กรรมฐานเบื้องต้น

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๓ เมษายน ๓๗

เจริญพร ท่านสาธุชนทุก ๆ ท่าน วันนี้เป็นวันธรรมสวนะ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา เป็นวันที่โยมมาฟังธรรมะ มาฟังเทศน์ มาแสวงหาพระ จึงต้องพร้อมเพรียงกันหยุดกิจกรรมอื่น ๆ ใครจะมาอยู่กรรมฐานที่ไหน ต้องลงมาฟังทั้งหมด

ถึงจะทราบว่าใครมาบ้างเท่าไร จะได้แผ่เมตตาให้ จะสอบอารมณ์ให้ มาดูหน้าดูตากันก่อนว่าทำได้แค่ไหน ถึงจะรู้เรื่องกัน มาอยู่วัดเดียวกันไม่รู้เรื่องกันได้อย่างไร อย่างนี้ถือมากในกรณีพิเศษด้วย

อาตมา มาอยู่วัดนี้ ๓๗ ปีแล้ว ทำอย่างนี้ตลอดมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ลงมาฟังเทศน์ ฟังธรรม กิจกรรมอื่นงดไปก่อน วันหลังจากวันพระแล้วถึงจะเคร่งครัดในการทำกรรมฐาน ในวันพระให้หยุดมาฟังเรื่องกรรมฐาน สงสัยในการทำกรรมฐานจะได้ถาม จะให้ไปสอบอารมณ์ตามห้องก็ยากอยู่ ต้องมาขึ้นกรรมฐาน มาตั้งสัจจะใหม่ถึงจะได้ผล จะได้รู้ว่าองค์นี้มาจากไหน คนนี้มาจากไหน อยู่ที่ไหนอย่างไร จะได้รู้จะได้เข้าใจ

วันนี้เป็นวันฟังธรรมบรรยาย จะพูดถึงเรื่องข้อต้น ๆ ที่โยมมาใหม่ยังสงสัยทำไม่ได้ มาหลายเที่ยวแล้วก็ยังทำไม่ได้ เพราะว่าทำไม่จริงทำไม่ได้ประโยชน์ เก็บอารมณ์ไม่ได้ระงับใจไว้ไม่ได้ ตั้งสติไว้ไม่ได้มันจึงไม่ได้ผล ไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด โปรดตั้งใจฟังธรรมบรรยายเกี่ยวกับ กรรมฐานเบื้องต้น ที่ท่านสนใจฟังสืบต่อไป ณ โอกาสบัดนี้ ขอเจริญพรทุก ๆ ท่าน

เรามาเจริญธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ ต้องอดทนนะ เมื่อก่อนนี้อาตมาไม่เข้าใจเลย ไปฝึกธรรมกายของหลวงพ่อสด ๖ เดือนไม่ได้อารมณ์เลย ไปได้ตอนเวลาเกิดเวทนา พอผ่านเวทนาได้ ก็ได้แสงธรรมกายทันที อ๋อ! ได้เพราะอดทน เพราะฝืนใจ จึงได้ตัวธรรมะ

เมื่อสมัยก่อนราว พ.ศ. ๒๔๙๔ อาตมาไปอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญมา ๖ เดือนเต็ม ไม่ได้อะไรเลย ไปได้บนรถเมล์ ยืนขาสั่นปั่บ ๆๆ ยืนเจริญกุศลภาวนา บำเพ็ญจิตภาวนาบนรถเมล์ เลยได้ตอนเวทนานั่นเอง

อีกประการหนึ่ง รู้กฎแห่งกรรมจากตัวเวทนา ไม่อย่างนั้นทำอีกหมื่นปีก็ไม่รู้ว่ากฎแห่งกรรมได้อะไร จะไม่ได้อะไรเลยเพราะทำไม่ถูกต้อง นั่งคืนยันรุ่งไม่เดินไม่นอน รับรองอีกร้อยปีก็ไม่ได้อะไรนะ คิดว่ามันต้องดีแน่ ดีได้ที่ไหน ไม่ได้อะไรเลย ต้องมัชฌิมาปฏิปทาปานกลาง ขอฝากไว้ อย่าให้ตึงเกินไปมันจะขาด อย่าให้หย่อนเกินไปมันจะเนิบนาบ

คำว่า มัชฌิมาปฏิปทาปานกลาง คือ มรรค ๘ ทำความเข้าใจอย่างนี้ จะเหมาะสม ถ้าโยมไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดวินัย แต่ทำตัวไม่เหมาะสม จะเสียหายร้ายแรง แต่กฎหมายทำโทษไม่ได้ วินัยทำโทษไม่ได้ก็จริง แต่ตัวเองไม่เหมาะสม เข้ากับใครเข้าไม่ได้ ตรงนี้เสียหายมาก และทำอะไรไม่สำเร็จแน่นอน คิดว่าตัวดี ก็ไม่ใช่เลยนะ

บางคนทำไม่ได้ต้องสอนกัน สอนก็ไม่ดีอีก อย่างนี้เป็นต้น จะหย่อนเกินไปหรือก็ไม่ใช่ จะตึงเกินไปหรือก็ไม่ใช่ เพราะไม่รู้เรื่องจึงทำไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำไปโดยไม่เข้าใจ ไม่รู้จักวาระจิต ไม่รู้จักวาระกฎแห่งกรรมของเขา ว่าควรจะแก้ตรงไหน ควรจะเสริมตรงไหน ควรจะผ่อนคลายตรงไหน มันมีมากเหลือเกิน ไม่ใช่อย่างเดียว มันต้องเชี่ยวชาญต้องชำนาญด้วย ต้องค่อยเป็นค่อยไปตามหลักสูตร ตามภาคปฏิบัติของเขา

