ประสบการณ์การไปบำเพ็ญกุศลที่วัดอัมพวัน

โดย วิเชียร บุนนาค
(อดีตผู้จัดการธนาคารออมสินภาค ๗ จ.ขอนแก่น)

ข้าพเจ้าเดินทางจากบ้าน จ.ขอนแก่น ไปวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ตามคำแนะนำของท่านอาจารย์บุญส่ง ออกจากบ้าน ๒๑.๓๐ น. มาตามเส้นทางบ้านไผ่-ชนบท มัญจคีรี-ช่องสามหมอ-แก้งคล้อ อีกประมาณ ๒๐ กม. จะถึงชัยภูมิ ไฟหน้ารถเกิดดับไปเฉย ๆ จอดรถข้างทาง อาศัยไฟฉายเล็กที่นำมาด้วย เปิดฝากระโปรงรถยนต์ดูก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะผู้ที่ร่วมเดินทางไป ผู้ชาย ๔ ผู้หญิง ๑ ขับรถเป็นทุกคน แต่ดูเครื่องไม่เป็นสักคน จอดรถอยู่ประมาณ ๒๐ นาที เลยให้ลองสตาร์ทรถดูใหม่ ลองไฟก็ติดดี จึงขับเรื่อยมา ไฟหน้า ไฟต่ำ-ไฟสูง ติด ๆ ดับ ๆ มาตลอดจนถึงชัยภูมิ แวะร้านข้ามต้ม ๒๔ น. เศษแล้ว ในใจผมคิดว่าเราคงไม่มีบุญวาสนา กินข้าวต้มแล้ว ถ้ารถ ไฟไม่ติดใช้ไม่ได้ ก็จะกลับ ตอนนั้นในใจผมคิดคนเดียว และคิดกราบไปถึงหลวงพ่อใหญ่ วัดอัมพวัน ว่า ถ้าบุญผมมีจะได้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ที่ จ.สิงห์บุรี ก็ขอให้รถยนต์มีไฟหน้า รถสะดวก อย่างให้การเดินทางมีอุปสรรคใด ๆ เลย

เมื่ออธิษฐานในใจแล้ว ก่อนจะเดินทาง ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า ถ้ารถยนต์ไม่เรียบร้อยก็จะสั่งเดินทางกลับขอนแก่น แต่เมื่อทดลองเครื่องเปิดไฟรถยนต์ ทั้งไฟใกล้-ไฟไกล-ไฟหรี่ ก็ยังไม่ดีเท่าเก่า ตอนนี้คุณสุธีได้ไปจับ ๆ คลำ ๆ ตรงสายไฟรวม ตรงสวิตซ์ไฟรถยนต์ ได้ถึงเอาเศษสำลีเบาะรถกระจุก หนึ่งประมาณก้อนเท่าหัวแม่มือ แล้วทดลองไฟรถใหม่ ปรากฏว่าดีขึ้น ไฟรถใช้งานได้ดีเหมือนปกติ ก็ดีใจ และพากันเดินทางต่อไป จ.สิงห์บุรี

นี่เป็นเหตุการณ์เริ่มต้น คล้ายอิทธิปาฏิหารย์ ที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อใหญ่ ขอมากราบเท้าพระเดชพระคุณให้ถึงที่วัด

ผมมีโรคประจำตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นมาแต่ปี ๒๕๒๒ กินยาฝรั่งคุมมา ๑๔ ปีแล้ว ตอนนี้มีอาการจะต้องปวดปัสสาวะตลอดเวลา ประมาณถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จะต้องปวดและออกไปปัสสาวะ บางครั้งก็ปวดหนักด้วย แม่ชีสมคิดก็แนะให้อยู่ปฏิบัติที่ศาลาเล็กติดกับกุฏิแม่ใหญ่ ไม่ต้องไปรวมกับกลุ่มใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลาเดินแถวเกือบ ๑๓.๐๐ น. ข้าพเจ้าไม่เข้าใจก็เดินรวมติดกลุ่มใหญ่เข้าไปปฏิบัติที่ศาลาใหญ่กับเขาด้วย ก็แปลกที่ข้าพเจ้าไม่ปวดปัสสาวะในเวลาที่เข้าปฏิบัติเลย ยังนึกแปลกใจตนเอง คงจะเป็นเพราะ ๑.ตื่นเต้น ๒. อิ่มบุญที่เราได้ตั้งใจมาปฏิบัติ ๓. เกรงใจคนอื่นอีกจำนวนมาก จะทำให้เขาเสียสมาธิ และจะเป็นบาปแก่ตัวเอง ๔. สมกับคำทักทาย ของ อ.บุญส่งที่แนะนำไปว่าอย่างคุณวิเชียรนี้สบายมาก ผมแน่ใจว่า คุณจะต้องหายจากโรคเบาหวาน ๑,๐๐๐ เปอร์เซ็นต์ ขอให้ได้ไปพบหลวงพ่อใหญ่และเข้าปฏิบัติเถิด จะไม่ผิดหวังแน่นอน นี่เป็นเหตุการณ์ที่ ๒ ที่ข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน กับหลวงพ่อใหญ่

