การสร้างบารมีในการปฏิบัติ

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗

ขอนอบน้อมพระรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า น้อมนึกระลึกถึงผู้มีพระคุณ มีคุณมารดา บิดา ครู อาจารย์ ญาติพงศ์วงศา ญาติในพระพุทธศาสนา มาร่วมใจสามัคคี สร้างความดีในการฟังธรรม ณ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ในวันนี้

และขอน้อมระลึกถึงผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้แก่ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณภาวนาพิศาลเถระ ตลอดกระทั่งเจ้าอาวาสให้การอุปถัมภ์ วัดปทุมวนาราม พระมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าองค์พระราชา ศาสนูปถัมภกยกย่องพระพุทธศาสนา เรามีศาลาอันโอ่โถง สวยสง่างามตามระเบียบ งามตามพระธรรมวินัย ถูกต้องตามวิธีการทุกประการ ขอถวายการเคารพนอบนบบูชาก่อนที่จะชี้แจงแสดงต่อไป ณ กาลบัดนี้เทอญ

ขอนมัสการท่านประธานศูนย์ฯ ขอเจริญพรญาติธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ วันนี้อาตมาชื่นใจ ทั้ง ๆ ที่อาพาธหนัก แต่แล้วก็มานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จพ่อของเราแล้วน่าจะต้องมาได้ พระองค์ท่านสอนคนจนกระทั่งตายข้างทางเดินระหว่างต้นรังทั้งคู่

ก่อนที่จะตาย คือเข้าสู่ปรินิพพานของพระองค์นั้น พระองค์ยังหันพระพักตร์มาสู่พระอานนท์ศรีอนุชา

หนฺททานิ ภิกขฺเว อามนฺตยามิโว ขยวย ธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ

พี่น้องที่รัก โปรดได้นึกถึงปัจฉิมโอวาทข้อนี้ไว้ พระพุทธเจ้าของเรานั้น สอนคนกระทั่งตาย ตายแล้วยังสอนอีกนะว่า “อานนท์ศรีอนุชา โปรดเอาไปสอน สังขารของข้าพเจ้ากำลังเสื่อมกำลังโทรมแล้ว อันรูปธรรม นามธรรม เข้าสู่ปรินิพพาน ขอพระอานนท์ศรีอนุชาโปรดได้สอนพุทธศาสนิกชนต้องต่อสู้ต่อไปจนชีวิตหาไม่”

“ข้าพเจ้าเป็นจักรพรรดิ เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ มีแก้วแหวนเงินทองมากมายก่ายกอง เหลือจะนับคณาได้ แต่ข้าพเจ้าเสียสละมาเพื่อชาวโลก ต้องการให้ชาวโลกทั้งหมดนี้ได้แก้ปัญหาทุกข์ และได้พ้นไปเสียจากกองทุกข์นานาประการ ร่างกายสังขารก็ไม่มีประโยชน์อันใดเท่าใดแล้ว”

พี่น้องที่รัก เราเลี้ยงสังขารมาใช้งานใช่ไหม เลี้ยงช้าง ม้า วัว ควาย ต้องการใช้งานใช่ไหม แต่อยากจะให้ข้อคิดเจริญพรถามโยมที่นั่งอยู่เลี้ยงสังขารไว้ทำอะไร เลี้ยงมาสร้างปัญหา มาสร้างทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีโอกาสจะเลี้ยงสังขารให้เป็นประโยชน์แก่ตนเลย ไม่สามารถจะนำสังขารสร้างความดีให้แก่ตนเลย เลี้ยงสังขารต้องหมดข้าวปลาอาหาร เสียทรัพยากรชีวิตอีกด้วย เสียเวลาอีก

พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ถ้าท่านถึงธรรมะเมื่อใด ท่านจะคิดว่าชีวิตของท่านมีค่ามาก เวลาของท่านจะมีประโยชน์มาก ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่าชีวิตไม่มีค่าอะไรเลย เกิดมาไม่มีค่า เวลาของท่านเอาไปชอปปิ้ง ไปนั่งคุยนินทากัน เสียเวลากาลไม่ใช่น้อย

ทุกคนโปรดได้คิด การศึกษาธรรมะต้องคิด ไม่ใช่มาฟังกันให้สนุก ท่านจะทุกข์ถนัด ท่านต้องเอาไปคิดกัน ไปสร้างความดีให้แก่ตนและครอบครัว จึงจะเป็นการถูกต้องมาก

ไม่ใช่ท่านไม่มีความรู้ ที่มาฟังนี้ดอกเตอร์เกือบทั้งนั้น เรียนจบหลักสูตรมาทั้งนั้น อายุอานามก็มากหลายแต่ท่านอย่ามากแต่อายุเลย ขอให้มากด้วยความดีที่สะสม อบรมไว้มานาน ด้วยการทำงานด้วยความตั้งใจของท่าน

เดี๋ยวนี้ญาติโยมเดินทางผิดพลาดกันมาก เอาผีเอาเจ้ามาเป็นที่พึ่ง ถ้าท่านเดินทางผิดพลาด ท่านมีความประมาท ท่านจะแก้ตัวไม่ได้ ชีวิตของท่านจะไม่มีค่าเลย

