สนทนาธรรมกับ พ.อ.ชม สุคันธวัต

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๑๙ เม.ย. ๓๖

าตมารู้จักกับ พ.อ.ชม สุคันธรัต ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ตอนนั้นมียศเป็นพันโท เป็นผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี นั่งสมาธิเก่งตั้งแต่ยังหนุ่มกับอาจารย์ที่อยู่ในป่า อาตมาเคยแลกเปลี่ยนความรู้กับท่านในสมัยนั้น

เดี๋ยวนี้ พ.อ.ชม สุคันธรัต อายุ ๗๐ ปีแล้ว มีบ้านอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ได้มาที่วัดอัมพวัน พอมีโอกาสท่านได้ถามข้อข้องใจและแลกเปลี่ยนความรู้กัน

พ.อ. ชม :
เรื่องการเข้าทรงนี่ มันเป็นอีกตัวหนึ่งต่างหาก ปรากฏเป็นเสียงได้ อย่างสมเด็จโต (สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) อย่างน้อยได้ฌาน เรื่องอะไรจึงจะมาเข้าทรง และทำไมวิญญาณสมเด็จโตองค์เดียว จึงเข้าทรงได้ ๑๐ กว่าแห่งพร้อม ๆ กัน แสดงว่าโกหกแล้ว ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ พออาจารย์ในดงอธิบายเพิ่งจะรู้

ท่านอธิบายว่า จิตไม่อยากตาย ยังมีตัวอยู่ เขาเรียกวิญญาณ ประจำร่างหรือแม่ซื้อ จิตแท้อีกอันหนึ่ง จิตแท้มันไปเกิดทันทีก็จำญาติไม่ได้ แต่ถ้าไปเกิดเป็นเทวดาก็จำญาติได้ ลงมาช่วยมนุษย์ได้

เหมือนอย่างสุวรรณสาม แม่ไปอยู่ชั้นดุสิต จำได้ว่า เอ๊ะ! ลูกนี่ ลูกกำลังถูกศรพิษจึงลงมาช่วย

คนที่กำลังจะตายท่านว่าจะแยกเป็นสอง วิญญาณแท้ไปเกิดแล้ว มันระลึกชาติได้ แต่วิญญาณที่ไม่อยากตายเรียกว่า สัมภเวสี แปลว่า วิญญาณประจำร่าง และวิญญาณประจำร่างก็เป็นกายทิพย์เหมือนกัน

เราจะรู้ว่ายืนยันกันอย่างไร ก็ดูว่ารัสเซียเกิดถ่ายรูปได้ ทีแรกเราถ่ายรูปคนตายไม่เป็นกายทิพย์ตัวเท่าเก่าเป็นแก้วใส มันตรงกับคนที่ตายแล้ว ไปเห็นนรกสวรรค์ตัวเป็นแก้วใสไปเหมือนกัน

ตกลงกลายเป็นว่าตัวเรานี้มีกายหยาบกับกายใน กายในเป็นตัวไม่อยากตาย จิตตัวไม่อยากตาย จะกระเด็นออกไป นึกว่าไม่ตาย

ถ้าอายุ ๔๐ ปี ก็นึกว่าตัวอายุ ๔๐ ปี นึกว่าตัวไม่ตาย เมื่อมันเป็นกายทิพย์อยู่เป็นหมื่นปีเป็นแสนปีได้ เพราะมันไม่กินอาหาร เหมือนเทวดา เทวดาชั้นที่ ๒(ยามา) อยู่ตั้งเก้าล้านปี เพราะเป็นกายทิพย์

เวลาอาจารย์ท่านเดินทางไปในดง ไปพบพวกนี้ ท่านบอกว่า เอ๊ะ! พวกนี้ ๕๐๐ ปียังไม่ตายเลย

ท่านว่าวิญญาณประจำร่างนี่ ถ้าเป็นเด็กเขาเรียกว่าแม่ซื้อ ซึ่งเข้าทรงได้

ทีนี้เราก็นึกได้ว่า อ๋อ! สมเด็จโตท่านคงแตกออกมาเป็นวิญญาณไม่อยากตาย ตั้งแต่ก่อนท่านสำเร็จตัวนี้อยู่ได้ มันก็มาเข้าทรงได้ มันจึงมีเข้าทรง มีผีเข้าแต่เราไม่รู้มาจากไหน

อาจารย์ในดงบอก นี่แปลผิดแน่ แปลคำว่าสัมภเวสีว่า วิญญาณแสวงหาที่เกิด ไม่เกี่ยวกับอภิธรรมที่จริงวิญญาณประจำร่างแตกออกเป็นสอง ดูได้จากฝรั่งถ่ายรูปคนฟื้น

หลักสูตรที่อาจารย์ในดงสอนพอจบปีที่ ๖ ท่านจะให้โดดเหว โดดเหวจนสลบ ๔ วัน ท่านจะให้รู้ว่าตายเป็นอย่างไร

กายหยาบอยู่ที่นี่ จิตแท้มันจะไปไหนได้ จิตประจำร่างมันจะไปกับกายทิพย์ จำญาติพี่น้องได้

ท่านบอกว่าออกไปเดี๋ยวเดียวไปขึ้นเครื่องบิน ซื้อตั๋วเขาก็ไม่ขาย ไม่ได้ยินเราพูด แต่ไปเจอคนตายพูดกันได้ คุยกันจ้อเลย

แต่เจอคนเป็นพูดไม่ได้ เขาไม่ได้ยิน ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ก็นั่งไป ไม่มีตั๋วก็ขึ้นไปนั่ง ไม่มีใครเห็น แอร์โฮสเตสผู้หญิงขึ้นมานั่งทับอีก ท่านบอก โอ๊ย! ต้องลุกออกมา

ที่สลบ ๔ วันไปเที่ยว เจอคนตายก็คุยกันได้ เจอญาติพี่น้องพูดกับเขา เขาก็ไม่ได้ยิน ท่านให้เห็นว่าตายเป็นอย่างไร จะได้ไม่กลัวตาย

ตายแล้วตัววิญญาณแท้ไปเกิดตัววิญญาณประจำร่างอยู่เป็นหมื่นปีแสนปี มันไม่ตาย ท่านว่ามันสลายมันไม่ไปเกิด นึกว่าตัวไม่ตาย