ต่อไปเป็นประสบการณ์ประการที่ ๓ ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะเล่าให้ผู้สนใจฟังด้วย ประกอบการพิจารณาสำหรับผู้ที่คิดว่าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันด้วย คือ อาจจะเป็นด้วยความไม่รู้และคอยดูทำตาม ๆ เขาไป ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้กราบพระรับศีล ๘ ปวารณาตัวเข้ากรรมฐานเหมือนคนอื่น ๆ พอเข้าคืนวันที่ ๓ ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าและคุณสุธี รู้สึกหิวน้ำ จึงเดินไปเพื่อจะหาน้ำดื่ม พวกสุนัขที่นอนเฝ้าแถวนั้น ต่างเห่ากันเกรียวกราวและวิ่งเข้ามาเป็นหมู่ คุณสุธีถอยมาอยู่หลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็หยุด และพูดกับสุนัขที่วิ่งเข้ามาเหล่านั้นว่า ผมมาดี ผมมาปฏิบัติอยู่ที่นี่ ผมหิวน้ำครับ ผมจะมาหยิบน้ำไปกินครับ ผมมาดี พวกสุนัขเหล่านั้น เขาพากันกลับไปนอนตรงที่เดิมที่เขานอนอยู่

รุ่งขึ้นเป็นประสบการณ์ที่ ๔ ซึ่งเห็นว่า ก็คงจะเล่าให้ฟังด้วยโดยไม่อาย จะได้เป็นตัวอย่างและ ข้อคิดที่ดีของผู้ที่ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันต่อไปครับ คือ วันที่ ๙ มี.ค. ๓๖ ซึ่งเป็นวันที่ ๔ ของการเดินทางมาที่วัดอัมพวัน เพื่อปฏิบัติธรรม คุณโพธิ์ที่ไปด้วยเดินทางกลับ จ.ขอนแก่นแล้ว ตอนเช้า ขณะจะไปรับประทานอาหารผ่านห้องแม่ใหญ่ ได้ยินผู้ที่อยู่ห้องแม่ใหญ่ กำลังสนทนากันดัง ๆ เป็นการว่ากล่าวพวกที่มาปฏิบัติธรรมว่า ห้องพวกนี้ ผู้ทำหน้าที่ซักผ้าด้วยเครื่องไปพบมาฟ้องว่า ทำเหมือนกับอยู่โรงแรม ห้องรกไม่เป็นระเบียบ มีการสูบบุหรี่และเขี่ยขี้บุหรี่ไว้ พวกนี้ไม่ได้มาทำบุญ แต่พากันมาเอาบาปกลับไป

ตอนนั้นผมได้ยิน รู้สึกโกรธและเสียใจมากที่มีการกล่าวหากัน โดยไม่ทราบว่าผมได้ผ่านมาได้ยินและยืนฟังอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปโต้ตอบแต่ประการใด ได้แต่นึกโกรธและเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าการล่าวหานั้นเป็นการไม่ถูกต้องกับความจริงนัก

ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ผมคิดมากและเสียใจมาก จนจิตใจไม่เป็นปกติ พวกเขาขึ้นศาลากันหมดแล้ว ผมจึงออกจากห้องไป พบแม่ใหญ่ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้ แม่ใหญ่ฟัง ถึงเหตุผลจากการที่ถูกกล่าวหาดังที่เล่ามาข้างต้น เมื่อพบแม่ใหญ่แล้ว ก็ได้แต่พูดแสดงความเสียใจ และรับผิดตามที่ถูกกล่าวหา ทั้ง ๆ ที่ตัวไม่ได้ทำผิด และแม่ใหญ่ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด ผมจึงขออนุญาตแม่ใหญ่ ปฏิบัติอยู่ที่ศาลาเล็กข้างกุฏิแม่ใหญ่ อ้างว่าจิตใจไม่สงบ จน ๑๑.๐๐ น. ถึงเวลารับประทานอาหาร ก็ออกมาร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน เนื่องจาก ๒ ชั่วโมงที่ปฏิบัติอยู่ที่ศาลาเล็ก ข้างกุฏิแม่ใหญ่ ความรู้สึกนึกคิดทีแรกสับสนมาก ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ จิปาถะ แต่เมื่อนั่งปฏิบัติไปประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็มีความรู้สึกผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี เกิดขึ้นแก่ตนเอง เริ่มพิจารณาความผิดของพวกตน เหตุที่เขาฟ้อง จนกระทั่งมาถึงผลที่ได้รับ เกิดจากอะไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นความผิดที่เกิดขึ้น จนมีการกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้คิดได้ว่า ถ้าเราไม่ทำสิ่งนี้ไว้ แล้วจะมีการกล่าวหา หรือ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ เราเป็นผู้ผิดจริง เราเป็นผู้กระทำไว้ ถ้าเราไม่กระทำไว้ ก็จะไม่มีการกล่าวหาเกิดขึ้นแน่นอน