จะรู้กฎแห่งกรรมได้ต้องผ่านเวทนา ยกตัวอย่างอาตมายืนขาสั่นปั่บ ๆๆ บนรถเมล์ ๒-๓ ชั่วโมง บนสะพานพุทธฯ ดีใจเพราะว่าไปได้ของจริงบนรถเมล์ คือต้องอดทนรู้เวทนา บางคนนั่งนิดเดียวเลิกแล้ว มันไม่ได้อะไรเลย คิดว่าอดทนไม่ได้เลยนะ เลยมานั่งหลายครั้งหลายคราว มันก็แค่นั้นแหละ กลับมาหนักกว่าเก่าเสียอีก เพิ่มทิฏฐิมานะอีก ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงภาวะได้ มีทิฏฐิเพิ่มขึ้น เลยไปตำหนิ เรื่องกรรมฐานเพิ่มขึ้น ทำไม่ได้อะไรเลย

กำหนดพองหนอ ยุบหนอ เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นพุทโธ เดี๋ยวว่าสัมมาอรหัง เดี๋ยวว่าอย่างโน้นบ้าง ผสมอย่างนี้บ้างรับรองโยมทำอีกหมื่นปีก็ไม่ได้ผล ทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้มันได้หน่อยเถอะ ทำก็ไม่ได้เลยเอามาผสมกันยุ่งไป เรียกว่าแกงป่าไปเลยนะ ไม่มีหลักเกณฑ์ไม่มีกฎเกณฑ์วิธีการ

การเจริญกรรมฐานต้องการเข้าถึงพระพุทธเจ้า ต้องการเข้าถึงพระธรรม ต้องการถึงพระสงฆ์องค์พระสาวก ถ้าคนมาทำสังฆทานอย่างนี้แล้วกลับไป แล้วมาถวายสังฆทานอีก มันไม่ถึงพระรัตนตรัย เข้าไม่ถึงพระพุทธศาสนาเลย เพียงแต่นับถือตามตำรับตำราเขาว่ากันมา รู้แต่วิชาการหลักศาสนาเท่านั้น แต่จิตใจไม่ถึงพระพุทธเจ้า

การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญกุศลภาวนาและปฏิบัติกรรมฐานนี้ ต้องการให้จิตเข้าถึงพระพุทธเจ้า ต้องการจะถึงพระธรรมที่เราปฏิบัติธรรมอยู่นั้น มีธรรมประจำจิตประจำใจ นั่นแหละถึงพระธรรม การปฏิบัติกรรมฐานต้องมีระบบมีแบบแผน ทำอะไรก็มีแปลนและขยันหมั่นเพียร คือ พระรัตนตรัยอันพึงประสงค์ ผู้ปฏิบัติดีแล้วปฏิบัติชอบแล้ว เป็นสุปฏิปันโน สอนคนอื่นได้อย่างดี พฤติกรรมแสดงออกให้คนอื่นเขาเห็นได้ชัดเจน เขาจะเห็นว่ารูปร่างสวย จิตใจก็ดีมีเมตตา จิตใจปรารถนาดี มีแต่การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้ออารีย์ต่อกัน นั่นคือพระรัตนตรัย

คนที่มาบอกว่านั่งกรรมฐานได้อาตมาไม่เชื่อหรอก ขี้เกียจไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเอาเหนือเอาใต้ ใช้ไม่ได้ไม่ใช่นักกรรมฐาน ปฏิบัติไม่ถึงพระรัตนตรัย ไม่ถึงพระพุทธศาสนา จะเป็นพระสงฆ์องค์เณรองค์ชีที่ไหนก็ตาม ถ้าเข้าถึงพระศาสนาด้วยกรรมฐาน จะขยันไม่พัก จะรับผิดชอบมากขึ้น คนที่เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้วจะมีลักษณะดังนี้

๑. อยากจะศึกษาหาความรู้ต่อไป
๒. ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นดันให้ถึงที่ ทำความดีให้ถึงขั้นปฏิบัติโดยต่อเนื่อง มีอารมณ์กรรมฐานตลอดรายการ ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ คือพองหนอ ยุบหนออยู่ แล้วก็มีสติติดตามไปเท่านั้น
๓. ต้องมีปฏิสังขรณ์ มีอะไรหลุดตรงไหนในบ้าน หรือที่ส่วนรวม ต้องปฏิสังขรณ์ปรับปรุง น็อตหลุดก็ต้องซ่อม นี่คือคนมีคุณธรรม
คนที่ไม่มีคุณธรรม จะมักง่ายมักได้ อยู่บ้านหน้าต่างหลุดแล้ว กลอนหลุดแล้วยังอยู่ได้ ฝนรั่วตรงนี้ก็เลื่อนไปตรงโน้น รั่วตรงโน้นก็เลื่อนไปที่อื่นต่อไป ถ้ารั่วหมดบ้านทิ้งบ้านไปเลยไม่ต้องอยู่ จะอยู่โบสถ์หรือศาลารั่วก็ช่างมันประไรเล่า ข้าไม่ต้องซ่อม… คนประเภทนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน ไม่มีธรรม ไม่มีกรรมฐาน