หลวงพ่อท่านสอนว่า วิญญาณนี้ ถ้าเผื่อได้สมาธิสูง จะทำได้ ๓ อย่างคือ

  • ทำกายหยาบได้เหมือนคน
  • ทำกลิ่นต่าง ๆ ได้
  • ทำเสียงต่าง ๆ ได้

เราพูดกับเขาก็ได้ ถามก็ได้ พบกันในดง พูดกันสองสามคำห้าหกประโยคแล้วก็ไป คล้าย ๆ คนละโลกจะไม่พูดกับเรานาน กายหยาบจะหายไป

เราก็รู้ว่า อ๋อ! วิญญาณที่วัดหลวง เขาทำได้ครบ ๓ อย่าง ทำเสียงพูดได้ ทำให้เห็นกายหยาบได้ ลงในน้ำเขาจับบีบเราได้ เราจับอะไรเขาได้

วิญญาณประจำร่างที่เป็นพระยอมตายดีกว่าเสียศีล เพราะว่าขณะที่ตัวเป็นสมาธิอยู่ ไปเกิดเป็นอะไรก็ได้ แต่วิญญาณประจำร่างที่นึกว่าตัวยังไม่ตายอยู่เป็นแสนปี ล้านปี เขากลัวบาป บาปต้องรับอยู่นาน

ที่อยู่นี่รับแค่ร้อยปีก็หมดแล้ว แต่วิญญาณประจำร่างรับอีกแสนปี ล้านปี ตายเสียดีกว่า ตายเป็นกายทิพย์เสียดีกว่า

คนไม่รู้อย่างนี้ถึงไม่กลัวบาป ถ้าเรารู้ว่าร่างนี้รับอีก ๑๐๐ ปีก็หมด แล้วมันอยู่ในวิญญาณประจำร่างเป็นแสนปี ล้านปี ก็ต้องไปรับกรรมอีกนมนาน ไม่เอาแล้วการทำบาป

ถ้ามองเห็นจุดนี้แล้วจะเห็นชัด แต่ไม่มีพระสอน มีแต่หลวงตา (อาจารย์ในดง) เท่านั้นที่สอน มีแต่สอนในหนังสือ มันจะต้องไปเสวยกรรมในวิญญาณประจำร่างกายทิพย์และจำได้นะ

ถ้าบุญตัวไม่พอ สมาธิไม่พอ เราพูดทำเสียงไม่ได้ ก็ทำให้ได้กลิ่น หรือก๊อก ๆ แก๊กๆ ไป อย่างนี้นี่วิญญาณทั่วไป

ถ้าวิญญาณมีสมาธิจริง ๆ มันทำได้ครบเลย ทำกายหยาบก็ได้ถ้าเดินป่ามาก ๆ จะเห็นพวกนี้มาแสดงตัวได้ หลวงพ่อถึงว่าปฏิบัตินี่แตกต่างกับปริยัติเยอะเลย

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ต่างกัน มีตัวอย่างที่วัดนี้

รายที่ ๑

นายวิโรจน์ ปัญจบุรี

นักศึกษาจากวิทยาลัยครูเชียงราย เคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันนี้ เมื่อสำเร็จการศึกษาได้ทำงานแล้ว อาจารย์สมเดช มุงเมือง ได้ชวนมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้อีก พร้อมกับพาคณะนักศึกษาจากวิทยาลัยครูเชียงรายมาด้วย นายวิโรจน์เกิดถูกรถชนตายก่อนที่จะถึงวันเดินทาง ได้มารายงานตัวที่หอประชุมภาวนากรศรีทิพา ที่อาตมาลงกฎแห่งกรรมไปแล้ว มีคนเห็นกันหลายคน

เขาตั้งใจมาปฏิบัติธรรมที่นี่แสดงเป็นกายหยาบได้ พูดได้ แต่มีข้อแตกต่างจากคนธรรมดาอยู่ ๒ ข้อ คือ ตาไม่กระพริบ และเวลาเดิน เท้าไม่ถึงพื้น เดินตัวแข็งออกไป จะไม่เชื่อได้อย่างไร พระบวชใหม่ ปริญญาตรี ปริญญาโท ต้องยอมรับเพราะเห็นกับหูรู้กับตา ถ้าไม่เห็นจะไม่เชื่อเลย

 

รายที่ ๒

พ.อ.วิโรจน์ ทสยันไชย

อดีตอนุศานาจารย์ กองทัพภาคที่สอง นครราชสีมา เป็นมะเร็งที่คอ น้ำเหลืองไหล ผ่ามา ๒ หนแล้ว หมอบอกว่าจะตายภายใน ๑ เดือน แต่ภรรยาแข็งแรง

พ.ศ. ๒๕๒๔ กองกำลังพลกองทัพบกได้จัดอบรมทหารรุ่นแรก โดยส่งอนุศาสนาจารย์มาก่อน พ.อ.วิโรจน์ได้เข้าอบรมด้วยและขอตายที่วัดอัมพวัน แต่โชคดีที่เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม จึงหายจากโรคมะเร็ง ได้ลงกฎแห่งกรรมไปแล้วเช่นเดียวกัน

เมื่อหายแล้ว อาตมาก็ขอให้ พ.อ.วิโรจน์ปฏิญาณตนต่อหน้าอาตมา บอกว่าให้จดไว้ ภรรยาของ พ.อ.วิโรจน์จะตายก่อน ทั้ง ๆที่แข็งแรงดี แต่จะล้มในห้องน้ำตาย อาตมาเคยไปเยี่ยมที่บ้าน ก็เห็นหนอ ศีรษะหายไปครึ่งหนึ่งรับรองตายก่อนสามีแน่ หลังจากนั้น พ.อ.วิโรจน์จะมีภรรยาใหม่ไม่ได้ ถ้ามีต้องตายแน่

พ.อ.วิโรจน์ ก็ปฏิญาณตนว่า “ครับ ผมจะไม่มีครับ ลูกก็โตหมดแล้ว อีกไม่กี่ปีผมก็ปลดเกษียณแล้ว” อาตมาก็อนุโมทนา ยถาสัพพีให้ไป

ต่อจากนั้น พ.อ.วิโรจน์ได้ไปซื้อที่สร้างวัดมงคลนิมิตที่จังหวัดนครสวรรค์ บรรจุพระบรมธาตุเมื่อก่อนก็เคยสร้างวัดที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา อาตมาก็ช่วยจนสำเร็จตามเป้าหมายทุกประการ

ต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.อ.วิโรจน์ ไปมีภรรยาใหม่ ก็เป็นไปตามดังที่อาตมาเคยกล่าวไว้

วันที่ ๒๔ ธ.ค. ๓๔ ล้มฟุบไปหัวใจวาย แล้วไปอยู่โรงพยาบาล ไม่พูดเลย พอวันที่ ๒๗ ธ.ค. ๓๔ เวลา ๕.๑๔ น. ก็ตาย