อาตมาตรึกตรองตลอดเวลาทั้งลมหายใจออกไม่เข้าเราก็ต้องตาย ตายแล้วได้อะไรไปบ้าง คิดบ้างไหม ถ้าชีวิตมีค่า เวลาของท่านจะมีประโยชน์มาก

วันนี้ อาตมาดีใจที่ท่านอุตส่าห์เสียสละเวลา มาฟังธรรมะให้ได้คิด ได้มีสติปัญญาตามอัตภาพของท่าน ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนานะ ท่านมีความรู้แจ้งด้วยกันทุกคน แต่อาจขาดสติ ขาดความคิด มีความประมาท ถ้ามีความประมาทในชีวิตแล้วท่านจะได้อะไร

ถ้าท่านเป็นญาติกับพระศาสนาแล้ว ท่านจะหอมหวนทวนลม จิตใจเข้มแข็งอดทนจนชีวิตหาไม่ จึงจะมีประโยชน์แก่ท่านมิใช่น้อย หลักศาสนาที่ท่านจะยึดถือเป็นประโยชน์นะอยู่ตรงไหน ท่านจะยึดถืออะไร เดี๋ยวนี้ชาวพุทธแท้มี ๑๐ % อีก ๙๐ % เป็นพุทธ แบบฟอร์ม เพราะรู้ไม่จริง

ถ้าท่านรู้จริงนะ ท่านคิดได้ตามที่อาตมากล่าว เดี๋ยวนี้เสียดายเหลือเกิน คนรู้มากเยอะ รู้จริงๆ หายาก รู้มากหาง่าย

รู้จริงต้องลงมือทำ รู้จำต้องลงมือท่อง รู้แจ้งต้องลงมือคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ ริเริ่มดำเนินงานทันที มิรอรีแต่ประการใด หากท่านยังนิ่งดูดาย เป็นชาวพุทธซังกะตาย ไปหาผีเจ้าเข้าทรงกันเยอะ ไปไหว้ผีกันเป็นแถวหมด

แต่ไม่หมายความถึงผีปู่ย่าตายาย ซึ่งควรไหว้ เพื่อแสดงกตัญญูกตเวที

อาตมาแสดงความเศร้าสลดใจกับพุทธศาสนิกชน ไม่มีแก่นแท้เลย เปลือกก็ไม่มีด้วย ต้นไม้ต้องอาศัยเปลือกฉันใด เปลือกก็ต้องอาศัยแก่นฉันนั้น เปลือกของต้นไม้ที่เปรียบเสมือนศาสนพิธี ก็ยังไม่ค่อยรู้กัน อาราธนาศีลก็ไม่เป็น

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ อาตมาผ่านงานมา ๑๖ งาน หาคนอาราธนาศีล ไม่ได้แม้แต่คนเดียว เลยต้องไปบอกนักเรียนให้มาอาราธนาแทน เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่เขาเก่ง เขาอบรมพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เช่นในวัดปทุมวนาราม เป็นต้น

ท่านเจ้าคุณภาวนาพิศาลเถระ สอนมานานแล้ว ลูกศิษย์เป็นดอกเตอร์มากมาย แต่คนอยู่กรุงเทพฯ ไม่รู้จัก วัดปทุมวนาราม มัวแต่ไปถือผีเจ้าเข้าทรง ไม่รู้จักกันเพราะเดินกันคนละสาย เดินคนละทาง สวนกันไปสวนกันมา จึงไม่มีโอกาสซาบซึ้ง ไม่มีโอกาสที่จะทราบว่าของดีเขาอยู่ที่ไหนกัน

คนดีต้องการไปหาของดี คนชั่วจิตใจมัวซัวและต่ำช้า ชอบไปหาของชั่วด้วยกัน คบอันธพาลไม่พัก ออกมาในลักษณาการอย่างนี้ จะว่ากันไม่ได้หรอก

พระพุทธเจ้าไม่เคยว่าใคร ท่านให้แต่ของดี ไม่เคยรับกิเลสของใครมาไว้ในใจท่าน พระสงฆ์องค์เจ้าก็เช่นเดียวกัน ท่านคงไม่รับกิเลสของใคร แต่อาจจะรับไทยทานเป็นการส่วนกุศล เอาไปบำรุงพระพุทธศาสนาก็จะเป็นได้ ถ้าจะไปรับเรื่องของชาวบ้านมาให้หมดแล้ว ก็คงไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รับเรื่องปัญหาของคน ท่านสอนคนให้แก้ปัญหา และคนก็นำเอาปัญหามาให้พระ ไม่รู้จักจะช่วยตัวเอง คำสอนพระพุทธเจ้าแต่ละบทพระคาถา