เมื่อคิดได้ และเห็นสิ่งผิดเป็นครู จึงกลับมีความรู้สึกขอบคุณ ผู้ซักผ้า ที่เป็นผู้กล่าวหาพวกผม และกลับรู้สึกขอบพระคุณท่านผู้นั้น ที่ได้เป็นครูแก่ตัวผมโดยไม่รู้สึกตัว และผมก็กลับรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ผู้ที่ทำให้ผมได้คิด-นึกอะไรได้อีกหลายอย่าง ที่จะเกิดประโยชน์มหาศาลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้

จนกระทั่งวันสุดท้าย วันที่ ๖ ของการมาปฏิบัติธรรม ตอนเย็นเมื่อเวลากรรมฐานแล้ว ขึ้นปฏิบัติบนศาลาตามปกติ จนเลิกประมาณ ๒๒.๐๐ น. กลับมาที่ห้องพัก จึงปรากฏการณ์แปลกขึ้น เป็นปรากฏการณ์ประการที่ ๕ ที่ผมจะได้เล่าให้ฟังต่อไปนี้

หลังจากกลับมาห้องพักแล้ว ทำธุระส่วนตัว เข้านอนกำหนดอยู่นาน แต่กลับมีจิตคิดฟุ้งซ่าน คิดถึงบ้าน คิดถึงสุนัขที่บ้านที่กำลังท้องจะออกลูกหรือยัง เรียกจิตกลับมา คิดหนอ คิดหนอ อยู่หลายตลบ จิตกลับมา พอกำหนดไปได้หน่อย จิตก็เตลิดไปอีก คิดว่าเรามาที่นี่ที่วัดอัมพวัน วันนี้ ๗ วัน ได้แต่วิธีปฏิบัติไป ไม่เห็นได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

อ.บุญส่งเล่าให้ฟังว่า มาวัดนี้แล้วจะเห็นบุญเห็นกุศลทันตาเห็น คิดหนอ คิดหนอ เรียกจิตที่คิดเตลิดกลับมาอีก กำหนดต่อก็คิดเตลิดอีก จนหลับไป มารู้สึกตัวตื่น ตัวเองกำลังนั่งร้องไห้อยู่ด้วยความดีใจ เพราะเมื่อหลับไปแล้ว รู้สึกว่าจะฝันก็ไม่ใช่ เป็นความรู้สึกคล้าย ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นใบหน้าคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย เป็นใบหน้าของคนแปลก ๆ คล้ายคนโบราณ ก็มีประมาณ ๓๐-๔๐ คน มีคนรู้จักเพียง ๓-๔ คน เป็นใบหน้าลอยมาให้เห็น บางหน้าก็เห็นชัดแต่ไม่รู้จัก บางใบหน้าก็เห็นจาง ๆ เยอะแยะรอบตัวเรา

สุดท้ายเห็นใบหน้าแม่ชัดเจนลอยมา และยิ้มให้เหมือนเมื่อตอน แม่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อจากใบหน้าแม่แล้วก็เห็นใบหน้าพ่อ ลอยมา ชัดเจนและยิ้มให้เหมือนเมื่อตอนมีชีวิตอยู่เช่นกัน เท่านั้นแหละผมมี ความรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าพ่อแม่จนตัวเองร้องไห้ดีใจมาก แล้วรู้สึกตัวเองคล้ายเพิ่งตื่น นั่งร้องไห้อยู่ด้วยความดีใจ คุณพ่อ คุณแม่ผมได้เสียชีวิตไปประมาณ ๒๐ กว่าปีแล้ว เคยฝันเห็นท่านเพียงครั้งเดียว ตั้งแต่ท่านเสียชีวิตไป พยายามนึกคิดก่อนนอน ขอฝันเห็นท่านอีก ก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น ครั้งนี้จึงรู้สึกดีใจมากจนน้ำตาไหลพรากเลย แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ ครั้นเผลอคิดถึงเรื่องเห็นหน้าพ่อ-แม่ก็ดีใจน้ำตาไหลทุกที