วันที่ ๒๒ ธ.ค. ๓๔ บ่นว่าอยากไปวัดมงคลนิมิต จ.นครสวรรค์ อยากไปไหว้พระบรมธาตุที่สร้างไว้พูดได้ ๒ วัน ก็ล้มไปเลย จิตใจก็ประหวัดถึงวัดมงคลนิมิต

วันที่ ๒๗ ธ.ค. ๓๔ เวลา ๕.๑๔ น. พ.อ. วิโรจน์ตายที่โรงพยาบาล เวลา ๗.๓๐ น. มาปรากฏตัวที่วัดอัมพวัน มาหาอาตมา อาตมาก็จะรีบไปฉันเพล

อาตมาได้บอกให้จำเริญ (เป็นผู้ที่ช่วยต้อนรับแขก) ต้มข้าวต้มปลามาเลี้ยง อาตมาก็ไม่ทราบว่าตาย ใส่เสื้อลายดอกสีน้ำตาล คาดผ้าขาวม้า

เมื่อทานข้าวต้มเสร็จแล้วก็มากราบอาตมา บอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมหิวจังเลย รับประทานเสียจนหมดหม้อหู ขออนุโมทนาผมหิวมาหลายวันแล้ว แม่จำเริญ เขาทำอร่อยจริง ๆ หลวงพ่อครับ”

และก็บอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมจะไปวัดมงคลนิมิต จ.นครสวรรค์” อาตมายังทำบุญไปด้วย ๕๐๐ บาท ไหว้พระบรมธาตุ

แล้วเขาก็บอกว่า เอาละ ผมจะรีบไป แต่หลวงพ่อครับ ผมขอสมเด็จชิ้นฟักของหลวงพ่อโตวัดระฆัง ๒ องค์ครับ องค์หนึ่งผมจะเอาไว้ใช้ อีกองค์ผมจะเอไปให้แฟน

พอบอกให้แฟน อาตมาตกใจแล้วถามว่า “มีแฟนแล้วหรือนี่ มีภรรยาหรือเปล่า” ผีนิ่งไม่พูด

ไหน ๆ ขอก็จะให้ อาตมาก็ให้สมเด็จชิ้นฟักไป ๒ องค์ พอได้รับเขาก็ใส่กระเป๋าพร้อมกับเงิน ๕๐๐ บาท ขอกราบนมัสการลาเดินออกหลังหอประชุม มีเสียงรถแล่นปี๊ดออกไป เขามาคนเดียว

อาตมาก็ไม่ได้สนใจไปดูเพราะจะรีบเดินทางไปวัดพระนอนจักรสีห์ต่อไป เรื่องก็หายไปถึงเดือนมกราคม ๒๕๓๕

มีอนุศาสนาจารย์ พ.ต.ชัยนาท ญาติฉิมพลี ได้มาที่นี่ อาตมาก็ถามว่าพบ พ.อ.วิโรจน์บ้างไหม เมื่อเร็ว ๆ นี้มาที่นี่

เขาก็บอกว่า หลวงพ่อ เขาตายแล้ว ตายเมื่อวันที่ ๒๗ ธ.ค. ๓๔ ผมยังไปงานศพมาเลย

เมื่อวันที่ ๘ เม.ย.๓๖ ลูกสาวลูกชายมาที่นี่มานิมนต์ไปงานพระราชทานเพลิงศพ อาตมาไปไม่ได้เลยให้ไตรไป ๒ ไตร และช่วยเงินอีก ๓,๐๐๐ บาท ฝากไปทำศพด้วย

ลูกสาวเขาบอกว่า “คุณพ่อ บ่นหิวแล้วก็ล้มไป” ก็เลยหิวมาวัดอัมพวัน

อาตมานึกอยากได้กระติ๊บไว้ใส่ข้าวเหนียว จะได้ใช้เลี้ยงพี่น้องชาวขอนแก่น ลูกสาว พ.อ.วิโรจน์ นำมาถวายเยอะเลย

ขอเจริญพรว่ากรรมฐาน สามารถรู้เหตุการณ์และโรคภัยไข้เจ็บได้ ใครเป็นโรคอะไร ใจเข้มแข็ง ตายให้ตาย หายทุกราย

พ.อ. ชม :
คนไม่รู้จักสัมภเวสีนี่เอง ถึงไม่กลัวบาปกัน ถ้ารู้สัมภเวสีแล้วจะไม่อยากทำบาปเลย

พระราชสุทธิญาณมงคล :
แต่การที่พระเขียนไว้ในหนังสือต่างกันเยอะเลย พวกมาแปลทีหลังไม่ตรง จึงได้ค้านกันมา ถ้าปฏิบัติจะรู้เหมือนกันนะท่านนะ จะไม่มีค้านกัน มันเห็นของจริงแล้วไม่ค้านเลย

พ.อ.ชม :
หลวงพ่อดำ ท่านให้เห็นของจริงนี่ เอ้าลองตายดูซิ โดดเหวดู

พระราชสุทธิญาณมงคล :
โยม พ.อ. ชม อาตมาได้ความรู้จากองค์นี้มาก และที่อาตมาไปค้างบ้านท่าน ที่กรุงเทพฯ หลวงพ่อดำบอกให้ไป ไปค้างสองคืนจำได้ไหม ที่บ้านเตาปูนน่ะ ท่านบอกให้ไป แต่อาตมาไม่ได้บอกท่านเอง มันออกมาอย่างนี้

พ.อ.ชม :
หลวงพ่อดำเคยมาช่วยผมรักษาที่บ้าน ภรรยาผมป่วยหนัก จะแย่มีแพทย์มีหมอมาจาอเมริกา

พระราชสุทธิญาณมงคล :
นึกถึงท่านอยู่ ๔-๕ วัน อยากจะพบท่านเหลือเกิน มาคุยกันเรื่องนี้

พ.อ.ชม :
ผมก็จะถามท่านถึงเรื่องนี้

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ตรงกันเลยเห็นไหม

พ.อ. ชม
ตรงกันครับ

พระราชสุทธิญาณมงคล :
เราอยากได้อะไร เดี๋ยวท่านจะบอก บอกใครเขาก็ไม่เชื่อ ท่านบอกอย่าเอาอย่างนี้ซิ ใช้ไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็จริงเลย จะออกมาในรูปแบนี้ ชัดเจนแล้ว