ถ้าคนมีคุณธรรม อยากจะปฏิสังขรณ์ อยากจะซ่อม อยากจะทำให้สวยงาม อยากจะทำให้เรียบร้อย ดูตรงนี้ซิถึงจะถูก ไม่ใช่องค์นี้สำเร็จ องค์นั้นเป็นอาจารย์ ไม่เห็นทำตามข้อนี้ รับรองไม่ใช่แน่ ได้แต่ตำราแต่ทำไม่ได้ไม่ถึงคุณธรรม

๔. มีการปฏิสันถาร มีการต้อนรับขับสู้ดีพองาม มันจะมีเกิดตามสันดานของบุคคลที่นั่งกรรมฐาน
๕. มีปฏิภาณไหวพริบ กรรมฐานทำให้คนมีไหวพริบดี คล่องตัวดี ไปไหนคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็วทันใจ ถูกต้องเป็นธรรม ใจซื่อมือสะอาด ทำอะไรเฉียบขาดเป็นธรรม แก้ปัญหาชีวิตในครอบครัวได้ แถมจะแก้ปัญหาชีวิตนอกประเด็นนั้นได้ ถึงจะเรียกว่า กรรมฐานเบื้องต้น แต่ไม่มีสำเร็จนะได้กรรมฐานไว้ในใจ ต้องปฏิบัติตลอดไป อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าคนขี้เกียจนั่งหลับตาไม่เอาไหน ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า นั่งคืนยันรุ่งไม่ได้อะไรเลย นั่งหลับตาไปสวรรค์ไปนิพพาน มนุษย์สมบัติก็ไม่มี บ้านก็รั่ว บ้านจะพังแล้ว ไม่ได้ดูบ้านเลย สังขารก็ไม่ดี สุขภาพก็ไม่ดี เป็นโรคมะเร็งแล้ว จะไปนั่งอีกหรือ ต้องปฏิสังขรณ์ปฏิสันถารคือกรรมฐาน ตั้งสติไว้แล้วโรคมันก็หาย เพราะตัวเรานี้เป็นรังเชื้อโรคให้อาศัย โรคอาศัยในตัวเรา ถ้าเรายังหนุ่มยังสาวยังมองไม่เห็น ถ้าหมดกำลังวังชาโรคจะแทรกซ้อน จะตายไวขึ้น นี่อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีใจเข้มแข็ง มีการกำหนดจิตสัมปชัญญะ โรคมันก็หนีไปได้ โรคกายก็หายโรคใจก็ไม่มี ท่านจะมีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญในชีวิตของเขาและครอบครัวอย่างดียิ่ง จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่สร้างปัญหาอีกต่อไปแล้ว

จะสังเกตพระก็ได้ ถ้าองค์ไหนมีคุณธรรม ท่านจะทำกิจวัตรไม่พัก จะไม่ขาดเลย การสวดมนต์ไหว้พระอนุโมทนาจะไม่ขาดเลย จะออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจนแล้ว โยมมาเจริญกรรมฐานเดินจงกรมได้ กำหนดจิตให้มีสติไว้ในการฝึก เดินให้ช้า ไปไหนก็เดินจงกรมไปด้วย อย่าให้เสียเวลา อย่าให้เวลาเป็นหมันเลย จะเดินไปไหนก็เดินอย่างเร็ว ๆ จะมานั่งฝึกก็เดินช้า เวลาเดินไปห้องน้ำก็เดินจงกรมไปด้วย ตั้งสติเก็บหน่วยกิตเข้าใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ รับรองหน่วยกิตก็จะเต็มที่ จะได้ความดีในเครื่องคอมพิวเตอร์ ความดีจะบันทึกที่จิตใจ ไว้เป็นตัวหนังสือ ในลมหายใจเข้าออกของโยม จะได้ประโยชน์มาก อย่างนี้ซิน่าทำมาก แต่แล้วโยมก็ไม่ทำ ไปเดินกรีดกรายกันจะเสียอารมณ์นะ อารมณ์มันเสียไปแล้วจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เหมือนตักน้ำใส่ตุ่มรั่ว เหนื่อยเปล่า… น้ำมันก็ไหลรั่วออกก้นตุ่มไป และน้ำก็จะไม่เหลืออยู่ แล้วทำอะไรจะไม่ได้ผล จะไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายยืนเดินนั่งนอน อิริยาบถเหลียวซ้ายแลขวา นั่นคือ รูป กาย แปลว่า รูป มันผันแปรกลับกลอกหลอกลวงได้โยกย้ายคลอนแคลนได้ ตั้งสติไว้ที่รูปนั้น รูปนั้นจะเป็นรูปอะไร รูปออกเดิน รูปคู้เหยียด เหยียดขา เราก็ตั้งสติไว้เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นผลงานให้เรามีสติรู้ในการเยื้องย่างโยกคลอนแปรปรวนเปลี่ยนแปลงภาวะ เรียกว่าตัว นาม ต้องกำหนดจิต มีทั้งรูปทั้งนาม

กายจะเดินหรือกายจะนั่งมีสติไหม ต้องมีสติผูกไว้ที่จิตกำหนดรู้ว่า คือ นาม แปรสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตให้มีปัญญาเกิดขึ้นแก่ตัวเอง ถึงจะเรียกว่ากรรมฐาน ไม่ใช่ว่านึกจะวิ่งก็วิ่ง นึกจะเดินก็เดิน ไม่มีการกำหนดจิต โยมทำอีกร้อยปีก็ไม่ได้ผล การกำหนดจิตนี้เอาไปใช้เป็นกิจวัตรประจำวันได้เลยทุกวัน

