สิ่งที่ได้รับจากวัดอัมพวัน

โดย เพ็ญศรี ศรีจินดา
(อาจารย์โรงเรียนสนามบิน จ.ขอนแก่น)

ดิฉันไม่เคยรู้จักวัดอัมพวันมาก่อน แต่ชื่อนี้คุ้นกับดิฉันเหลือเกิน ผู้ที่ทำให้ดิฉันรู้จักวัดอัมพวัน คือคุณลุงบุญส่ง อินทวิรัตน์ ท่านได้ให้ความเมตตาชี้ทางและนำทางให้

ดิฉันมาถึงวัดครั้งแรกเมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๖ อยู่ปฏิบัติธรรมถึง ๒ เมษายน ๒๕๓๖ กลับบ้านเช้าวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๓๖

ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพระคุณเจ้า ท่านได้แนะนำให้ไปที่ต้อนรับฝ่ายคฤหัสถ์เพื่อเข้าที่พัก ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบ ๒ ทุ่ม

ที่พักมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่รักษาศีล ๘ ทุกอย่าง เมื่อเข้าถึงที่พัก ดิฉันรู้ว่าเหมือนกับอยู่ที่บ้าน อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกแปลกถิ่นแปลกที่เลย

ที่วัดทำให้ดิฉันทราบว่า หลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ท่านเป็นผู้ที่สร้างคนให้เป็นคนจริงๆ ได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ช่วยประเทศชาติมากมาย ที่ดิฉันมั่นใจเช่นนี้ เพราะเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ไม่รวมพระภิกษุสามเณรไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คนต่อวัน

อาหารเช้ากับข้าว ๒ อย่าง เครื่องดื่มชงร้อนอีกคนละ ๑ แก้ว ตามด้วยปาท่องโก๋ กลางวันกับข้าว ๒ อย่าง ของหวาน ๑ อย่าง ของเสริม เช่น ผลไม้อีก

ตอนเย็นน้ำปานะอย่างน้อย นมถั่วเหลืองบรรจุกล่องคนละ ๑ กล่อง ยังไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ศาลาปฏิบัติธรรม พัดลมมากมายเปิดพร้อมกัน ผู้ปฏิบัติธรรมได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง

ท่านผู้อ่านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า แต่ละวันใช้เงินเท่าไร

ทุกคนนุ่งขาวห่มขาวเหมือนกันไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เดินไปเดินมาด้วยอาการสงบสำรวม เข้าแถวตามลำดับก่อนหลัง ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี มีแต่ความสงบสุข เหมือนกับที่วัดอัมพวัน คือเมืองสวรรค์ที่ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราไปสัมผัสได้

และดิฉันเชื่อว่า ลูกศิษย์ที่ออกจากวัดอัมพวัน ทุกคน เป็นคนมีคุณภาพ เป็นคนดีของสังคม ดิฉันอยากจะขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่อยากจะทำบุญ ขอให้นึกถึงวัดอัมพวันเถิด

อานิสงส์ของการไปปฏิบัติธรรมที่เกิดกับดิฉัน

ดิฉันมีลูกชายคนเดียว เป็นคนกลาง เขาเป็นคนที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ตั้งใจเรียน ดิฉันและสามีพูดกับลูกชายไม่ค่อยรู้เรื่องกัน

เขาจะมองไม่เห็น ความรัก ความหวังดีของพ่อแม่ที่ให้กับเขาเลย ก่อนหน้าที่ดิฉันจะไปวัด เขามีเรื่องกับพวกวัยรุ่นด้วยกัน

ดิฉันเคยไปปรึกษาคุณลุงบุญส่งเรื่องที่ว่า ถ้าไปวัดก็ห่วงบ้าน แต่ไม่ได้บอกคุณลุงว่า เรื่องอะไร คุณลุงบอกว่าให้วางทุกอย่างไว้ ไปแล้วทางครอบครัวจะดีเอง

ดิฉันทำตามที่คุณลุงบุญส่งบอก ขณะอยู่วัดตั้งใจปฏิบัติธรรม หลังจากที่รับศีล ๘ แล้ว ดิฉันไม่ได้โทร.กลับบ้านเลย ตลอดระยะเวลา ๗ วัน จนกลับถึงบ้าน

เมื่อกลับถึงบ้าน ทราบจากลูกสาวคนโตว่า ลูกชายของดิฉันไม่ค่อยจะอยู่บ้าน ไปข้างนอกทุกวัน ค้างคืนครั้งละคืนเดียวบ้าง ๒ คืนบ้าง จนวันที่ดิฉันกลับถึงบ้านเขาก็ยังไม่มา