พ.อ.ชม :
ถ้าเป็นลูกศิษย์ในดง ท่านคุมแจ ทุกวิญญาณเลย เช่น อาจารย์ประทุม ที่อยู่ที่ยุโรป ขัดส้วมได้ และเดินได้

พระราชสุทธิญาณมงคล :
นี่เรื่องจริง สัมภเวสีนี่นึกว่าเป็นกายทิพย์ เป็นวิญญาณประจำร่างเลย ของสมเด็จโตยังลอยอยู่เป็นวิญญาณประจำร่าง ถ้าใครจูนได้เข้าเลย ไปเทศน์ที่จังหวัดนนทบุรี เทศน์เรื่องสิบสองนักษัตร ท่านยังเทศน์ได้ แต่จิตที่เป็นกระแสยังลอยอยู่

พ.อ.ชม :
มีคนชอบถามว่า สมเด็จโตองค์เดียวทำไมเขาทรงได้ตั้ง ๑๐ กว่าแห่งพร้อม ๆ กัน เข้าพร้อมกันไง ก็ไม่รู้ รึ มันเป็นนามธรรม มันเป็นอัน ๆ ได้ไง

พระราชสุทธิญาณมงคล :
มันแยกออกไป

พ.อ.ชม :
มันเป็นนามธรรม อย่างบุญเนี่ย แผ่เมตตาแล้ว ก็หมดน่ะซิ มันเป็นนามธรรม ไม่มีเป็นอันมันก็ไม่หมด ยิ่งแผ่ไปยิ่งดี

เหมือนกับวิญญาณ มันเป็นนามธรรม เรื่องอะไรจะไปนับเป็นตัว ๆ นับเป็นอัน ๆ เป็น ๑๐ อันอย่างไรได้ ไปนับมันก็ผิดน่ะซิ นั่นแหละวิญญาณประจำร่าง มันไปเข้าทรง ๑๐ แห่งพร้อมกัน จะเป็นอะไรไปเล่า

หลวงพ่อดำท่านพูดว่า “บุญมันไม่มีตัว มันนับไม่ได้ เรื่องอะไรจะไปนับ ก็เลยหายสงสัย เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยสั่งสมาธิมันก็เซ่องง นั่งไปก็เกิดความเข้าใจว่า บุญนับเป็นตัวได้ไหม ก็เข้าใจทันที

พระราชสุทธิญาณมงคล :
มันเกิดความเข้าใจทันทีเข้าใจเป็นปัจจัยตังนะ

พ.อ.ชม :
มันก็แปลกดี ถ้านั่งสมาธิภายในปัญญาค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีอาจารย์เก่ง ๆ สอน เราก็เดินทางลัดได้ คล้าย ๆมันรู้ มันเช็คตรงกับเราได้หายสงสัย คล้าย ๆมีเครื่องทดสอบ มีของจริง แค่เช็คว่าเป็นหลวงพ่อองค์เดียวกันก็พอใจแล้ สงสัยมานานแล้ว

พระราชสุทธิญาณมงคล :
แน่นอน อาตมาจะเล่าให้ท่านฟังหลายเที่ยวแล้ว มันเล่าไม่ได้ คนมันเยอะ วันนี้ต้องตัดแขกเล่าให้ฟังเลย เพราะอยากจะเล่ามานานแล้ว มันไม่เหมาะโอกาส

วันนั้นไปพบกันที่ลพบุรี ที่บ้านงานก็เล่าไม่ได้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง เขาก็หาว่าเป็นอะไรกันทำไมเป็นอย่างนี้

อาตมาได้ผลนำมาสอนก็เพราะได้หลวงพ่อในป่านี่เอง ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย เล่าแล้วเขาจะเชื่อเราหรือ เขาไม่เชื่อหรอก

พ.อ.ชม :
แต่ถ้าเขารู้วิญญาณประจำร่างนี้ มันจะกลัวบาปเยอะ

พระราชสุทธิญาณมงคล:
เป็นกฎแห่งกรรมไงล่ะ มันออกมาชัดเจน เห็นไหมนี่

พ.อ.ชม :
ไปแปล “สัมภเวสี” ไม่ถูกแปลว่า วิญญาณหาที่เกิด วิญญาณพเนจร เลยเลอะเทอะไปเลย

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ใช่ ใช่ เลยแปลความนั่นผิดเพี้ยนไปเลย

พ.อ.ชม :
ก็เลยเข้าใจผิด ผิดแล้วไปเถียงกัน ตายแล้วเกิดไหม?

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ถ้าปฏิบัติแล้วจะเห็นได้ชัด

พ.อ.ชม :
มันก็แปลกดี มันรู้จักบาป ก็เลยหายสงสัย ได้ประโยชน์ที่แท้จริง

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ใครสงสัยมาถามอาตมามานี่ มีคนไทยอยู่คนหนึ่ง เป็นไทยแท้ชื่อยายเภา ตาเล่งฮ่วยเป็นคนจีน พูดไทยไม่ได้เลย ผูกคอตาย ไปเข้ายายเภา

ตอนนั้นอาตมาบวชใหม่ ๆ ไม่เข้าใจเรื่องไล่ผีกรอก แต่เขามาตามก็ลองไปดู ไปถึงปั๊บยายเภาพูดภาษาจีนกลาง อาตมาต้องให้ไปตามตาแป๊ะเล่งเจีย มาส่งภาษาจีนกลาง ถึงได้ความว่า วันนี้วันโกนวันพระ เขาหยุดงานจึงมาได้

อาตมาถามว่า ลื้ออยู่ที่ไหนล่ะ

เขาบอกว่า อยู่กับฮ้วยเซียเถ้า ชื่อมด เป็นเจ้าอาวาสวัดกลางพรหมนคร อยู่เหนือตลาดปากบางนี่เอง ผูกคอตายที่หลังตลาด

อาตมาก็ไม่รู้จัก เพราะเป็นเวลานาน ๕๐-๖๐ ปีแล้ว ไปถามคนเก่าว่าจริงไหม เขาก็บอกว่าจริง

หลวงตามดเป็นสมภาร จะสร้างโบสถ์ ได้เงิน ๓๐ ชั่งก็เก็บไว้ มรรคทายกวัดบอกว่า พระเก็บเงินไม่ได้ ให้มาฝากไว้ ก็ให้ญาติโยมไป ถึงเวลาสร้างไม่นำมาให้ โกงท่าน ท่านเลยผูกคอตายไม่เคยนั่งกรรมฐาน เป็นพระหลวงตาเลยมาอยู่กับตาเจ๊กเล่งฮ่วย ขุดดินทุกวัน