สอนให้ช่วยตัวเองได้  สอนให้พึ่งตัวเองได้
สอนให้สอนตัวเองได้  ไม่ต้องไปพึ่งใคร

จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น ไม่ต้องการว่าไปเข้าวัดให้พระแก้ปัญหาให้ และก็เอาดอกไม้ธูปเทียน มาหาพระกราบแล้วกราบอีก นึกว่ามาขอธรรมะ มาขอให้ช่วย เริ่มต้นก็ขายที่ดินบ้าง ช่วยให้สามีดีหน่อย สามีไม่ดีต้องแก้ตรงไหน ภรรยาไม่ดีแก้ตรงไหน

สามีไม่ดีแก้ที่ภรรยา ภรรยาไม่ดีแก้ที่สามี ลูกไม่ดีแก้ที่พ่อแม่ พ่อแม่กินเหล้าเมายาสอนลูกให้เป็นโจร ต้องแก้ที่ลูก ให้ลูกสร้างแต่ความดี อย่าเชื่อฟังพ่อแม่ที่สอนลูกให้เป็นโจร ขอฝากท่านไว้

ไม่ใช่เข้าวัดไปหาพระช่วยนะ พระท่านช่วยไม่ได้ แต่ตถาคตเพียงชี้บอกหนทาง ให้เราเดินกันเท่านั้น ให้เราทำหน้าที่ให้ถูกต้องสำหรับมนุษย์ แต่ญาติโยมทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง และก็ปฏิบัติไม่ถูกทาง พระท่านจะช่วยโยมได้ไหม

ยกตัวอย่าง ขออภัยที่จะขออนุญาตกล่าว ถ้าท่านโยมดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นการพนันมีอบายมุข สนุกในสังคมแล้วก็ไปบนบานศาลกล่าวขอให้พระช่วย พระคงช่วยท่านไม่ได้อย่างแน่นอน ท่านอย่าโง่ต่อไป

โยมจะเป็นชาวพุทธซังกะตาย เป็นชาวพุทธแบบฟอร์ม ไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคือเครื่องรางของขลัง เป่าหัวให้ลูกหน่อยจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่แม่เช่าหนังมาให้ลูกดูทุกวัน พระช่วยไม่ได้ โยมตีความให้เข้าใจในข้อนี้ให้มากที่สุด

เราเป็นชาวพุทธ จิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนทองคำธรรมชาติที่หล่อเหลา ดีเด่น เห็นชัดและเห็นไกล ดีนอก ดีใน มะตูมแข็งนอก มะกอกแข็งใน อดทนนอก อดทนใน อดทนไว้ให้ได้ หลวงพ่อทน หลวงพ่อนิ่ง ไปไหนตาดู หูฟัง ปากนิ่ง ตีนรีบวิ่ง มือทำแต่ความดี รีบวิ่งหนีความชั่ว สร้างตัวให้ดีจึงจะถูกต้อง

ถ้าญาติโยมไม่กระทำดังที่กล่าวแล้ว รับรองผิดหวังต่อศาสนามาก เข้าใจว่า ศาสนาคือเครื่องรางของขลัง รดน้ำมนต์แล้วสอบได้ไม่จริงแน่ๆ

ญาติโยมมาทำบุญ ต้องละบาปให้ได้ ถ้าละบาปไม่ได้แล้ว โยมจะไม่ได้บุญ จะได้บาปออกจากวัดไปตามเดิม อาจจะเลวกว่าเก่า มาทำบุญแต่ไม่ได้บุญ เพราะโยมไม่ละบาป บาปเต็มกระเป๋าอยู่มาหลาย แล้วบุญจะมีทางเข้าไปได้อย่างไร ขอฝากไปคิดโดยทั่วหน้ากัน

ไม่ใช่เข้าวัดโน้นออกวัดนี้ ไปได้บุญวัดโน้น ไม่ใช่ทัวร์บุญ ต้องทัวร์ตัวเอง อ่านตัวออกมา บอกตัวให้ได้ ใช้ตัวให้เป็น จะเห็นตัวตาย จะคลายทิฏฐิ จะได้ดำริชอบ จะประกอบกุศล จะได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ อย่าตามใจตัวเอง ถ้าเราเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ดีแน่ๆ

ในวันหยุดควรจะเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่บางพวกก็ชอบทัวร์กัน ไปชมบารมีครูบาอาจารย์ แต่น่าจะคิดหันมุมกลับว่า ควรจะชมบารมีของตัวเองบ้าง

หลวงปู่แหวนพูดกับคนสิงห์บุรี เมื่อ ๑๘ ปีก่อน ในตอนนั้นหลวงปู่ท่านกำลังออกบิณฑบาต คนสิงห์บุรีไปรถทัวร์กัน ๕คันรถ หลวงปู่ท่านถามไปว่า
หลวงปู่ : “มาทำไมกันโยม มาทำไม”
โยมก็ตอบว่า : “มาชมบารมีหลวงปู่”
หลวงปู่ถามต่อว่า : “หลวงปู่เป็นยังไงเหรอ บารมีคืออะไร?”
ชาวสิงห์บุรีตอบท่านไม่ได้เลย หลวงปู่ก็บอกว่า : “โยม จะให้ธรรมะสักข้อ จะคิดได้หรือไม่ได้ไม่ว่ากัน หลวงปู่จะให้ธรรมะสักข้อหนึ่ง”