เพราะจิตต้องคิดอยู่แล้ว จิตต้องเคลื่อนย้ายสภาวะรูป ก็ต้องกำหนดจิต กายเคลื่อนย้ายจิตเป็นหัวหน้า จิตเป็นผู้นำ กายนั้นทำตามจิตสั่ง เพราะจิตไม่ดีขาดสติมันก็สั่งไม่ดี กายก็เคลื่อนย้ายไม่มีมารยาท ขาดผึงขาดปกติไป ไม่สวยไม่น่ารักแต่ประการใด

แล้วเราก็ยืนหนอ ๕ ครั้ง นี้คือ กายานุปัสสนา มีทั้งรูปทั้งนาม ยืน…หนอ… อะไรยืน รูปยืนกายยืนอยู่ สติมันจะบอกกับจิตว่า ยืนอย่างนี้ มโนภาพที่เรียกว่านาม ถ้าเรามีสัมปชัญญะร่วมด้วย ความรู้ที่สติกับจิตตามทันเมื่อใดเรียกว่า นามธรรม ถ้าไม่มีสติตามจิตได้จะเรียกว่า นาม เฉย ๆ เท่านั้น จะเรียกว่าธรรมะด้วยไม่ได้

ถ้าเรามีสัมปชัญญะควบคุมจิตไว้ได้ มันจะไม่ออกไปนอกขอบเขตนี้แล้ว เรียกว่า นามธรรม รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์อยู่ขณะที่ ยืน…หนอ… ๕ ครั้ง ตรงนี้ทำให้ได้ซิ บางคนอาตมาถามดูว่าทำไม่ได้เลยหรือ ไปเอาสวรรค์นิพพานอะไรกัน ตรงนี้ยังทำไม่ได้เลย…สติมันอยู่กับจิต ถ้าอยู่ไม่ได้ โยมจะแยกรูปนามไม่ได้…นามรูปปริจเฉทญาณไม่ได้ผล ไหนจะไปได้ญาณ ๑๖ เล่า ญาณเบื้องต้นก็ทำไม่ได้แล้ว แยกรูปแยกนามไม่ได้แน่

ถามว่ายืน…หนอ…อะไรยืน อะไรกำหนด รูปอยู่ตรงไหน นามอยู่ตรงไหน จะตอบกันไม่ถูกนะเพราะทำไม่ได้ ถ้าโยมทำได้จะตอบถูกเป็นเสียงเดียวกันหมด อ๋อ! นามคือจิต คิดอ่านอารมณ์รับรู้อารมณ์ไว้ได้นาน เหมือนเทปบันทึกเสียงคือจิต แต่ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีความรู้ตัว เรียกว่า จิต เป็นนามเฉย ๆ

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะรู้ตัว รู้ทั่ว รู้กิริยามารยาทของเรา แสดงออกดีหรือชั่ว จึงเรียกว่านามธรรม มีธรรมะประจำใจ นามคือจิต เข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงพระพุทธเจ้า ตรงนี้หรือยัง นอกเหนือจากนั้นยังเข้าไปถึงเลยนะ จะไม่ได้อะไร เอาไปทำตลอดชีวิต กลับไปบ้านก็กำหนด อย่างนี้แหละ จะเดินไปไหนมีสติมีสัมปชัญญะ รับรองรูปธรรมนามธรรมเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ในครอบครัวมาก เห็นจะไม่ไปอบายภูมิ นรก เปรต สัตว์เดรัจฉาน เพราะเรามีสติสัมปชัญญะดี

พองหนอ ยุบหนอ มันพองอยู่ตรงไหนกำหนดตรงนั้น ถ้างูบมากมายแก้ไม่หาย ทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ มันงูบเรื่อย ถีนมิทธะเข้าครอบงำ ให้เอาจิตปักลงไปที่ใต้สะดือ ๒ นิ้ว กำหนด รู้หนอ.. รู้หนอ.. ที่ใต้สะดือนั่นถึงจะหาย ถ้าคิดทั่วไปหรือโกรธ ให้กำหนดที่ลิ้นปี่ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน บางคนฟังผิดไป พองหนอ ยุบหนอ อยู่ที่ลิ้นปี่นั่นเอง ไม่ใช่ พองหนอ ยุบหนออยู่ที่ท้องนะ ทำให้มันถูกต้องหน่อย ทำอะไรอย่าทำโดยสงสัยนะ แล้วโยมจะเสียเวลาที่มานั่งกรรมฐานกัน

ถ้ามันสั่นไม่หาย มันผงกไม่หาย โงกหน้าโงกหลัง เดี๋ยวผงกตรงนั้น เดี๋ยวขนลุกขนพองสยองเกล้าไม่หายแก้อย่างไร …กำหนดตัวตรง กำหนดรู้หนอ รู้หนอ เอาจิตปักไว้ใต้สะดือ ๒ นิ้ว ปักแล้วกดลึกๆ รับรองหยุดทันที ไม่ใช่กำหนดที่ลิ้นปี่

บางทีก็ศรีษะก้มตกได้นะ พองหนอ ยุบหนอ ก้มลงไปเรื่อยๆ ศรีษะก้มลงไป ถึงพื้นเลย ต้องแก้ โดยตั้งตัวให้ตรง กำหนดรู้หนอ รู้หนอ ที่ลิ้นปี่ ถ้ายังไม่หายกำหนดลงไปที่ใต้สะดือ ถ้า รู้หนอ รู้หนอ รับรองหายทันที