อาตมาถามว่า อยู่ตรงไหน

เขาบอกว่า “เอ๊ะ! อั๊วเจอลื้อทุกวันนะ ลื้อเดินผ่านอั๊วทุกวัน อั๋วทักลื้อ ลื้อไม่พูดกับอั๊ว”

อาตมาถามว่า ลื้อกินข้าว ที่ไหน

เขาบอกว่า กินที่กองขยะ

และถามเขาว่า มาทำไม

เขาบอกว่า วันโกน วันพระเขาให้หยุด ไม่ต้องทำงาน อั๊วมานี่ ต้องการให้ลื้อไปสั่งอาเจ๊เจีย บอกว่า ที่อั๊วผูกคอตายไม่ใช่เสียใจอะไร อั๊วตักน้ำให้ทำขนมขายแล้วไม่ให้สตางค์อั๊วกินยาฝิ่น อั๊วเสียใจ เลยผูกคอตาย ลื้อไปบอกอาเจีย หลานสาวอั๊วด้วย ไม่ต้องทำบุญเพราะไม่ได้รับ

พ.อ. ชม :
มันไม่อยู่ในฐานะที่จะรับได้

พระราชสุทธิญาณมงคล :
เลยนรกสวรรค์อยู่ในภพนี้ เรามองไม่เห็นเอง

พ.อ.ชม :
เป็นกายทิพย์

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ตาเล่งฮ่วยบอกว่าทำงานอยู่สองคนกับฮ่วยเซียเถ้าชื่อมด วันโกนวันพระเขาหยุดไม่ต้องทำงาน ต้องขุดดินอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ขุดเขาจะตี ผูกคอตาย ห้าหกสิบปีแล้ว ยังไม่เกิดเลย

พ.อ.ชม :
นี่แหละวิญญาณประจำร่างรับกรรม

พระราชสุทธิญาณมงคล :
อาตมาก็ถามว่า ลื้อทานข้าวที่ไหน หลวงตามดไปฉันข้าวที่ไหน

ตาเล่งฮ่วยตอบว่า ไม่ได้ฉันที่ไหนหรอก กินกับอั๊ว อั๊วก็ไปเลือกกองขยะให้มันกิน กินหนอนบ้าง กินอะไรบ้าง

อาตมาเชื่อหมื่นเปอร์เซ็นต์เพราะอะไร พอตาเล่งฮ่วย ออกจากยายเภา ยายเภาเป็นคนไทย เจี๊ยะปึ้ง แกยังไม่รู้เลย ภาษาจีนก็ไม่รู้ แล้วทำไมพูดจีนกลางได้

ตาแป๊ะเล่งเจีย เป็นเจ๊กนอกมาเป็นล่ามให้ แกบอกว่า อั๊วเชื่อแน่ เมียอั๊วเป็นคนไทย อาม้าอั๊วมาเข้าเมียอั๊ว เมียอั๊วพูดเจ๊กไม่เป็นหรอก มันพูดเจ๊กกับอั๊วได้ ด้วยแล้วจะไม่จริงยังไง บอกได้เลยว่าอะไรอยู่ที่ไหน และอยู่เมืองจีนทำไมมาเมืองไทยได้ แป๊บเดียวมาถึงแล้ว

เมื่อก่อนอาตมาก็ไม่เชื่อ มาเห็นเข้าก็ต้องเชื่อ ยายเภาเป็นไทยแท้ ภาษาแต๊จิ๋วก็ไม่รู้ ภาษาจีนกลางก็ไม่รู้ แต่พูดภาษาจีนกลางได้เลย

พ.อ.ชม :
ผมได้บทเรียนจากหลวงพ่อพุทธทาส ผมไปกราบท่าน โดยมากผมจะอยู่บนยอดเขา บนนั้นมีกุฎิ ๓-๔ หลังให้พระขึ้นไป

ผมเห็นพระอยู่กุฏิใกล้กันก็เดินไปถามว่า หลวงพ่อนั่งสมาธิวันละกี่หนครับ

ท่านบอกว่า อ้อ! อาตมาไม่ต้องนั่งหรอก กำหนดรู้เฉยๆ อาตมาไม่นั่งสมาธิ พอครบ ๗ วันก็ลงมา ลงมาถามหลวงพ่อพุทธทาสว่า

พระเดชพระคุณมีวิธีสอนใหม่หรือครับ ผมถามพระข้างบนท่านบอกว่าไม่ต้องนั่งสมาธิ”

หลวงพ่อพุทธทาสก็ตอบว่า อาตมาเรอะทำที่ฝึกให้ทุกคนเขามาฝึก ใครจะฝึกวิธีไหนก็ฝึกไปมันดีกว่าคนไม่ฝึก” ท่านว่าอย่างนั้น

พระราชสุทธิญาณมงคล :
จริง ๆ

พ.อ. ชม :
วิธีฝึกนี่ ท่านเอาอันเดียว บางทีมันไม่ตรงกับจริต มันก็ไม่ขึ้น หลวงพ่อนี่เมื่อก่อนพุทโธเปลี่ยนเป็นพองหนอ ยุบหนอ ก็แล้วแต่จริตคน

คนที่มันต่างจิต เหมือนอย่างกับหลวงพ่อพุทธทาสว่า ชอบวิธีไหน มันฝึกได้ก็ช่างมัน ดีกว่าคนไม่ฝึก

คนฝึกพุทโธ ลูกศิษย์ผมคนหนึ่ง ไปฝึกแบบลูกแก้ว แบบวัดปากน้ำ แล้วกลับไปดี ก็แล้วแต่จะถูกกับจริต

ที่จริงขึ้นกับบุญเก่าที่สะสมมาตั้งหลายชาติ ถนัดทางไหนก็ไปทางนั้น

เอาตามแบบหลวงพ่อพุทธทาสก็ดีนะ ท่านว่า คุณถนัดทางไหนก็ไปทางนั้น แต่ธรรมะส่วนกลางก็สอนเป็นส่วนกลาง

การที่จะละกิเลส ละอะไรก็เหมือนกันหมด ถนัดวิธีไหนก็ฝึกไป แต่ท่านจะเทศน์ธรรมะส่วนกลาง จะสอนธรรมส่วนกลาง

ที่ท่านเขียนหนังสือได้แตกฉาน บางคนก็ไปติท่าน บางทีท่านเขียนสูงเกินไป ก็แล้วแต่ระดับของคน พออ่านไม่ถูกก็ว่าไม่เชื่อ