“ โยมไปชมเขาปลูกมะม่วงดก แล้วไปชมเขาปลูกทุเรียนดก ต่อไปก็ไปชมบ้านนั้นดีบ้านโน้นดีอย่างนั้นรึ แล้วโยมเคยปลูกมะม่วงของโยมสักต้นหนึ่งไหม เคยปลูกทุเรียนไหม คิดได้ไหมนี่”

พวกสิงห์บุรีบอกคิดไม่ได้ หาว่าหลวงปู่ด่า บารมีก็ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร

บารมีชั้นประถมอนุบาล แปลว่า ความเพียร วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ต้องมีความเพียร อุตสาหะพยายาม ต้องขยัน อย่าขี้เกียจ คนขี้เกียจนี้ไร้คุณธรรม ไม่มีกิจกรรมในชีวิต

คนดีมีกิจกรรมในชีวิตต้องขยันหมั่นเพียร เรียนหนังสือ นี่คือบารมีชั้นอนุบาล

บารมีชั้นมัธยม แปลว่า ตั้งใจทำงาน อย่าทิ้งงานและหน้าที่ที่รับผิดชอบ จะทำงานอะไรก็ทำด้วยศรัทธา ทำด้วยความเคารพ ทำด้วยจิตสงบ และทำด้วยความถูกต้อง

. ทำด้วยศรัทธา หมายความว่า พอใจในการทำงาน มีความยินดีต่องานของเขา เรียกว่า วิชาเอกในการทำงาน
 . ทำด้วยความเคารพ ตีความ 3 ข้อ

. เคารพตัวเอง มีสัจจะ เมตตา สามัคคี มีวินัยหรือไม่ มีความจริงไหม พูดแล้วต้องทำ ถ้าพูดแล้วไม่ทำไม่เคารพตัวเอง คนที่ไม่มีธรรมะ ชอบผลัดเดี๋ยวเรื่อยเลย เคารพตัวเอง คือพูดแล้วต้องทำ
. เคารพสถานที่ เราไปสถานที่นี้น่าเคารพน่าบูชาไหม สถานที่นั้นมี สัปปายะ 4 เห็นแล้วมีระเบียบเพียบพร้อมด้วยวินัย การเคารพสถานที่ก็คือว่า ถ้าญาติโยมทำงานสำนักงาน เคารพสำนักงานนั้นต้องมีระบบ มีรมีระเบียบ เพียบด้วยวินัย ทำอะไรให้ถูกแบบถูกบท หมดจดเหมาะเจาะ
. เคารพกฎหมายบ้านเมือง อย่าฉ้อราษฎร์บังหลวง ต้องเคารพกฎหมาย ถ้าโยมอยู่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ต้องเคารพกฎหมายกรุงปารีสนะ ถ้าโยมไปสหรัฐอเมริกา รัฐใดก็ตามต้องเคารพกฎหมายของรัฐนั้น กฎหมายแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน เขามีขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างไรต้องเคารพด้วย ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องเมตตาต่อผู้น้อย

. ทำด้วยจิตสงบ ทำงานทุกอย่าง ถ้าทำด้วยจิตสงบ อย่าวุ่นวาย จะเป็นหัวหน้าสำนักงานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหัวหน้าจิตไม่สงบแล้ว จะทำให้ลูกน้องวุ่นวายไปด้วย เพราะหัวหน้าจิตไม่สงบ

. ทำด้วยความถูกต้อง การทำงานทุกอย่างด้วยจิตใจสงบแล้ว ผลที่ตามมาคือความถูกต้อง ซึ่งจะพิสูจน์ได้ด้วยกรรมฐาน เดี๋ยวนี้มีแต่ถูกใจ ถ้าถูกใจแล้ว เป็นคนดีหมด เอาแต่กิเลสทั้งนั้น

ถ้า ญาติโยม เป็นผู้หลักผู้ใหญ่และทำงานไม่ถูกต้องแล้วนั้น บารมีจะไม่เกิดอีกเลย ท่านจะเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้ อย่าไปตีโพยตีพาย ไปคิดถึงวาสนาว่ากรรมทำงานแทบตายไม่ได้สองขั้น

ก็ท่านทำด้วยความไม่เสมอต้นเสมอปลาย ทำด้วยความไม่ถูกต้อง ใครเขาจะให้ ขี้เกียจทำงาน เลี่ยงงานเก่ง คนประเภทนี้ขยันนอกหน้าที่การงาน การงานของตนไม่ขยัน แต่ไปเอางานของคนอื่นมาทำ

เหมือนกับพระไม่ทำหน้าที่พระ ไปเอาหน้าที่ของฆราวาสมาทำ ฝ่ายฆราวาสก็เอางานของพระไปทำ เหมือนอย่างวัดหนึ่ง สมภารก็ดี แต่ชาวบ้านเป็นสมภารเสียเอง มันก้าวก่ายงานกันใช่ไหม มันไม่ถูกตามกำหนดกฎเกณฑ์วิธีการดังกล่าวมาแล้ว นี่แหละทำงานจึงไม่ได้ผล แล้วจะไปน้อยเนื้อต่ำใจทำไม

บางคนไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไร ก็น่าจะคิดถึงตัวเอง ว่าเกิดมาสร้างความดีใช้หนี้เขาไปซิ เรามีกรรมด้วยกันทุกคน ต้องอยู่สร้างความดี ใช้หนี้เขาให้หมดไป ไปสร้างเวรสร้างกรรมมาแล้ว อย่าปฏิเสธทุกข้อหานะ นี่แหละบารมีชั้นมัธยมสำหรับทำงาน ทำงานด้วยความถูกต้อง

การบำเพ็ญประโยชน์ของตนนั้น คือ บารมีจะทำอะไรก็ทำด้วยความตั้งใจจริง และอย่าทำด้วยอำนาจกิเลส คือ โลภะ โทสะ และโมหะไว้ในใจ งานของโยมจะบริสุทธิ์ ไม่วุ่นวายในการทำงาน งานทุกอย่างที่ทำต้องเป็นงานไม่มีโทษ ทำแล้วไม่มีใครเดือดร้อนแต่ประการใด

ญาติโยมพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ถ้าโยมเป็นพ่อค้าแม่ค้าเป็นนักธุรกิจ ในการงานและหน้าที่ต้องคิดขาดทุนทุกประตู อย่าไปคิดเอาแต่รายได้ ถ้าเกิดขาดทุนขึ้นมาท่านจะแก้ไขไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนให้เตรียมแก้ไว้ก่อน

พี่น้องที่รัก เราค้าขายด้วยกันทุกคนคือ ค้าขายชีวิต ได้กำไรชีวิตกันบ้างหรือเปล่า รู้วิธีที่ขาดทุนหรือไม่ ถ้าท่านเตรียมแก้ไขปัญหาที่จะขาดทุนได้แล้ว ท่านจะได้กำไรงาม

ยกตัวอย่าง แม่ทัพทหารของสมเด็จพระนเรศวร รู้แต่ชนะพม่า รบกันครั้งใด ชนะทุกที พระนเรศวรท่านบอกว่า

“ท่านเสือเฒ่า ท่านมีพระคุณแก่พระราชบิดาของข้าพเจ้า ท่านอายุ 70 กว่าปีแล้วนะ จะไปแพ้พม่านะ” ท่านแม่ทัพตอบว่า “ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้า ขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน”

พระนเรศวรท่านยังหนุ่มอยู่ ท่านไม่ไว้วางใจเสือเฒ่า คิดอะไรก็คิดแต่ชนะพม่า เพราะชนะมา ๒๘ครั้งแล้ว ก็ยังเห่อเหิมและประมาท คือคนแก่เสือเฒ่าไม่ใช่คนแก่เสือเก่า อายุตั้ง 70 กว่าแล้วจะไปรบกับหนุ่มๆ ได้ไหม

พระนเรศวร ท่านก็บอกว่า “ท่านเป็นแม่ทัพยกไปเลย ไปโจมตีพม่า เราจะเชื่อท่านสักคราว”

พระนเรศวรยึดหลักพระศาสนา เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พระนครศรีอยุธยา ที่อาตมาได้ตำราสวดมนต์เพื่อถวายพระพรชัยมงคล พระนเรศวรจึงไม่เคยแพ้ทัพ

พอยกออกไปแล้ว สมเด็จพระนเรศวรยกตาม ท่านยังหนุ่มกว่า เสือเฒ่าเข้าไปโจมตีพม่า พม่าแพ้ถอยหลังไป ถอยหลังไป ถอยหลังไป ไม่รู้กลศึกของพม่า พม่าถอยหลังแล้วล้อมหลังเลยจับแม่ทัพไทยได้ ประมาทใช่ไหมนี่

พระนเรศวรยกทัพติดตามไปก็ฆ่าแม่ทัพพม่าตาย จึงเอาเสือเฒ่าออกมาได้ พระนเรศวรจึงบอกว่า

“นี่แน่ะท่านแม่ทัพ ท่านเป็นเสือเฒ่า ยอมถวายชีวิต ข้าพเจ้าจะต้องประหารชีวิตเจ้า แต่ข้าพเจ้านึกถึงคุณพระราชบิดาของข้าพเจ้า ท่านมีบุญคุณต่อพระราชบิดาของข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าจึงไว้ชีวิตท่าน มิฉะนั้น จะประหารชีวิตเสียเลย ท่านเสือเฒ่าจำไว้ อย่าประมาทนะ คิดแพ้ซิถึงจะป้องกันว่า พม่ามาคราวนี้ จะแพ้ตรงไหนบ้างจะได้แก้ไข จะได้ชัยชนะ”