วันต่อมาเขาก็กลับมาบ้าน แล้วบอกกับดิฉันว่าที่แม่ไปวัด บุญคงจะมีจริง ๆ เพราะวัยรุ่นที่เขาขัดใจกันนั้น ได้ไปจ้างกลุ่มนักฆ่าหมูที่โคราช มาตามฆ่าลูกชายดิฉัน

เขาจะไปดักทุกแห่งที่คาดว่า ลูกชายดิฉันจะไป แม้แต่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ลูกชายดิฉันก็แคล้วคลาดมีชีวิตรอดจนแม่กลับมา เขาบอกกับดิฉันว่า รอดจากการดักฆ่าเหมือนปาฏิหารย์

อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการชวนลูกชายและสามีไปวัดเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากสำหรับตัวดิฉัน เพราะสามีเคยเป็นลูกศิษย์วัดมาก่อน คงเห็นข้อบกพร่องบางที่ฝังใจ

ในที่สุดดิฉันได้มาวัดเป็นครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๖ พร้อมลูกชายและสามี อยู่ปฏิบัติธรรม ๓ วัน

วันที่สาม หลังจากลาและปฏิบัติธรรมเสร็จแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้ามาพบกัน (พักคนละที่) ไปขอพบหลวงพ่อที่กุฏิ

ดิฉันทั้งเกรงใจท่าน อยากให้ท่านได้พักผ่อน เพราะเป็นเวลาเกือบจะ ๔ ทุ่มแล้ว แต่ใจหนึ่งก็อยากจะขอแค่กราบท่าน จะไม่รบกวนอะไรท่านมาก

เพราะครั้งที่แล้วมาอยู่ ๗ วัน ก็ไม่ได้กราบท่านที่กุฏิ พบส่วนรวมเมื่อท่านเทศน์วันพระ แต่ครั้งนั้นก็อิ่มอกอิ่มใจมาก

ดิฉันและสามีปรึกษากัน เกือบจะตัดสินใจกลับที่พัก เพราะทราบว่าท่านจะเข้ากรุงเทพฯ ตอนตี ๔

แต่แล้วบุญนำพาจริง ๆ หลวงพ่อเมตตา ให้คนมาบอกว่าให้รอ ตอนนั้นไม่มีคนอื่นเลย มีเราสามคนพ่อแม่ลูก

เมื่อท่านลงมา ดิฉันได้กราบท่านสมใจ หลวงพ่อพูดถึงเรื่องที่ท่านไปเทศน์วันนี้ (๒๒ เม.ย.๓๖) ทุกอย่างที่ท่านพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ทั้งตัวดิฉัน สามีและลูกเห็นจริงและซาบซึ้ง

ที่ดิฉันฝังใจมากคือ หลวงพ่อบอกว่า คนเกิดมาแต่ตัว เวลาไปก็ไปแต่ตัว เงินกี่ร้อยกี่พันล้านก็เอาติดตัวไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ติดตัวไปได้นั้นคือกรรมดี ผู้ที่ทำแต่ความดี สิ่งนั้นจะติดตัวผู้กระทำไปทุกภพทุกชาติ ช่วงที่มีชีวิตอยู่และร่างกายแข็งแรงให้รีบทำความดี เพราะชีวิตคนเราไม่ยืนยาวนัก ดิฉันเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อสงสัยเลย

หลวงพ่อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ดิฉันไปวัดมาก็มาก วัดอัมพวันของหลวงพ่อ เป็นวัดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่สอนคนตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

สอนไม่ให้งมงาย สอนให้รู้จักตัวเองด้วยการเจริญภาวนา มีสติ ฝึกความวิริยะ อุตสาหะ ไม่ให้เกิดความท้อแท้ ไม่ให้เกียจคร้าน ไม่เห็นแก่ตัว ดิฉันคิดว่า ถ้าสังคมไทยมีแต่ลูกศิษย์วัดอัมพวัน คงเป็นสังคมที่สงบสุขจริง ๆ

หลังจากกลับจากวัด ลูกชายของดิฉันเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจว่าพ่อแม่พี่น้องรักตัวเขา เห็นชอบเป็นชอบ

ส่วนสามีประทับใจทุกอย่างที่วัดอัมพวันมาก และตั้งปณิธานไว้ว่า มีโอกาสเมื่อไรจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทันที

ดิฉันเป็นสุขใจ เพราะสามีและลูกเข้าถึงธรรม (เพราะเมตตา บารมีของหลวงพ่อแท้ ๆ ) อยากให้ทุก ๆ คน มาปฏิบัติธรรมกันมาก ๆ ความสุขที่แท้จริงคงจะเกิดกับผู้ปฏิบัติ

 

เพ็ญศรี ศรีจินดา
ร.ร. สนามบิน ถ.ประชาสโมสร
อ.เมือง จ.ขอนแก่น