ที่จริงท่านได้ ฌาน ผมอยากให้คนอื่นรู้บ้างว่าท่านได้ฌานจริงหรือเปล่า พอเวลาฉันบนศาลาให้พรเสร็จ ผมก็ถามว่า พระเดชพระคุณครับ พระเดชพระคุณได้ฌานแล้วทำไมไม่เดินฌาน

ท่านไม่กล้าตอบหรอก เพราะถ้าตอบว่า ได้ ฌาน เป็นอวดแล้ว ถ้าว่าไม่ได้ก็โกหกอีก ท่านจะไม่ตอบ ท่านก็คิดอยู่ ๓-๔ นาที คนก็จ้องฟังท่าน

ท่านก็ตอบออกมาว่า มันเป็นส่วนเกิน คือไม่ต้องเดินฌานก็ไปวิปัสสนาได้ ท่านว่าเป็นส่วนเกิน เราก็ไม่ถามต่อ

ท่านเขียนหนังสือ ท่านไม่ได้เขียนโกหกเลอะเทอะ คือมันสูงเกินไป บางคนอ่านไม่เข้าใจ ท่านชอบพูดสูง ที่จริงท่านได้ฌาน ท่านก็ได้จริง ญาณพิเศษท่านเยอะแยกจะไปว่าท่านยังไง

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ไม่อย่างนั้นท่านจะเขียนหนังสือได้เหรอ เขียนดีด้วย มันออกมาเอง

พ.อ.ชม :
เขียนเต็มห้องสมุดเลย ถ้าพูดถึงคนเขียนหนังสือมาก ๆ ก็มีมหาปุ้ย ก็ยังเป็นรองท่านมาก ๆ ก็มีมหาปุ้ย ก็ยังเป็นรองท่านกว่าครึ่งท่านยังเขียนมากกว่า

คนสมัยใหม่นี่ไม่มีใครสู้ แต่คนเก่งจริง ๆ ไม่เขียนเสียอีก บางทีเราต้องไปแคะถาม ไม่อย่างนั้น คนเข้าใจผิด แปลผิดเยอะนี่ เพราะว่าไปเติมของพระพุทธเจ้ากับไปตัดออก

อย่างสมมติว่า “วิปัสสนา เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน”

ไปต่อบอกว่า “วิปัสสนาเท่านั้นเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน” ก็ผิดไปแล้ว เพราะกายคตาสติก็ไปถึงนิพพานได้นี่

พระพุทธเจ้าถึงไม่ได้แยก สมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน ดูขึ้นต้นวิปัสสนามหาสติปัฏฐานสี่เริ่มต้นก็อานาปานั่นแหละ

พระราชสุทธิญาณมงคล :
พุทโธ พองยุบ อันเดียวกันก็อานาปานั่นแหละ หายใจเข้าออก อันเดียวกัน มันไม่เข้าใจ

พ.อ ชม :
แต่ทีนี้ พองหนอ ยุบหนอ กับพุทโธ นี่ มันใช้ของในกาย เราไปเอาลูกแก้วหรือเอาอย่างอื่นมันไกลต่อการที่จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พองหนอ ยุบหนอ ก็อยู่ในกายนี่แหละ

ฉะนั้น เวลาหลวงพ่อท่านอธิบาย ก็พิจารณากายอยู่ที่นี่ อย่าไปเอากายนอก แล้วไปแปลผิด เมื่อคืนออกวิทยุ ก็ยังเทศน์ผิดอยู่ เทศน์ผิดว่าอย่างไร

ท่านว่า สหิทาวา กายนอกเขาอธิบายมาแล้วว่า เห็นซากศพเป็นกายนอก เห็นแล้วน้อมมาถึง กายตัวเอง แล้วถึงจะมาดูว่า กายข้างในของเราเป็นอย่างไร กายข้างนอกเป็นอย่างไร

กายนอก สหิทาวา กายนอกของเรานี่ ผิวหนัง เกสา โลมานขา ไปแปลว่า กายนอก คือกายที่อยู่นอกจากตัวเรา มันผิด

เขาพูดตั้งแต่ซากศพมาก่อนจนน้อมเข้ามาใส่ตัวแล้ว ยังจะไปเอาตรงนี้อีก

เห็นกายในกาย เขาก็พูดอีก อิมัสมิง กาเย ในกายนี้ จะไปเอากายอื่นมาได้ที่ไหน เรื่องอะไรจะไปเอากายข้างนอก ไปเอาข้างนอกบ้าง ข้างในบ้างก็ยุ่งตายซิ

พระราชสุทธิญาณมงคล :
อิมัสมิงกาเย เกสา โลมากายในกาย

พ.อ. ชม :
สหิทาวา กายข้างนอกก็ไปเอาข้างนอก มันก็ผิด ง่าย ๆอย่างนี้ก็สอนผิด แล้วออกวิทยุไปผิด ๆ

และทีนี้ พวกฝึกสมาธิ ไปฝึกแบบนกแก้ว เกสา โลมา นขาทันตา ตโจ ไปดูนกแก้ว ซี นกแก้วมันก็ว่าได้ มันไม่รู้ว่าเกสาคืออะไร

ผมเนี่ยอายุตั้ง ๗๐ กว่านะ ผมถึงจะรู้ว่า มันเป็นซากศพ มันเป็นอย่างไร พิจารณายังไง หลวงพ่อว่าพิจารณายังไง เกสา พิจารณายังไง

เราไปพิจารณาตามพระเทศน์ที่อยู่ก็อยู่ในเลือด สีมันก็ไม่งามกลิ่นมันก็เหม็น ผมว่าสอนไปเกือบตาย ก็ไม่เห็นจะเข้าใจว่ามันน่าเกลียด ไปเดินอยู่บนเขาอายุตั้ง ๗๐ กว่าแล้ว ก็คิดว่ามัน ทำไมถึงน่าเกลียด เป็นอสุภะไม่งาม

เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า เขาสอนแค่ห้านี่แหละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เอาแค่อันเดียวมันก็สว่างไสวถ้าคนเห็น

อย่างผมนี่ รากผม เป็นตัวเป็น พอเขาแปล ชีวิตรูป คือ รูปที่มีชีวิต เขาก็ว่าชีวิตรูป ชีวิตรูปอยู่นั่นแหละ ความจริงมันก็ตัวเซลล์เรานี่แหละตัวชีวิตคือตัวเซลล์

แทนที่เราจะว่า ชีวิตรูป เป็นบาลี เราก็บอกตัวชีวิต มันเกิดในกระดูก มันอัดกันแน่นก็เป็นกระดูก ตัวชีวิตตัวนิดเดียวต้องใช้กล้องส่องจึงจะเห็น