นี่เปรียบเทียบธรรมะให้ท่านฟัง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย พม่ารู้แล้วเสือเฒ่าเป็นแม่ทัพมา รบเก่ง พม่าแกล้งทำถอยหลังก็เกิดฮึกเหิม เกิดประมาท แล้วก็วิ่งเข้าไปในกองทัพพม่าเลย จะไปฆ่าแม่ทัพ แม่ทัพพม่าก็ถอยหลังไป พม่าทางหลังก็ล้อมหลังเลย โจมตีจับได้ ประมาทนะนี่

ปัญหาข้อบารมีนี้ต้องคิดเสียไว้ก่อน การไปวัดเสียเวลาไหม เสียเวลาเพื่อได้บุญ ได้ฟังธรรมะ เสียเพื่อได้ อย่าไปเอาแต่ได้ ถ้าเอาแต่ได้ ก็จะมีมักง่าย มักได้ ไม่มีมรรค ๘

มรรค 8 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อเหลือ ๒ ได้แก่ สติสัมปชัญญะ ผนวกเหลือ ๑ คือยอดเจดีย์ทอง เรียกว่า ความไม่ประมาท แก่นแท้หลักศาสนาอยู่ตรงนี้

คนที่ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา คนที่ขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ มีแต่ความประมาทแล้วนั้น จะกลายเป็นคนมักง่าย มักได้ เอาแต่ได้ เสียไม่เอาด้วย เกิดโลภ โกรธ หลงในตัวเองมาก เห็นแก่ตัวมาก นิสัยดีไม่ได้ตรงนี้เอง

บารมีชั้นมหาวิทยาลัย มี ๒ ข้อ บารมีชั้นนี้ได้ธรรมหมดแล้ว วิปัสสนาเต็มแล้ว จิตใจอดทนแล้ว มีขันติ คือ ความอดทน อดกลั้น อดออม ประนีประนอมยอมความแล้ว

. ไม่กลัว ข้าพเจ้าจะไม่กลัวใครทั้งหมด จะสร้างแต่ความดี ไม่ต้องกลัวใครมาว่านินทา
. กล้าทำความดี ข้าพเจ้าจะอาจหาญในธรรม สัมมาปฏิบัติในหน้าที่ ไม่ต้องกลัวใครนินทา

ถ้าโยมนั่งเจริญกรรมฐานได้ โยมจะมีบารมีชั้นสูง2 ข้อนี้ เข้าที่ไหน อาจหาญในธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ จะไม่เกรงกลัวใคร ไม่กลัวที่จะสร้างความดี ไม่เกรงใจใครเขาว่าให้เข้าถูกระเบียบ บารมีสูงนี่ต้องเข้าวัดให้มันถูกวัด
วัดที่ ๑ วัตถุธรรม มีธรรมะ วัตถุสะอาด
วัดที่ ๒ วัดอารมณ์ อารมณ์ดีหรือไม่ดี ตั้งสติไว้ทุกลมหายใจเข้าออก
วัดที่ ๓ วัดจิตใจ วัดนอกวัดใน เอาตาชั่งเข้ามาดู เอาตาชูขึ้นมาชั่ง วัดแล้ววัดเล่าเฝ้าแต่วัด อาจหาญเข้าไปเลย ไม่ต้องกลัวใครว่า นี่เป็นบารมีชั้นสูง ปริญญาเอก

บารมีของเรามีสำหรับพ่อแม่ มีลูกอย่าให้อยู่ว่าง อย่าให้ห่างผู้ใหญ่ ลูกจะหลงทางได้ง่าย นี่เป็นบารมีขั้นกรรมฐาน

ถ้าโยมนั่งกรรมฐานได้แล้ว มันจะมีหลักออกมารู้วาระจิต รู้ระเบียบวินัย ทำอะไรถูกแบบถูกบท พูดเข้าใจง่าย และก็ว่านอนสอนง่าย

คนที่ไร้กรรมฐานขาดศีล สมาธิ ปัญญา ว่านอนสอนยาก รู้มาก ไม่รู้จริง คนเชื่อง่ายสอนยาก คนเชื่อยากสอนง่าย

ที่วัดนี้เขามีวัตถุสอน เข้าไปแล้วรู้สึกเย็นสบาย สัปปายะ ๔ มีครบ

. อาวาสสัปปายะ วัดนั้นจะเป็นอาราม เข้าไปแล้วมันชื่นใจ มีต้นไม้เขียวชอุ่ม มีนกการ้อง เงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ มองดูเป็นระเบียบเรียบร้อย นี่เห็นชัดแล้ว
 . อาหารสัปปายะ วัดนั้นมีโรงครัว มีอาหารเลี้ยง เมื่อสักครู่ ได้ยิน หลวงพ่อ มหาถาวร บอกเชิญรับประทานอาหาร ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ต้องการรับ ก็ไม่เป็นไร ที่วัดนี้เลี้ยงฟรีเหมือนวัดอัมพวัน
. ปุคคลสัปปายะ มีเจ้าหน้าที่ที่มีระเบียบหมด มีระบบระเบียบ นั่นแหละสอนเราละ สอนให้มีระบบ นี่คือ ศีล ไม่ต้องไปรับกับพระหรอก ที่รับเมื่อสักครู่นี้คือศาสนพิธี ก่อนจะฟังธรรมก็ต้องรับศีล เป็นระเบียบของศาสนพิธี 4. .ธัมมสัปปายะ สถานที่นั้นมีธรรมะให้ ใครอยากฟังธรรมะ ขอเชิญที่ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ได้ทุกเวลา หลวงพ่อมหาถาวร บอกกับอาตมาว่า วันอาทิตย์ไม่จำเป็นไม่ออกจากวัด ท่านบอกว่าจำเป็นเฉพาะครูบาอาจารย์ หรือกิจการคณะสงฆ์ ร้อยละ 80 อยู่ที่วัด ก็ตรงกับอาตมาเลย อาตมาวันพระอยู่วัด นอกจากเรียก ประชุมกิจการคณะสงฆ์ ใครสนใจธรรมะ เชิญไปได้ทุกเวลา