กำลังกำหนดพองหนอ ยุบหนอ เกิดงูบลงไปเห็นแสงสี คิดว่าสำเร็จพระโสดาอีกแล้ว อะไรกันนักหนา ถ้าอย่างนั้นงูบไปหน่อยก็สำเร็จหมดทุกคนนะซิ

ที่งูบมีอยู่ ๒ อย่าง งูบไปด้วยกำลังแรงสมาธิหนึ่ง สมาธิขาดสติมันจึงงูบ ผงกโงกลงไปเลย สมาธิแต่ขาดสติ อีกอย่างหนึ่งงูบไปตอนหลับ มันหลับถึงจะงูบ

บางคนนั่งพองหนอ ยุบหนอ น้ำลายไหลยืดลงไปเลย แล้วศีรษะก้มลงไปเรื่อย ๆ ครูเขาบอกว่าญาณขึ้นแล้ว คนนี้เก่งน้ำลายไหลลงไปกองที่พื้นกระดานเชียว พอสะกิดขึ้นมา รู้หนอ ๆๆ โอ้โฮ! ครูว่าญาณวิเศษมาแล้ว ได้สำเร็จธรรมวิเศษแล้ว มันจะมากไป นั่งหลับแท้ ๆ

บางคนขณะกำหนดขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ยืนหลับไปเลย ยืนงูบ… ครูเข้าไปถามบอกว่า ฉันงูบไปเห็นแสง ได้โสดาอีกแล้ว โสดาอะไรกัน… หลับไปแท้ ๆ เดินจงกรมยังหลับเลย อันนี้ไม่มีความเข้าใจในการปฏิบัติ มันจึงได้ไม่รู้เรื่องอะไรจริง ๆ นี่หลับไปเสียแล้วนะ

และที่ว่าให้กดลงไปใต้สะดือ ๒ นิ้วนะ หมายความว่า ตัวสั่นขนพองสยองเกล้า ถ้ากำหนดที่ลิ้นปี่ไม่หาย ให้ถอนหายใจใหม่ พองหนอยุบหนอ มันยังสั่นอีก พอยกมือขึ้นพนมก็สั่น นี้เป็นปิติ มีสมาธิดีแต่ขาดสติ เกิดปิติอารมณ์ มันบางเหลือเกิน ใครกระทบอะไรไม่ได้ ขนหัวลุกเลย คนประเภทนี้ขาดสตินะ ไม่มีสติยึดครองในจิตใจเลย ใจก็หวั่นไหว ใครพูดอะไรก็เชื่อง่าย คนประเภทนี้โง่ คนขาดสติใจอ่อน ผีเข้าเจ้าสิงเก่ง ไม่ช้าผีก็เข้าทรงหรอก เดี๋ยวก็ไปรับขันโน่นพระพรหมมาเข้าทรงแล้ว หนักเข้าพระอินทร์มาเข้าเสียอีกแล้ว พระอินทร์ท่านจะลงมาทำไม?…ท่านอยู่บนสวรรค์ไม่ดีหรือ เมื่อสองวันก่อนมีโยมพาลูกสาวมาที่วัดนี่ บอกว่า…”หลวงพ่อคะ ลูกสาวฉันพระอินทร์มาเข้าแล้ว…” เออแน่ะ! ลูกสาวแกมีบุญมากนะ ถึงกับพระอินทร์มาเข้า ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย พวกนี้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์นะเป็นโรคประสาทกิน ขาดสติมาก ไปฟังสวดภาณยักษ์ร้องกันหวีดว้าย ส่วนมากเป็นโยมผู้หญิงเลือดลมไม่ดี ลมเพ ลมพัดร้องลั่นไปหมด พระเราก็แน่เลย เอาหญ้าคาฟาดหัวเลย แล้วเอาข่ามาไล่ออกไป… ออกไป… พระท่านก็ ๖๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน

เดี๋ยวนี้พระกับฆราวาส เป็นพวกเดียวกันมาสวดภาณยักษ์ นั่นแหละเลือดลมไม่ดี จิตใจไม่คงที่คงวา ไม่มีความดีในจิตใจ ถือเจ้าเข้าทรง ผีซ้ำด้ามพลอย ข้อเท็จจริงไม่ใช่เจ้าหรอก มันเจ้าปลอมผีปลอม เรียกว่าคน เป็นลมเพลมพัด เลือดลมไม่ดีนั้นเอง ไม่ใช่อย่างอื่นแต่ประการใด เลือดลมตั้งอยู่ในความไม่ปกติ จึงได้เป็นเช่นนี้

เมื่อสติดีปัญญาก็เกิด คนนั้นจิตใจก็เข้มแข็ง จะได้ต่อสู้ต่อไป ในอนาคตวันข้างหน้า นี่แหละนักกรรมฐานธรรมทำให้ได้ พองหนอ ยุบหนอ ยืน…หนอ…๕ ครั้ง และเดินจงกรมอย่าไปหลับตา อย่ามองดูไกลๆ ให้ดูที่เท้า อาตมาสอน คนดื้อเหลือเกิน ไปดูโน่นดูที่เท้าซิ ถ้าฝึกได้แล้วไม่ต้องดูที่เท้าหรอก และไปไหนสติก็อยู่ที่เท้า ตาไปมองดูที่อื่นก็ได้ แต่การฝึกเบื้องต้นขอให้เชื่อครูหน่อย