ยุงตัวใหญ่ ๗ วันตาย ตัวชีวิตนี่ครึ่งวันตาย ชาวฝรั่งคิดไว้ว่ามีตั้งห้าหมื่นล้านตัว เพราะฉะนั้นตายไปเกิดไป ไม่ใช่ชีวิตตัวเดียว เล็ก ๆ โตขึ้น ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น

มันแยกเหมือนตัวตืด วิชาแพทย์ส่องกล้องเห็น ตัวหนึ่งแบ่งกึ่งกลางก็เป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด เหมือนตัวตืด

ฉะนั้นตัวเกิดก็เกิดไป ตัวตายก็ตายไป ครึ่งวันก็ตายแล้ว ตกลงมันก็ตายเรื่อย ดังนั้นไปว่าเกิดดับถี่ยิบไม่มีทางเข้าใจหรอก ถ้าไม่เอาตัวชีวิตอย่างในพระไตรปิฏก

ตัวชีวิตนี่ เพียง ๑ วินาที แป๊บเดียวตายเป็นแสน ตายอยู่เรื่อย ธาตุลมก็ตีออกมา ข้างนอกนี้เป็นตัวตายทั้งนั้น เช่น เส้นผมเป็นตัวตาย ขนก็เหมือนกันตัวเป็นฝังอยู่ข้างใน

ตัวตาย ธาตุลมตีออกมา ตีออกเป็นเส้น เราก็รู้ว่าตายไปตัดอย่างไรก็ไม่หด และขนก็เหมือนกัน หนังตัวตายก็ไล่ออกมากระดูที่ตายก็ไล่ กระเด็นออกมาเรื่อย ปลิวไปเรื่อย

เราอยากจะรู้ว่า คนนี่โง่หรือไม่โง่ ฉันถามแกอย่างเดียวว่า แกเกลียดซากศพหรือไม่เกลียด แก อยากไปกอดไปจับมันไหม ถ้าไม่อยากกอด จำให้แม่น ๆ นะ ว่าแกเกลียดซากศพนะ

เพราะเส้นผมที่เกิดจากตัวตายกระเด็นออกไป ตัวตายก็ตายไป ตัวเกิดก็เกิดไป ออกมาเรื่อยมันเป็นเส้นผมเกสา โลมา นขา ก็เหมือนกัน

ที่ฝังเนื้อเป็นตัวเป็น ที่ยาวออกมาต้องตัดทิ้งเรื่อยเป็นตัวตาย ธาตุลมตีออกมาเรื่อย โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ตัวตายอีก มันก็ปลิวไปเรื่อย เวลาเราส่องกล้องดูมันก็เต้นยุบยับ ตัวนี้แหละ ตัวตายออกมาตามรูขุมขน

ผมบอกว่าแกไปชอบทำไม ถ้าชอบก็โง่ซิ แกเห็นซากศพ แกว่าแกเกลียด ทำไมแกไม่ชอบเล่า กรรมฐาน ๕ นี่ ถ้าเห็นเป็นซากศพก็น่ารังเกียจ ข้างในยังไม่ได้พูดถึง เป็นเลือด เป็นหนอง แต่มันหลงข้างนอก คือ หลงซากศพ ไหนว่าเกลียดซากศพไง เขาถึงว่า โอ้! เราโง่ขนาดนี้เชียวหรือ

เมื่อสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ตรัสกับนางมันคันธิยาว่า …ร่างกายกำลังเน่าเปื่อยอยู่ เป็นของโสโครก สกปรก อาตมาไม่ต้องการแม้แต่เอาเท้าไปแตะต้อง

นางมาคันธิยาโกรธ พอได้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทน พระพุทธเจ้าเสด็จโกสัมพี ก็จ้างคนด่าเจ็ดวัน โมโหตั้งแต่ถูกว่าตอนเป็นสาวว่า แม้แต่เท้ายังไม่อยากแตะต้อง ถ้าไม่ว่าอย่างนั้นมันไม่กลับหรอก มันตามตื๊อจะยกลูกสาวให้ท่าน

มีในพระในพระไตรปิฎก กายกำลังเน่าเปื่อย กายเต็มไปด้วยหลุมมูตรคูถ แล้วจะพิจารณาอย่างไร ถ้ามัวเอาแต่รูปนั่ง รูปยืน เมื่อไรจะน้อมมาเข้าตัว เพราะฉะนั้นเราจะตีปัญหาตามพระพุทธเจ้าไม่ได้

กายกำลังไหวเคลื่อนอยู่เรื่อย ไม่ได้อยู่นิ่ง เพราะตัวชีวิตมันก็ดุกดิกของมัน กายกำลังไหวเคลื่อน กายเต็มไปด้วยมูตรคูถ กายเต็มไปด้วยหลุมฝังศพ กายเต็มไปด้วยแผลเน่า แล้วเราจะพิจารณาอย่างไร จึงจะเห็นตามท่าน

ต้องพิจารณาตัวเป็นชีวิตนี่ เพราะตัวชีวิตมันมีกิน มีถ่ายออกและมีตัวตาย มันไม่ออกทีเดียวพรวดหมด เพราะฉะนั้นหลุมฝังศพก็มีทั่ว ร่างกายก็เต็มไปด้วย หลุมฝังศพ เต็มไปด้วยมูตรคูถของตัวชีวิต

ไม่ใช่เฉพาะอุจจาระในลำไส้เรา ทุกจุดในร่างกายก็มีแต่มูตรคูถ ร่างกายกำลังเน่าเปื่อย ตัวชีวิตมันตายก็เน่าเปื่อย มันก็กำลังเน่าเปื่อย

ร่างกายทำไมเหมือนแผลเน่าเต็มไปด้วยแผลเน่า รูขุมขน รูเหงื่อตัวชีวิตออกมาทางรู มันก็เหม็น ซากศพนี่ น้ำที่เหม็น มันไม่ค่อยเหม็น ถ้าเราไปกวนมัน มันก็เหม็น เช่น พอถูเข้านี่เหม็น

ตัวตายนี้เองเหม็น หลุมต่าง ๆ มีมูตรคูถ มีตัวตายออกมา มันก็ไม่ต่างกับแผลเน่า เพราะมันเป็นรูและมีของเน่า

ฉะนั้นท่านถึงว่า ร่างกายเต็มไปด้วยแผลเน่า ถ้าเราทำกรรมฐานไปเรื่อย ๆ ก็ลดราคะลงไปชัดเจนแล้ว ทุกพุทธพจน์จะตีแตก ถ้าเรามาถึงตัวชีวิตนี่