กรรมฐาน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เอง

ศีล แปลว่า ปกติ ไม่ต้องไปรับกับพระวัดไหนเลย ปกติเอามาจากไหน ได้จากมีสติระลึกก่อน ระลึกถึงงาน ทำอะไรก็มีสติ

หายใจเข้าก็มีสติ หายใจออกก็มีสติ จะพูดจาพาทีอะไรก็มีสติเข้าไว้ก่อน และรู้ตัวขณะที่พูดนั้นว่าพูดดีหรือพูดไม่ดี พูดเสียดสีเขาหรือเปล่า พูดร้ายกับใคร พูดแล้วเป็นพิษเป็นภัยกับใครหรือไม่ นี่คือศีล

ไม่ต้องไป ปาณา…ถึงสุรา…หรอก อันนั้นเป็นองค์ศีล แต่ศีลที่ถูกต้องเรามีมาแล้วทุกคน ถ้าท่านไม่มีศีลมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์เกิดขึ้น 1 คน สัตว์เดรัจฉานเกิดขึ้นล้านตัว พระไตรปิฎกบอกไว้ชัด ขอฝากญาติโยม ให้ตั้งสติสัมปชัญญะเจริญพระกรรมฐาน

สมาธิ แปลว่าอะไร มันเชื่อมโยงมาจากศีล ถ้าคนไหนทำงานด้วยสติ นั่นแหละมีสมาธิล่ะ ถ้าทำงานจับอะไรไม่มีสติเลย สมาธิไม่มีหรอก ปัญญาก็ไม่เกิดด้วย นี่ตีความให้โยมเข้าใจ

ถ้าทำงานจับอะไรมีสติ ระลึกไว้ก่อน ว่าทำอะไร เป็นอย่างนี้ มีสัมปชัญญะ รู้ตัวขณะทำถูกผิดประการใด จะเชื่อมโยงไปหาตัวปัญญา

ปัญญา จะบอกว่ารอบรู้ในกองการสังขาร จะได้ อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น และเราจะทำงานด้วยความไม่ประมาท คือมีสมาธิ เราจะมีประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีที่สุด

ท่านจะทำกรรมฐานอย่างที่สอนกัน อยู่ที่นี่ก็จะตรงกัน กรรมฐานเหมือนกันหมด กรรม คือการกระทำ ฐานเกาะอยู่ที่งานและหน้าที่ ถ้าทำกรรมฐานติดต่อกันไปจะได้รับคติดังนี้

มี วินัยในตัวเอง ๓ ประการ
๑. รู้จักระวังตัว ๒. รู้จักควบคุมตัวได้ ๓. รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่

มีกิจนิสัย ๔ ประการ
๑. ขยัน ไม่จับจด รักงาน สู้งาน
๒. ประหยัด รู้จักใช้ชีวิตและทรัพย์สินที่ถูกต้อง คุ้มค่า
๓. พัฒนา รู้จักพัฒนาตนเองและอาชีพให้ดีขึ้น
๔. สามัคคี รักครอบครัว รักหมู่คณะ และรักประเทศชาติ

มี ลักษณะนิสัย ๔ ประการ
๑. มีสัมมาคารวะ ๒. อุตสาหะพยายาม
๓.ปฏิบัติตามระเบียบวินัย ๔. รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่

มี ความรู้คู่กับคุณธรรม พัฒนาคุณภาพชีวิต ๔ ประการ
๑. รู้จักคิด ๒. รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับเขาได้
๓. รู้จักแก้ไขปัญหาให้กับตัวเอง ๔. มีทักษะในการทำงาน มีค่านิยมที่ดีงาม เอาใจใส่หน้าที่การงาน ของตน

มีประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพ ๓ ประการ
๑. มีความเข้มแข็ง อดทน หนักแน่น มั่นคง ทั้งกาย ทั้งใจ
๒. มีสุขภาพจิตดี
๓. ทำให้สุขภาพร่างกายดี รักษาโรคบางอย่างได้ เช่น โรคคิดมาก โรคนอนไม่หลับ โรคหวาดระแวง โรคความดันโลหิตสูงต่ำ และโรคหัวใจจะไม่เป็น ถ้าท่านเจริญกรรมฐานดังกล่าวแล้วทุกประการ

