมยังรับราชการ อยู่ที่อำเภอพรหมบุรีอยู่นั้น กระผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งคือ พันตำรวจโท สุรพล อินถา เป็นรองผู้กำกับอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรีอยู่ในสมัยนั้น และพอดีเกิดมีคำสั่งย้ายให้นายตำรวจ เพื่อนผมคนนี้ไปเป็นผู้กำกับอยู่ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ ผมเลยแนะนำให้เพื่อนผมไปหาหลวงพ่อก่อนที่จะย้ายไป คุณสุรพลก็ขอให้กระผมพามาหาหลวงพ่อ ซึ่งเมื่อผมแนะนำตัว และพาเพื่อนผมเข้านมัสการท่านแล้ว จึงเรียนถามท่านเรื่องกำหนดการที่จะเดินทางไประยอง หลวงพ่อท่านได้เมตตากำหนดให้ แต่ในเวลาที่กำหนดให้นั้นเป็นเวลาที่กระชั้นชิด เพื่อนผมบอกกับท่านว่าคงจะไปในเวลานั้นไม่ได้เพราะเตรียมตัวไม่ทัน หลวงพ่อท่านจึงเตือนเพื่อนผมทันทีว่า ต้องรีบไปนะ เพราะถ้าไม่รีบไปตามเวลาที่บอกก็จะไม่ได้ไปเป็นผู้กำกับ ที่จังหวัดระยองเลย และถ้าไป ก็คงอยู่ได้ไม่นาน อย่างมากแค่ปีเดียว เพราะจะมีคนมาแย่ง รองสุรพลเชื่อหลวงพ่อ จึงเดินทางตามที่หลวงพ่อกำหนดให้

เมื่อรองสุรพลเดินทางไปถึงจังหวัดระยองแล้ว ท่านได้รับการเลื่อนยศเป็น พันตำรวจเอก และเลื่อนตำแหน่งเป็น ผู้กำกับ วาจาที่หลวงพ่อได้กล่าวแก่รองสุรพล ก็ได้แสดงผลอย่างน่าอัศจรรย์เพราะเมื่อเดินทางไปถึงแล้วปรากฏว่า ทางกรมตำรวจได้แต่งตั้งนายตำรวจอีกผู้หนึ่งให้มารับตำแหน่งผู้กำกับ เช่นเดียวกับรองสุรพลมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และมีปัญหาในเรื่องของบ้านพัก แต่รองสุรพลรีบเดินทางตามคำแนะนำของหลวงพ่อ จึงมาถึงก่อนเข้าบ้านก่อน และได้อาศัยอยู่ที่บ้านพักนั้นพร้อมทั้งรับตำแหน่งผู้กำกับไป ซึ่งหากไปช้ากว่านี้ คงไม่ได้เป็นผู้กำกับตามที่หลวงพ่อได้กล่าวไว้แน่นอน และแม้จะได้รับตำแหน่ง ก็อยู่ได้ปีเดียวตามคำของหลวงพ่อ เพราะในปีถัดมา นายตำรวจคนที่ทางกรมตำรวจ เคยแต่งตั้งซ้อนคราวนั้น ก็ได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับที่จังหวัดระยองแทน ส่วนท่านต้องย้ายไปเป็นผู้กำกับที่จังหวัดอ่างทองแทน

 

ผลที่ได้รับจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

ปัจจุบันกระผมยังซาบซึ้งในความเมตตา ที่หลวงพ่อท่านมีให้กับกระผมและครอบครัว กระผมมีโอกาสได้เข้ามารับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดอัมพวัน และได้รู้ซึ้งถึงประโยชน์อันมากมายของการปฏิบัติ ได้รู้ว่า กรรมฐานทำให้ปัญญาสามารถฟื้นความทรงจำของกระผมให้ดีขึ้นอย่างมาก ในครั้งแรกที่กระผมได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งระยะเวลาก็ได้ผ่านมานานถึง ๒๘ ปีแล้ว กระผมไม่สามารถระลึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตได้เท่าไรนัก แม้ชื่อคน ชื่อสถานที่ วันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ กระผมก็ยังนึกไม่ออก

จนกระทั่งเมื่อกระผมได้เข้ามาอยู่ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัด ระหว่างวันที่ ๗ – ๑๑ เมษายน ๒๕๓๗ ที่ผ่านมานี้ ผลจากการที่กระผมตั้งใจฝึกปฏิบัติ ทำให้สามารถระลึกเหตุการณ์ในอดีตไดอย่างแม่นยำ จดจำได้กระทั่ง วัน เดือน ปี ที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆ นั้น จำกระทั่งชื่อ นามสกุล และสถานที่ต่างๆได้ ในขณะที่กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติกรรมฐานนั่นเอง และความคิดการอ่านของกระผมดีขึ้นมาก สามารถคิดอะไรออกได้ด้วยดี ซึ่งเป็นผลมาจากการชี้นำของสติที่กระผมได้ฝึกปฏิบัติมา สมดังคำสั่งสอนที่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า “วิปัสสนากรรมฐานทำให้ผู้ที่ปฏิบัติมีปัญญา และระลึกชาติ หรือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วในอดีต