แต่ไปพูดชีวิตรูปมันไม่เข้าใจกัน แล้วท่านก็ไม่ได้ตีแตกว่า มันตายอยู่เรื่อย มันเคลื่อนอยู่เรื่อย เราดูอนิจจัง ดูการเคลื่อนไหว ไม่เป็นตัวตน เราก็มาดูตัวนี้มันตาย

มันมีแต่ตัวสัตว์ แล้วเรื่องอะไร จะเป็นตัวตน แยกออกเป็นตัวสัตว์แล้วก็ไม่มีตัวตน ไม่เชื่อก็เดินลอดภูเขาเลย ลอดไปได้อย่างไร มันก็แจ่มแจ้งขึ้นมา มันลัดขึ้นเดินไปบนเขาตั้งนาน เพิ่งรู้ตัวตายนี่เอง

หลวงพ่อบอกว่า แกเกลียด ซากศพนี่ แกจำไว้แกโง่หรือฉลาดเห็นไหม? แกไปชอบซากศพได้ยังไง เอ๊ะ! การสอนอย่างนี้เขาไม่ยักสอนกัน มันต้องค่อย ๆ หาเอง

ตกลงกรรมฐานห้านี่ดูซากศพทั้งนั้น มันปลิวออกมาเรื่อย มีการไหวเคลื่อน พลัดพรากจากเราไปเรื่อย อะไรพราก ก็ตัวชีวิต นี่มันพรากไป ตัวเล็ก ๆนี่พลัดพราก

ห้าอย่างนี่เห็นชัด แต่เขาไม่ได้บอกว่าอย่างนี้ ไม่ได้บอกเป็นซากศพ เราก็ไม่รู้เรื่องสักที เดินเขาตั้งหลายเขากว่าจะรู้ อ๋อ! เป็นอย่างนี้เอง หรือ เกิดดับ

พระท่านสอนเกิดดับ สอนยังไงไม่เข้าใจสักที ผมฟังก็ไม่เห็น มันเกิดดับยังไง เราฝึกไปก็เห็นการเกิดดับถี่ยิบ เกิดทีละมาก ๆ ขณะจิตเดียวมันก็ตายไวมาก

คนยังเล็ก ๆ ตัวเกิดมากกว่าตัวตาย เหมือนพลเมืองเพิ่ม ตัวเกิดมากกว่าตัวตายตัวก็โตขึ้น พอแก่ลงเหี่ยวย่น ตัวตายมากกว่าตัวเกิด ไปเตะอะไรทีเดียวกระดูกหักไปแล้ว

คนแก่ ตัวเกิดน้อยกว่าตัวตาย มันก็เปราะไป เหี่ยวไป ย่นไป กว่าเราจะได้ก็เดินหลายเขา ผมก็ยังงงว่า ทำไมเขาไม่สอนอย่างนี้

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ไม่ได้สอน สอนตามหนังสือ มันสังคายนาพระไตรปิฎกมาหลายรุ่น ใครมีปัญญาก็สังคายนากันมา แล้วก็ทั้งเติมทั้งต่อ เลยก็เพี้ยนไป

 พ.อ.ชม :
ทีนี้พระไตรปิฎกว่าตรงนี้แล้วไปว่าตรงโน้น เขาอ่านที่เดียวนะ แล้วไปบรรยายวิทยุ อาจารย์คนนี้เขาว่าเก่งด้วย เขาว่า จิตนี้อาศัยรูป ถ้าไม่มีรูปจิตอยู่ไม่ได้ จิตอยู่ตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยรูป พูดอยู่แค่นี้ เน้นอยู่แค่นี้ พิโธ่เอ๋ย! ทำไมไม่อ่านให้จบ

ผมก็เขียนส่งไปว่า “ต้องยกเว้นอรูปพรหม ไม่มีรูปจิตอยู่ได้อย่างไร” ต้องบอกยกเว้นอรูปพรหมบ้างซิ แกอ่านไม่หมดนี่ ต้องเอามาผสมให้ดีซิ

พระพุทธเจ้าสอนทีเดียวให้หมดไม่ให้หรอก ต้องตรวจเอามาไปเอาอภิธรรมบทเดียวมาสอนคนฟังก็โง่ตามซิ

และพรหมชั้นที่ ๑๖ นี่ มีแต่จิตไม่มีรูป ทำไมไม่ตาย หมดอายุแล้วเกิดได้ แต่นิพพานนี่ไม่มีทั้งรูปไม่มีทั้งจิตยังอยู่ได้ เรื่องอะไรจะอยู่ไม่ได้ ผมถึงว่า ที่เขาสอนกันบางทีมันก็ตก ๆ ไป

พระราชสุทธิญาณมงคล :
ถ้าไม่ปฏิบัติจะรู้ไม่จริงเลย และดูหนังสือมาสอนก็ไม่เกิดประโยชน์นะ ไม่ละเอียด

พ.อ. ชม :
สำคัญสอนคนผิดไป ไปนึกว่าไม่มีตัวตน มันก็ไม่เข้าใจกันหรอก มันต้องได้สมาธิ ได้คลำดูจึงจะรู้ว่า อ้อ ! ไม่มีตัวตนจริง ๆ ถ้ามันมีตัวชีวิตหมด มันก็เป็นตัวสัตว์ไม่ใช่ตัวเรา มันต้องพิจารณากันลึกซึ้ง กว่าจะได้

สอนคนธรรมดาว่าไม่มีตัวตน มันสอนลำบาก สอนคิหิปฏิบัติให้ได้ก่อนเถอะ อย่าไปเอาไม่มีตัวตนเลย ไปย้ำกันมาก ๆ มันก็เท่านั้นแหละ

พระราชสุทธิญาณมงคล :
แล้วก็ไม่ได้อะไรด้วย เสียเวลา

พ.อ.ชม :
เขาก็ไม่ค่อยเชื่อกัน มันจริงหรือเปล่านะ มันก็เลยยุ่งไปอีกท่านจะมีธุระไปไหนมั๊ง ผมได้สมความปรารถนา เดี๋ยวก็ต้องลาหลวงพ่อแล้ว รบกวนเพียงเท่านี้ กลุ่มนี้มาด้วยกัน มากราบขอพรหลวงพ่อ ค้าขายจะได้กำไรดีรักษาเงินทองได้

พระราชสุทธิญาณมงคล :
เราคุยกัน เพื่อจะได้เข้าใจ วันหน้าค่อยคุยกันใหม่ ได้ประโยชน์มาก

 

บันทึกเทปโดย
พระนรินทร์ สุภากาโร