ต้องปักจิตไว้ที่เท้าจะปวดไหล่ จะปวดคอก็กำหนดจิต กำหนดเวทนาก่อนให้มันได้เดี๋ยวมันก็มาพร้อมกันหมด อิริยาบถต่างๆ ก็จะมาพร้อมกัน ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องกำหนด มีบางคนบอกปวดหัวมาก ถามว่ากำหนดหรือเปล่า… ตอบว่าเปล่า ไม่ได้อะไรเลยนะ ปวดก็กำหนดปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนักเข้า ก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จะได้รู้ว่าเหตุที่ปวดนั้นเพราะไปทำอะไรมา ไปทำบาปตรงไหน เดี๋ยวมันจะบอก ปวดศรีษะนี้รักษาไม่ได้ ปวดมานานแล้ว ไม่ใช่มาปวดตอนนั่งกรรมฐาน จะได้รู้เวรกรรมบ้าง ปวดขามากก็กำหนดไป ตั้งสติไว้ เป็นตายร้ายดีตั้งสติไว้ เดี๋ยวมันจะนึกออกบอกมาเอง

เวทนาอาศัยรูปเกิด เวทนา สัญญา สังขาร ปรุงแต่งมันจึงจะปวด ถ้าหากว่าไม่มีรูปอยู่ ไม่มีกายมันจะปวดได้อย่างไร มันต้องมีกายประกอบด้วยนามปรุงแต่งขึ้นมามันจึงปวด ไม่ใช่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่พลิกเลยมันก็ต้องปวด ปวดก้น ปวดขา อย่างนี้เป็นต้น ให้ตั้งใจกำหนดตั้งสติไว้มันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รูปนามจึงจะแยกออกไป เวทนาก็แยกออกไปเราจะไม่ปวด อุปาทาน ก็จะไม่ไปยึด อีกต่อไป

อุปทานยึดเป็นการศึกษาว่าปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ… นี่ยึดเพื่อต้องการศึกษาต้องการเรียนรู้เวทนาจะได้อดทนต่อไป พอรู้จริงแล้ว มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระไตรลักษณ์เกิดเรียกว่า วิปัสสนา มันจะเกิดมาในภายหลัง ไม่ใช่กำหนดส่งเดชไป ปวดหนอ ปวดหนอ แล้วก็เลิกเลย ใช้ไม่ได้ ถ้าปวดท้องเป็นโรคลำไส้ กำหนดไปซิ เป็นตายร้ายดีตั้งสติไว้ โรคปวดท้องหายไปเลย จะได้รู้ว่ากรรมอะไร

อาตมาปวดท้องเมื่อสมัยก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นโรคลำไส้อย่างแรง หมอต้องตัดทิ้งแต่อาตมาหนีหมอมา มาฉันยาเอง นั่งกำหนดเวทนาไปกำหนดไปโรคลำไส้หายไปเลย จึงสำนึกถึงกรรมได้ว่าเมื่อเป็นเด็กไปตอนไก่ไปจำเขามา ผ่าท้องควักไส้ออกมาตัด ไก่ทั้งเล้าตายหมดเลย มีตัวหนึ่งไส้เน่า มาดิ้นตายต่อหน้า อาตมาจึงเป็นโรคไส้เน่า

อย่าลืมกฎแห่งกรรม ทำอะไรไว้ต้องมีประสบการณ์แก่โยมทุกคน หนีไม่พ้นแน่ อาตมาก็หนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าของเราก็หนีไม่พ้น สมัยพระองค์เสวยชาติเป็นนายโคบาล ไม่ให้วัวดื่มน้ำ จะให้ไปดื่มน้ำใสๆ ที่อยู่ข้างหน้า เลยมาทำให้อดน้ำลำบากใจ

ขอฝากไว้ด้วยปวดตรงไหนก็กำหนดไป ตายให้มันตายซิจะได้รู้ ความอดทน ว่าอดทนอย่างไร หนักเข้าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจึงเป็นวิปัสสนา รูปนาม ขันธ์ ๕จึงจะแยกได้ มาตอนนี้เอาหนังสือมาอ่านแล้วจะแยกได้หรือ มันคนละเรื่องกัน คนเรียนอภิธรรมจึงปฏิบัติกรรมฐานไม่ค่อยได้ บางคนคิดล่วงหน้า อ๋อ! ญาณที่หนึ่งมาแล้ว ญาณที่สองมาแล้ว มันท่องได้…ญาณ ๑๖ เป็นอย่างนี้ มันเป็นวิปัสสนึก ส่วนมากคนเรียนจบพระอภิธรรมเอกปฏิบัติกรรมฐานไม่ค่อยได้ เป็นวิปัสสนึกหมดได้ตามหนังสือ

คนไม่รู้อะไรทั้งหมดนี่ได้ง่ายได้จริงเสียด้วย ได้แล้วมาอ่านหนังสือตรงเป้าเลย ถ้าคนรู้หนังสือแล้วอวดรู้อวดดี รับรองนั่งกรรมฐานไม่ได้ผล เช่นมหาเปรียญ เขาเรียนถึง ๘ – ๙ ประโยค มานั่งกรรมฐานไม่ได้ผลหรอก ถ้าไม่มีศรัทธาไม่ได้อะไรเลยนะ แต่ถ้ามีศรัทธาเชื่อมั่นก็มีทั้งปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธศาสนา มันก็เกิดขึ้นได้ ๓ ทาง ถ้าเราไม่ได้ศึกษาหาความรู้จากวิชาศาสนาไม่รู้เลย ยิ่งทำยิ่งได้มาก นี่แหละมันจะผุดขึ้นมาเอง และได้ของจริงด้วย ไม่รู้อะไรเสียเลยดีกว่ารู้อะไรนะ รู้อะไรมันคอยจะนึกเป็นวิปัสสนึก คิดว่าตัวทำได้ตามหนังสือที่เรียนมา เลยก็ไม่ได้ อะไรเกิดขึ้นอย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้มีความหมายของการปฏิบัติเบื้องต้น

