อธิษฐานขอพบหลวงพ่อจากสิงคโปร์

โดย สุวรรณ จันทน์ต้น

รอบครัวของดิฉัน พื้นแพเป็นคนขอนแก่น แต่โชคชะตาบันดาลให้ครอบครัวบุตรสาวไปอยู่ที่สิงคโปร์ ลูกเขยของดิฉันขับเครื่องบินสายสิงคโปร์แอร์ไลน์ ดิฉันจึงต้องไปอยู่สิงคโปร์ครั้งละหลายปี เป็นเพื่อนลูกสาวอยู่ที่นั้น ส่วนลูกเขยอีกคนเป็นวิศวกรขุดเจาะน้ำมัน เป็นชาวแคนาดา ระหว่างอยู่ที่สิงคโปร์ มีอยู่ปีหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) สมัยนั้นยังเรียกว่า หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ท่านไปเยี่ยมครอบครัว คุณชี ซูง้อ แซ่เอ็ง (ทราบภายหลัง เมื่อได้มีโอกาสอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ)ในครั้งนั้น เป็นที่รำลือไปทั่วเกาะสิงคโปร์ ว่ามีภิกษุจากวัดอัมพวัน ไทยแลนด์ ไปเยี่ยมสิงคโปร์ตามที่ลูกศิษย์ลูกหานิมนต์ท่านเจ้าคุณฯไป

ดิฉันก็ไม่กล้าเข้าไปขอพบ เพราะผู้ศรัทธาในองค์หลวงพ่อเจ้าคุณฯ มีมากเหลือเกิน แต่จิตใจไม่รู้เป็นยังไง ปรารถนาอย่างแรงกล้าจะได้พบหลวงพ่อเจ้าคุณฯ วัดอัมพวัน ให้ได้ จึงอธิษฐานจิตไว้ ๒ ประการคือ

  • กลับไปไทยแลนด์ บ้านเกิดของดิฉันแล้ว ขอให้ได้มีโอกาสเข้าพบไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณฯ วัดอัมพวัน
  • ขอให้บุตรชายคนเล็กที่ออกจะดื้อรั้นและใช้เงินเปลือง ให้กลับมาตั้งใจเล่าเรียน ประพฤติตนเป็นคนดีของพ่อแม่ต่อไป

อธิษฐานขอไว้ ๒ ข้อ ยังนึกไม่ออกเลยว่า จะได้มีโอกาสได้พบ หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ได้อย่างไร ก็เกือบจะลืมเรื่องที่ตนเองอธิษฐานเอาไว้ กลับมาเมืองไทย มาอยู่จังหวัดขอนแก่น นานพอควร อยู่ ๆ วันหนึ่งก็ไปบ่น ๆ เรื่องลูกชายหัวแก้หัวแหวน มันดื้อ ไม่เอาใจใส่เล่าเรียน เที่ยวสะบัดเลย เปลืองทรัพย์ไปก็มาก บ่นกับเพื่อนบ้าน ชื่อคุณศิรประภา (กอบ) สิทธิเกษร ก็ไม่นึกว่าจะโยงใยมาเป็นเหตุให้ได้เข้าปฏิบัติกรรมฐาน ณ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ได้ยังไง

อยู่ ๆ คุณศิรประภา ที่เพื่อน ๆ ชอบเรียกว่า คุณกอบ ก็บอกว่าค่ำ ๆ ไปพบ อาจารย์บุญส่ง อินทวิรัตน์ กันเถอะ เผื่อท่านจะให้คำแนะนำ อะไรเป็นประโยชน์บ้าง ดิฉันพร้อมด้วยคุณกอบ คุณป้ายุพิน รัตนวิสิทธิ์ มารดาของคุณมรกต ก็พากันมาพบอาจารย์บุญส่ง ในตอนค่ำ ๆ พอพบหน้ากันเท่านั้นเอง

