คำบอกเล่าขณะหลวงพ่ออาพาธหนัก

โดย เฉลา อินทนา

พ.ต.ท. ชน อินทนา และคุณนายเฉลา อินทนา

ดิฉัน นางเฉลา อินทนา ภรรยาของ พันตำรวจโท ชน อินทนา ได้เข้ามารู้จักหลวงพ่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยสามีดิฉันแนะนำ และพาเข้ากราบนมัสการท่าน จากนั้นดิฉันมักจะไปทำบุญและช่วยเหลือกิจการงานของวัดสม่ำเสมอ จนกระทั่งในเวลาต่อมา สามีของดิฉันต้องย้ายไปเป็นผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธร ที่อำเภอ ชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ดิฉันและสามีจึงได้ไปกราบลาท่าน หลวงพ่อท่านรับฟัง แล้วหันมาพูดกับดิฉันว่า “หลวงพ่อจะไปส่ง จะส่งให้ถึงบ้านพักที่ อำเภอชะอวด เลย” ดิฉันห้ามท่านว่า “หลวงพ่อไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ จะไปส่งได้อย่างไร ก็ตอนนี้หลวงพ่อยังป่วยอยู่ จะไปไหวหรือคะ” ในตอนนั้นท่านกำลังป่วยอยู่ และได้หนีออกมาจากโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ สาเหตุเพราะหมอจะทำการผ่าตัดท่าน แต่ท่านไม่ยอมให้ผ่าตัด ท่านจึงหนีกลับมาอยู่วัด ท่านก็ยืนยันคำพูดเดิมอีกว่า “หลวงพ่อพูดไปแล้วว่าจะไปส่ง ก็ต้องไปให้ได้ วาจาต้องเป็นวาจานะโยม” ดิฉันเห็นสภาพท่านในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ท่านกำลังอาพาธอยู่ ก็อุตส่าห์มีเมตตาไปส่งดิฉันและสามี ดิฉันต้องน้ำตาไหลเพราะสงสารท่าน และซาบซึ้งในความเมตตาของท่าน ซึ่งต่อมาภายหลังดิฉันถึงได้ทราบเหตุ ที่หลวงพ่อยืนยันจะไปส่งให้ได้ ก็เพราะว่าท่านต้องการไปช่วยสามีดิฉัน ไม่ให้มีปัญหาจากการที่เข้าไปรับงานต่อจากนายตำรวจคนก่อน ในเรื่องของอาวุธปืนที่เกิดสูญหายไป ท่านก็ช่วยเหลือ และแนะนำจนการส่งรับหน้าที่เรียบร้อย มิฉะนั้นหากท่านไม่มาส่ง ปัญหาการเข้าไปรับหน้าที่ของสามีดิฉัน คงจะต้องเกิดขึ้นแน่

ในวันเดินทางหลวงพ่อก็ให้พวกดิฉันเดินทางไปก่อน ส่วนท่านเดินทางตามมาทีหลัง พวกดิฉันเดินทางไปขึ้นรถไฟเสร็จเรียบร้อย ก็รอหลวงพ่อ จนกระทั่งถึงเวลาที่รถไฟต้องออกจากสถานี ก็ยังไม่เห็นหลวงพ่อมา รู้สึกใจไม่ดี คิดว่าหลวงพ่อคงจะไปส่งไม่ได้เสียแล้ว จนกระทั่งเกินเวลาไปสิบนาที รถไฟก็ยังไม่ออก เพราะเกิดปัญหาติดขัดบางอย่าง จนสักครู่หลวงพ่อก็เดินทางมาถึงและขึ้นรถไฟเรียบร้อย ขบวนรถถึงได้เคลื่อนออกจากสถานีหัวลำโพง ทำให้พวกดิฉันดีใจมาก และคิดว่ารถไฟจอดรอท่านแน่ๆ

เมื่อขบวนรถไฟออกเดินทางแล้ว ดิฉันนำน้ำชาและน้ำปานะ เข้าไปถวายท่านที่โบกี้ของท่าน ซึ่งเป็นรถนอนชั้นหนึ่ง เมื่อท่านฉันเข้าไป ท่านก็อาเจียนออกมา ดิฉันตกใจมาก สงสารท่านมากที่ต้องมาลำบากและทนความเจ็บป่วย เพื่อมาส่งครอบครัวดิฉัน

หลังจากที่ท่านอาเจียนออกมาแล้ว ดิฉันนำน้ำให้ท่านดื่ม ท่านก็อาเจียนออกมาอีก ท่านฉันอะไรไม่ได้เลย