ขอฝากไว้ เดินจงกรม ขอให้เดินช้าๆ เหมือนคนจะตาย แล้วดูที่ปลายเท้าด้วย อาตมาสังเกต โยมไม่ค่อยเชื่ออาตมาเลย ไม่เคยดูปลายเท้า ดูโน่น! ครูเขาสอนให้ดูโน้นจะได้ไม่ปวดคอต่อไปไม่ได้ผลนะ จะเชื่อใครก็ตามใจ ที่เราสอนกันนี่ ต้องดูตรงนั้น ตั้งสติไว้ตรงนั้น… พอตั้งสติได้แล้วก็ไม่ต้องไปดู ตอนนี้มันยังไม่ได้นะซิถึงสอนให้

ถ้าทำได้แล้วยืนหนอ ๕ ครั้ง เห็นหนอ…จะได้รู้ว่าคนนี้นิสัยไม่ดี คนนี้นิสัยใช้ไม่ได้ไม่ควรคบค้าสมาคมด้วย มันจะบอกออกมาชัดเจน แต่เราจะพูดออกมาให้โง่ทำไม

พูดไปขัดใจเขา คำเราเบาราคา สิ่งใดขัดนัยน์ตา ลดราคาตาเราเอง

ไม่ได้เกิดประโยชน์นะ พูดไปขัดใจเขาทั้งนั้น แต่มีเหตุผลนะ…พูดทำไมนิ่งเสียดีกว่า โง่บ่เป็นบ่เป็นใหญ่ ก็โง่ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่เรารู้แล้วว่า โยมคนนี้นิสัยไม่ดีคนนี้กำลังมีชู้นอกลู่นอกทาง คนนี้กำลังโกงพี่โกงน้อง กำลังโกงพ่อแม่ด้วย มันจะบอกออกมาชัดเจน แต่เราจะไม่ประสมประสานกับเขา เสียเวลาคบพวกเขาเช่นอันธพาล ดังที่กล่าวมาก็ไม่ควรจะคบค้าสมาคมอีกต่อไป ไม่ต้องมีการมาว่าร้ายป้ายสีกัน มันรู้ได้เฉพาะตนรู้ได้เฉพาะคนที่สนใจเท่านั้น

การกำหนดนี่สำคัญมาก กำหนดพองหนอ ยุบหนอ ทำได้คล่องแคล่วแล้วนะ ทำอะไรว่องไวหมด ที่เราทำช้า ๆ ต้องการจะฝึกให้มีสติ คนหุนหันพลันแล่นใจร้อนน่ะไม่มีสตินะ ลืมโน่นลืมนี่บ้าบอคอแตก ตลอดรายการ ทำอะไรช้า ๆ ไว้จะได้พร้า ๒ เล่มงาม ทำอะไรด่วนได้มิใคร่ดี จะสร้างความดีในสังคมก็ยาก ใจร้อนใจรนทนไม่ไหว ไปไหนก็ลืมโน่นลืมนี่ จะไปหาใครก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปฝากเขา ไม่มีปัญญาจะเอาไปฝากเขา มันจะออกมาอย่างนี้เป็นต้น โยมจะได้มีความเข้าใจในการปฏิบัติด้วย

ปฏิบัติตรงนี้ให้ได้ก่อน เวลามันงูบลงไปพองเป็นยุบ ยุบเป็นพอง ถ้าผ่านไปแล้ว กำหนดรู้หนอ รู้หนอ… คิดก็กำหนด โกรธก็กำหนด เวทนากำหนด ไม่หายก็ว่าไป เดี๋ยวมันก็ค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวก็อดทนได้ ก็ต้องอดทนไปก่อนเป็นขันติบารมี

การเจริญกรรมฐานต้องสร้างขันติก่อน มีความอดทนมากมาย ทนต่อความลำบาก ทนต่อความตรากตรำ ทนต่อความเจ็บใจในสังคมได้ เขาจะด่าว่าอย่างไร จะไม่สนใจกับคำด่าของเขา มันก็เกิดขึ้นกับตัวเรา นี่อดทนได้แล้ว

ถ้าเราไม่อดทนปวดเมื่อยเลิกเลย ทำอะไรก็เลิกเลย… รับรองอีกกี่ร้อยปีก็ไม่ได้ผล จะไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด และจะไม่รู้กฎแห่งกรรม เดี๋ยวจะว่ารำลึกชาติได้ ไม่เห็นรำลึกได้เลย ลองทำให้มันถึงซิ

ระดับแรก ระลึกถึงตัวเองได้ว่า เมื่อปีก่อนเล่นการพนัน ปีที่แล้วเสียเงิน ปีก่อนโน่นไปเที่ยวไม่ได้สร้างตัวเลย อย่างนี้รำลึกชาติของตัวเอง… ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนี้อีก จะรักครอบครัว ดูแลครอบครัวให้มั่นคงต่อไป… มันจะออกมาด้วยการรำลึกชาติ
ระดับสอง รำลึกถึงบุพการี
 ระดับสาม รำลึกปางก่อนเราเกิดเป็นใคร เคยเป็นทหารที่ตาคลี แล้วโดนบอมบ์ตายไปเกิดที่หล่มสัก เดี๋ยวนี้เป็นดอกเตอร์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องรำลึกอย่างนี้ซิ ไม่ใช่รำลึกว่าฉันเป็นผัวแก แกเป็นเมียข้า.. มันถึงได้วุ่นวายกันในสังคม ไม่ใช่รำลึกแบบนั้น มารำลึกเหตุการณ์ของชีวิตได้ ว่าที่มันผ่านมาแล้ว จะเป็นไปอย่างไรต่อไปในอนาคต