ข้าพเจ้าจึงได้รู้สึกซึ้งถึงการเดินทางไปปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ของหลวงพ่อตอนนี้เองว่า การที่เราปฏิบัติธรรมนั้น จะส่งผลให้ทั้งในชาติปัจจุบันและในชาติหน้าต่อไป ถ้าเรายังไม่หมดกรรมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ทั้ง ๆ ที่ในการเดินทางไปวัดอัมพวันนั้น ข้าพเจ้าและคณะไปอย่างมืด ๆ ไม่รู้อะไรเลย และแม้กระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ยังรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ มืดบ้างสว่างบ้าง ยังไม่รู้ซึ้งถึงขีดสุดในการปฏิบัติ ต่อเมื่อได้กลับถึงบ้าน ได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเหมือนอย่างที่ปฏิบัติที่วัด ได้อ่านหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อให้ ๑ ชุด ๖ เล่ม ที่บูชามาพร้อมทั้งฟังเทป ๕-๖ ม้วนที่หลวงพ่อใหญ่ได้อบรมสั่งสอนเทศน์ให้เราฟังทั้งเก่าและใหม่ พร้อม V.D.O. ที่หลวงพ่อสอนวิธีปฏิบัติกรรมฐานจึงได้เข้าใจลึกซึ้งถึงแก่น ทุกบททุกตอนที่อ่านหนังสือกฎแห่งกรรม และฟังเทปที่ท่านเทศน์ง่าย ๆ แต่เข้าใจแจ่มแจ้ง ง่ายแก่การปฏิบัติต่อไป เป็นสิ่งที่จะเกิดรู้แจ้ง-เห็นจริงทุกขั้นตอนมีกำลังใจปฏิบัติธรรมเร่งให้เกิดความก้าวหน้าทางปฏิบัติด้วยเป็นอย่างมาก

ก่อนจะจบเรื่องนี้ มีข้อสังเกตอีกนิด ท่านที่ไปวัดอัมพวัน ทีหลังอาจจะได้เห็นเหมือนข้าพเจ้า คือ มีสุนัขตัวเมียหลายตัวที่กุฏิแม่ใหญ่ แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง ถึงเวลาตีระฆัง เรียกผู้มาปฏิบัติธรรมเข้าแถวรอเดินไปศาลา สุนัขตัวเมียสีขาว ๆ ตัวนี้ เขาจะมาเดินตรวจแถวดูทั้งซ้าย-ขวา ทั้งแถวผู้หญิงและแถวผู้ชาย แล้วเขาก็จะไปนั่งรออยู่ตรงหัวแถวระหว่างแถว หญิง-ชายที่ยืนอยู่ เมื่อพี่เลี้ยงเห็นว่าพร้อมก็จะมาเดินนำแถวไปยังศาลา สุนัขตัวที่ว่านี้ เขาก็จะเดินตามพี่เลี้ยงไปส่งที่ศาลาทุกครั้ง ลองมอง ๆ ดู เถอะครับ เขาคงเป็นมนุษยชาติมาก่อนแล้ว ต้องมาเกิดใช้กรรมนั้นชาตินี้ก็เป็นได้

สุดท้าย ข้าพเจ้าก็อวยชัยให้พรแก่ผู้ที่บุญถึง คิดจะไปกราบหลวงพ่อใหญ่ที่วัดอัมพวัน ได้เดินทางไปบำเพ็ญกุศลปฏิบัติธรรมให้ได้สมความตั้งใจปรารถนา และสำเร็จลุล่วงการปฏิบัติและรับผลกุศลกรรมดีที่ปฏิบัติได้รับเท่าทันตาเห็นเช่นข้าพเจ้านี้ เทอญ

อนึ่ง ได้ทราบมาจากท่าน อ.บุญส่งว่า ขณะนี้มีผู้บริจาคที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ ที่เขื่อนอุบลรัตน์ เพื่อให้หลวงพ่อท่านสร้างวัด โดยมีข้อแม้ให้หลวงพ่อใหญ่ได้โปรดขยายสาขาการปฏิบัติธรรมขึ้นที่วัดที่จะสร้างขึ้นใหม่นี้ เพื่อประโยชน์ของคนทางภาคอีสานอีกมากที่มีศรัทธา แต่ไม่มีกำลังจะเดินทางไปที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี จะได้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม ณ ที่วัดที่สาขาที่จะสร้างขึ้นใหม่นี้ ขอ ให้สำเร็จลุล่วงสมประสงค์ตามเจตนาโดยเร็วด้วยเถิด เพื่อพวกชาวอีสาน และตัวข้าพเจ้าขอ ปวารณาตัวเป็นผู้รับใช้ด้วยผู้หนึ่ง ตามกำลังและความสามารถที่มีอยู่และถ้ายังมีชีวิตอยู่ด้วยนะครับ