สักครู่ท่านก็บอกกับดิฉันว่า ท่านเจ็บที่ท้อง แล้วท่านเปลี่ยนอิริยาบถ ขึ้นมานั่งกรรมฐาน ท่านนั่งไปบางครั้งมีอาการบิดตัว บางครั้งท่านก็กัดฟันกรอด กรอด คงเพราะท่านคงจะเจ็บมาก แต่ท่านก็อดทนมาก ไม่ร้องครวญครางเลย พอท่านนั่งไปสักครู่จนค่อยยังชั่วท่านก็ลืมตาขึ้นมา ดิฉันจึงนำน้ำชาไปถวายท่านท่านก็อาเจียนออกมาอีก และมีอาการปวดอีก ท่านก็นั่งกรรมฐานต่อไปอีก ท่านอาพาธไปตลอดทางนอนไม่ได้เลย

พอรถไฟถึงจังหวัดสุราษฎร์ฯ ท่านก็มีอาการรุนแรงมากขึ้น ท่านอาเจียนออกมาเป็นน้ำเลือดน้ำหนองมีกลิ่นเหม็นคาวออกมา เลือดและน้ำหนองออกมากลบปากท่านเต็มไปหมด ดิฉันกับนายสิบตำรวจก็ช่วยกันทำความสะอาดท่าน ท่านก็หันมากล่าวกับดิฉันว่า “โยม อาตมาคงต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่บนรถไฟแล้วกระมั๊ง”

ดิฉันก็ร้องไห้แล้วพูดกับท่านว่า “หลวงพ่อ ทำไมพูดอย่างนั้น อย่าพูดอย่างนั้นเลยนะคะ ขอให้หลวงพ่อหายอายุมั่นขวัญยืนเถิด” ดิฉันบนบานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้มาช่วยหลวงพ่อ สงสารท่านมากรู้ว่าท่านจะไส้แตกแล้ว เพราะอาเจียนออกมาเป็นน้ำเลือดน้ำหนองอย่างนั้น

จากนั้นหลวงพ่อก็ยังไม่หายอาพาธ และมีอาการรุนแรงมากขึ้นๆ ตอนนั้นท่านคงจะปวดมาก เพราะท่านนั่งตัวสั่น กัดฟันกรอด กรอด เสียงดัง จนท่านทนไม่ไหว ท่านก็ล้มลง ล้มไปในท่าที่นั่งกรรมฐานอยูอย่างนั้น ล้มไปนิ่งเลย เปนเวลาตีสองถึงตีสาม รถไฟได้เลยจังหวัดสุราษฎร์ไปแล้ว

ดิฉันก็ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร เลยไปตามสามีดิฉันมาช่วย สามีดิฉันก็ลองเอานิ้วมือเข้าไปอังดูที่จมูก ก็ปรากฏว่าท่านไม่มีลมหายใจ ดิฉันก็ลองอังดู ก็ไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจ ตัวท่านก็เขียวไปหมดเลย ดิฉันก็เข้าใจว่าท่านคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจ สามีดิฉันบอกว่าท่านคงไม่เป็นไรหรอก คงกำลังนั่งกรรมฐาน ให้ท่านพักผ่อนไปเถอะ

ดิฉันเลยเฝ้าดูท่านไม่ยอมนอนเลยวันนั้น ไม่เชื่อสามีดิฉัน เพราะอังดูแล้ว หลวงพ่อไม่มีลมหายใจเลย หมดลมหายใจไปประมาณ ๓ ชั่วโมง จนกระทั่งรถไฟจะถึงสถานีชะอวด ตอนนั้นจะเช้าแล้ว ดิฉันก็ลองเอานิ้วอังดูลมหายใจท่านใหม่ ก็ปรากฏว่าหลวงพ่อกลับค่อยๆ มีลมหายใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่กำลังนอนอยู่ในท่าเดิม คือท่าที่ท่านั่งสมาธิ ก็แปลกใจและดีใจขึ้นมา แล้วท่านก็ลุกมาได้

พอรถไฟถึงสถานีชะอวด ปรากฏว่ามีคนมารับพวกเรากันมาก สามีดิฉันรีบบอกกับคนทางนั้นว่าต้องให้น้ำเกลือท่าน จะพาท่าไปสุขศาลา รีบนำแคร่มาให้ท่านนั่งไป แต่ท่านไม่ยอมไปและไม่ยอมนั่งแคร่ พวกเราเลยต้องพาท่านเดินไปที่บ้านพัก ท่านก็ต้องทนทรมานต่ออาการเจ็บป่วยของท่านจนกระทั่งกลับ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถไฟในวันนั้นดิฉันไม่เคยลืม ยังจำถึงคำพูดที่ท่านได้กล่าวว่า โยม อาตมาคงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้บนรถไฟแล้วกระมั๊งอยู่เสมอ ยังคงนึกเสียใจที่ทำให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมาน เพื่อไปส่งครอบครัวของดิฉันเสมอ

กรรมฐานสอนง่าย แต่มันยากตรงที่ท่านไม่ได้กำหนด ไม่ได้เอาสติมาควบคุมจิตเลย