กรรมฐาน ทำให้ชีวิตดีมาก งานชีวิต ฝึกตนไว้ดีได้งานได้การ ไม่ประมาท ฉลาดในงาน และทำให้ท่านมีปัญญา ปัญญาตัวนี้ไม่ใช่ปัญญาโลกีย์นะ ปัญญาโลกุตตระต้องการแก้ปัญหา

ปัญญา คือมีวิชา ตัวเรานั้นต้องฉลาด มีวิชาความรู้ ใครๆ ต้องการบุคคลผู้มีคุณธรรม จะมีคุณภาพชีวิตดี มีความก้าวหน้าในชีวิตอย่างเป็นระเบียบไม่เสื่อมคลาย เพราะชีวิตมีวินัย มีศีล ปกครองตน ให้ระวังสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเรามากที่สุด อย่าติด อย่ายึด อย่ามัวเมา หยุดได้ อย่ายึดติดในโลกธรรมให้หวั่นไหวแต่ประการใด

ขอฝากญาติโยมไว้ที่นี้ ท่านเจริญกรรมฐานได้ ท่านมีศีล สมาธิ ปัญญา มันก็จะได้ความว่า

ทำให้คนฉลาด รู้จักหลักความจริงในชีวิต ให้รู้จักชีวิตประจำวัน
ทำคนให้รู้จักปรมัตถธรรม ไม่หลงติดอยู่ในบัญญัติธรรม
ทำคนให้มีศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีงาม
ทำคนให้รักใคร่กัน สนิทสนมกลมกลืนกันเหมือนญาติในพระศาสนา
ทำคนให้มีความเมตตากรุณา และพลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี
ทำคนให้เป็นคนดีกว่าคน ให้เด่นกว่าคน ให้เป็นพระ
ทำคนไม่ให้เบียดเบียนกัน เว้นจากการเอารัดเอาเปรียบกัน
ทำคนให้รู้จักตนเอง และรู้จักปกครองตนเอง
ทำคนให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่มีมานะถือตัว จะหันหน้าเข้าหากัน ลดทิฏฐิมานะเข้าหากัน รักกัน เมตตากัน
ทำคนให้เป็นผู้หนักแน่นในกตัญญูกตเวทิตาธรรม
ทำให้คนมีกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์
ทำคนให้ได้รับความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพร
ทำคนให้พ้นจากความเศร้าโศก ปริเวทนาการ
ทำคนให้ดับความทุกข์ร้อนทางกาย ทางใจ
ทำคนให้เดินทางถูกต้องทุกประการ

ขอสรุปใจความว่า เจริญกรรมฐาน ให้มีศีล มีสติ ติดตัวเองตลอด เกิดสมาธิ มีสัมปชัญญะ ทำให้เกิดความรู้ตัว รู้ทั่ว ทำงานที่ไม่มีโทษ และมีประโยชน์ต่อไป ก็จะได้รับผลสมความมุ่งมาด ปรารถนาทุกประการ อาตมาภาพขออนุโมทนา

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย บุญกุศลทั้งหลายดลบันดาลประสาทพรให้ญาติโยมพุทธบริษัททุกๆ ท่าน จงประสบแต่ความสุขสันต์นิรันดร จงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย 4 ประการ มีอายุขอให้ยืนนาน วัณโณผิวพรรณผ่องใส สุขัง ขอให้สุขภาพกายอนามัยทุกท่านโปรดได้ใจดี โรคภัยไข้เจ็บมีก็โปรดหาย สิ่งทั้งหลายที่คิดไว้ ณ บัดนี้ และจะคิดต่อไปโอกาสหน้า จงพรรณนาให้เกิดความสำเร็จเผด็จผลสมเจตน์จำนงความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกๆ ท่าน ณ โอกาสบัดนี้ เทอญ

ต่อนี้ไปถวายพระราชกุศล ว่าตามอาตมานะ

กุศลทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้มาบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา และกุศลอื่น ๆ ทั้งปวง ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำแล้ว อันเกิดจากทานก็ดี เกิดจากศีลก็ดี เกิดจากภาวนาก็ดี เกิดจากกิจที่เป็นประโยชน์ทั้งหลายก็ดี ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชวโรกาสน้อมจิตอธิษฐานพร้อมถวายเป็นพระราชกุศล ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ขอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญรุ่งเรือง ด้วยพระพรชัยมงคลทุกประการ เสด็จสถิตดำรงมั่นในพระสิริราชสมบัติ พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชโอรส พระราชธิดา พระราชวงศ์ ทรงเป็นองค์พระประมุขนำประเทศชาติ รัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน สมณบรรพชิต ให้เจริญด้วยจตุรพิธพร ปฏิบัติธรรมตามตำแหน่งและฐานะ มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดจิรกาล

ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเว้นเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ประพฤติเกื้อกูลกัน อยู่เย็นเป็นสุขสวัสดี โดยทั่วกันเทอญ