“..อดีตเป็นความฝัน ปัจจุบันเป็นความจริง อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน”

ต้องเอาปัจจุบันนี้ให้ได้ก่อน ปัจจุบันเรียนไว้ได้มาก อดีตทำไมถึงไม่รู้เห็น ทำไมจะไม่เข้าใจ ต้องเรียนปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันไม่ได้อะไร อดีตก็เป็นความฝัน อนาคตไม่แน่นอน ทำอะไรก็ไม่ได้ผล หละหลวมเหลาะแหละเหลวไหล ทำมาหากินไม่ขึ้น ทำอะไรก็ไม่ฟื้นคืนมา ลงทุนไปก็จะขาดทุน ค้าขายก็ขาดทุน ตรงนี้น่าคิดเหลือเกินนะ ลงทุนต้องให้ได้กำไรซิ

เราทำกรรมฐานให้มันได้บุญได้กุศล ถ้าได้ผลคือชีวิตจะได้แก้ปัญหา อย่าสร้างปัญหาให้ครอบครัว อย่าสร้างปัญหาให้สังคม อย่าไปสร้างปัญหาให้แก่ลูกหลานเลย ขอฝากไว้วันนี้โดยทั่วหน้ากัน จึงจะมีประโยชน์มาก

วันพระต้องลงมาพร้อมกัน อาตมาทำมา ๓๗ ปีแล้ว แสดงธรรมตลอดมา ยกเว้นป่วยอาพาธหนัก หรือมีกิจการไปประชุมคณะสงฆ์ หรือไปต่างประเทศเสียก่อน นอกนั้นจะไม่ขาดเลยนะ ทำอะไรอย่าให้ขาด ให้เสมอต้นเสมอปลาย โยมจะได้ร่ำรวย ถ้าทำอะไรไม่เสมอต้นเสมอปลายรวยไม่ได้แล้วดีไม่ได้ด้วย จดบันทึกไว้ได้ คนเราจะดีได้ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ทำอะไรให้เป็นนิจ สร้างผลงานให้เป็นนิจ สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อนแล้วจึงแผ่เมตตา ทำมาหลายปีแล้ว รับรองสมมาตรปรารถนา

สุดท้ายนี้ก็ขออนุโมทนาสาธุการ แก่พวกญาติธรรมที่มานั่งกรรมฐาน เรียกว่าญาติธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ สร้างกุศลบุญราศีทำความดีให้ถูกจุด จะเป็นหนุ่มเป็นสาวขอให้เอาไป เอาไปใช้ดีกว่าอย่างอื่น บวชแทนคุณแม่ได้ แทนค่าน้ำนมแม่ได้ โยมผู้หญิงสามารถปฏิบัติไตรสิกขาสามครบ ไม่ต้องไปรังเกียจกัน ได้ผลเป็นศีลสมาธิปัญญาแล้วจะคิดถึงแม่ ค่าน้ำนมของแม่ ถ้าแม่ตายจากโลกนี้ไปแล้วจะได้ไปสวรรค์ จะไม่ลงนรกอีกต่อไป เหมือนหญิงสองร่างนางสองชาติ ขึ้นมาจากนรกได้ เพราะกรรมฐานนะ

โยมเป็นผู้หญิงไม่ต้องเสียใจ มาปฏิบัติกรรมฐานแทนคุณพ่อแม่ได้ ดีกว่าเป็นชายมาบวชแล้วไม่ทำกรรมฐาน ถ้าปฏิบัติกรรมฐานได้ จะรู้น้ำพระคุณของแม่น้ำใจของพ่อ รู้แน่ ๆ คือรู้จักตัวเอง สร้างความดีให้เห็นเด่นชัดขึ้นมา นั่นแหละใช้ค่าน้ำนมของแม่ได้ โยมจะเป็นสาวหรือเป็นผู้สูงอายุหรือพ่อแม่ล้มหายตายจากไปแล้วด้วยกันทุกคนก็ตาม สามารถติดตามผลไปช่วยพ่อแม่ที่ลงนรกได้ พ่อแม่ที่ป่วยไข้ขอให้หายวันหายคืน ฟื้นคืนมาอยู่กับลูกกับหลานต่อไป เป็นการสวัสดีมีชัยในโลกมนุษย์ต่อไปเถิดประเสริฐที่สุด ซึ่งได้มาจากการเจริญวิปัสสนาสูงสุด

ผู้ใดไม่มีบุญ ผู้นั้นจะไม่เจริญพระกรรมฐาน ชอบทำแต่สังฆทานผลาญแต่เวลาให้หมดไป คนไหนมีบุญวาสนาจะมาเจริญพระกรรมฐาน เป็นสมบัติของผู้มีบุญ ถ้าคนไร้บุญวาสนาจะไม่มีโอกาสมาเจริญวิปัสสนากรรมฐานเลย เพราะเป็นของสูงสุดในพุทธศาสนาแล้ว

สุดท้ายนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายผู้ใคร่ธรรม ขอทุกท่านจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ จะนึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด ขอให้สมมาดปรารถนาด้วยกันทุก ๆ ท่าน ณ โอกาสบัดนี้เทอญ ขอเจริญพรทุก ๆ ท่าน