ท่านอาจารย์บุญส่ง อินทวิรัตน์ ทักทายเปรี้ยง ๆ เรื่องอะไร ดิฉันเป็นใคร มาจากสิงคโปร์ มาทำไม เรื่องทุกข์ในใจ ถูกทักทายเปรี้ยง ๆ ผ่ากลางใจ เหมือนกับอ่านตัวดิฉันออก อย่างกับอ่านหนังสือ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่น ดิฉันก็อาจจะนึกว่าเตรียมเรื่องข้อมูลไว้ล่วงหน้าจึงกล่าวเหมือนอ่านใจดิฉันออกหมด แต่คุณกอบเพื่อนที่นำมาบอกว่า อาจารย์บุญส่งไม่เคยรู้เรื่อง ไม่รู้จักดิฉันมาก่อนจริง ๆ และดิฉันก็ทราบว่า เป็นอย่างนั้นจริง แต่งุนงงพร้อม ๆ กับศรัทธาว่า คนแบบนี้มีอะไรแปลก ๆ เหมือนมีญาณทิพย์หยั่งรู้ใจคนได้ ดิฉันนึกคิดเรื่องอะไร พูดออกมาหมดเลย

ดิฉันเล่าเรื่องลูกชายว่า ควรแก้ไขอย่างไรดี ตอนนี้ได้คำตอบจากอาจารย์บุญส่ง ที่ทำให้ดิฉัน ศรัทธาพร้อม ๆ กับสะดุ้งในจิตใจนิด ๆ ว่า ทำไมจึงกล่าวแปลก ๆ เช่น กล่าวว่า “หลวงพ่อเจ้าคุณฯ วัดอัมพวัน ท่านบอกไว้ จะดูว่า ลูกแย่หรือเยี่ยม ให้ดูแม่ ถ้าแม่มันแย่ ลูกมันก็ยับ ถ้าแม่เยี่ยม ลูกมันจะยิ่งยอด ดูไม่ยาก ลูกเต้าจะชั่วดีเลว ให้ดูไปจากแม่ เอ๊ะ! ทำไมดิฉันทำอะไรผิดเหรอ จึงบอกว่า จะดูลูกให้ดูแม่ ดูลูกแย่ หรือ เยี่ยม มองผ่านไปจากแม่ ถ้าแม่แย่ลูกยับเยินแน่ ๆ อ้าว! ทำไมละ ก็ศรัทธาในอาจารย์บุญส่ง อินทวิรัตน์ เปี่ยมหัวใจไว้เป็นทุนแล้ว

พร้อมกับยื่นหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ให้ยืมไปอ่านพร้อมหนังสือสวดมนต์ ยิ่งคุณป้ายุพิน รัตนวิสิทธิ์ ดูจะนับถืออาจารย์บุญส่งมาก ใกล้ชิดกว่าดิฉันมาก่อนด้วยซ้ำไป เพราะเคยพบการทักท้วงเหมือนอ่านใจออก คุณป้ายุพิน รัตนวิสิทธิ์ เคยบอกว่าเพียงอาจารย์บุญส่งพูดอ่านใจคุณมรกต ลูกสาวสองสามประโยคเท่านั้น คุณมรกตลูกสาวคุณป้ายุพิน น้ำตาโปรยเลย มันสะท้าน ทำนบน้ำตาพังทลายเลยเชียว แม้แต่คุณป้ายุพินเอง ก็ยังไม่รู้เรื่องทุกข์ใจของลูกสาว แต่ทำไมมานั่งอยู่ต่อหน้าด้วยกัน มีคุณศิรประภา (กอบ) สิทธิเกษร เป็นสักขีพยาน เพราะคุณมรกต มาจากหนองคาย มาเยี่ยมแม่ชื่อ ยุพิน รัตนวิสิทธิ์ เท่านั้น ทำไมอาจารย์บุญส่ง อ่านเรื่องราวย้อนอดีตได้ละเอียดยิบเหมือนอ่านหนังสือเลย อ่านใจคนออกได้ยังไง อ่านย้อนอดีตถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา รู้ได้อย่างไร ดิฉันเกิดศรัทธามาก

ก็ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์บุญส่ง ที่ดิฉันเคารพศรัทธา ให้ไป ปฏิบัติกรรมฐาน ชดใช้หนี้กรรม ที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี คนละ ๗ วัน รวมไปถึงคุณศิรประภา ก็เคยถูก อาจารย์บุญส่ง อ่านชีวิตที่ผ่านมา และปัจจุบันทะลุปรุโปร่งมาหมดแล้วด้วย จึงเหมารถพากันไปวัดอัมพวัน เต็มคันรถ ไปกราบเท้าหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี และอยู่ปฏิบัติกรรมฐานกันคนละ ๗ วัน เพราะคุณศิรประภาเอง ก็มีปัญหาทางครอบครัวหนักหนา แบกภาระในครอบครัวเลี้ยงดูบุตรสองคนตามลำพัง ว้าเหว่อยู่ในโลกสับสนอลเวง เมื่อได้รับแสงเทียนส่องทางก็จิตใจชื่นบาน มีกำลังใจ ได้สติ ใช้สติที่ได้รับจากการฝึกสติปัฏฐาน ๔ มาจากวัดอัมพวัน สิงห์บุรี เอามาดำเนินชีวิต ทำมาหากินเลี้ยงลูกสาวสองคนที่เหมือนกำพร้าพ่ออย่างเข้มแข็ง มีกำลังใจได้ต่อไปอย่างทรหด

สิ่งที่ได้รับมา หลังจากไปอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน จากวัดอัมพวัน สิงห์บุรี กลับมาแล้ว บุตรชายของดิฉันซึ่งหนีเที่ยว หนีเรียนตลอดมาก็กลับมาบ้าน มาบอกกับดิฉันว่า ต่อไปนี้จะหยุดเที่ยวแล้ว จะเรียนต่อไป เรื่องนี้ดิฉันเคยบ่นรำพึงไว้กับอาจารย์ บุญส่ง ก่อนไปวัดอัมพวันนานแล้วว่า ทำยังไง จะตามลูกชายกลับบ้านได้ มันเที่ยวไม่เห็นหัวเห็นหาง อาจารย์บุญส่งบอก ไม่ต้องไปตามเปลืองเงินไปกี่แสนแล้วละ จะตามให้กลับ ไม่ต้องไปตามที่ไหน ให้ไปตามที่โดย ให้ดิฉัน นางสุวรรณ จันทน์ต้น ไปปฏิบัติกรรมฐาน ๗ วัน ที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี แล้วลูกชายจะกลับมาเอง แล้วจะดีเอง ก็เป็นความจริง อานิสงส์ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ช่วยให้ดิฉันพบความสุขความเจริญในครอบครัว อะไร ๆ ที่มันอมทุกข์ อมโศกมาตลอด ก็คลี่คลายเหมือนฤดูไม้ผลัดใบ ชุ่มชื้นเอิบอิ่มใจบอกไม่ถูก ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้

ก่อน ๆ ดิฉันทำบุญมาก็มาก ทำไมบุญมันตกน้ำดับหายไปหมด แต่พอไปปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อยู่กรรมฐาน ๗ วัน ที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ได้ร่มบุญหลวงพ่อเจ้าคุณฯ วัดอัมพวัน อะไร ๆที่มันเลวร้าย กลับฟื้นกลายเป็นดีไปหมด รวมไปถึงโชคชะตาชีวิตของคุณศิรประภา สิทธิเกษร อะไร ๆ ก็คลี่คลายไปทางด้านดีขึ้นโดยลำดับ และก็พากันไปอยู่ปฏิบัติกรรมฐานอีกครั้งพร้อมหมดทั้งครอบครัว ครั้งแรกไปกันลำพังแม่ลูก ตอนหลังคุณศิรประภา กลับพากันไปหมดทั้งครอบครัว ดึงเอาครอบครัวไปกันได้ทั้งหมด ไปได้ยังไง

ดิฉันเองก็ต้องเชื่อในอานิสงส์ ปฏิบัติกรรมฐาน แก้กรรมได้จริง ปลดปล่อยชีวิตให้หลุดพ้นเงื่อนไขร้อยรัดได้จริง ถ้าใครยังไม่เคยเข้าปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ฝึกกรรมฐานสายวัดอัมพวัน สิงห์บุรี ดิฉัน นางสุวรรณ จันทน์ต้น ขอแนะนำว่าควรหาโอกาสไปให้ได้ จะได้รับคำตอบว่า คนเราเกิดมาทำไม และจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างไร จึงจะอยู่ อย่างเป็นสุขในสังคมที่สับสนอลเวงได้ มืดแปดทิศ หาทางออกไม่ได้ อย่าคิดสั้นนะ ไปวัดอัมพวัน สิงห์บุรี ไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) ให้ได้นะ ชีวิตจะได้พบแสงสว่าง ใช้สติแก้ปัญหาชีวิตได้แน่