คติกรรมฐาน

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
 ๒๐ เม.ย. ๓๖

ในวันนี้จะให้โอวาท คติกรรมฐาน โยมโปรดตั้งใจฟัง ณ บัดนี้

ทุกข์ที่น่ากลัว

ความทุกข์ในโลกมนุษย์นี้มี หลากหลาย ญาติโยมมีแต่ความทุกข์ มีเงินทองมากมายก็หาความสุขไม่ได้ แต่ซื้อความสะดวกได้ อยากได้รถ กี่คันก็ไปซื้อมา แต่ความสุขมันอยู่ที่ซื้อรถ แล่นรถไหม สามีภรรยาทะเลาะกันมีความสุขไหม นี่แหละทุกข์ที่น่ากลัว จะอธิบายให้โยมฟัง

คนที่ไม่มีธรรมะ ชอบขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉาริษยา ชอบประทุษร้ายเขา จะมีแต่ความทุกข์ที่น่ากลัวมาก ที่หาเรื่องประทุษร้ายใส่ความผู้บริสุทธิ์ ไม่มีความผิด จนได้รับโทษทัณฑ์ ผู้นั้นต้องถึงความพินาศ ๔ ประการ ทราบได้จากการเจริญพระกรรมฐาน

๑. เกิดความทุข์เวทนาเร่าร้อนอย่างแรงกล้า ต้องพบข้อนี้ก่อน เกิดความทุกข์เวทนา เร่าร้อนกาย เร่าร้อนใจปวดอย่างทนไม่ไหว เกิดทุกข์กายเข้ามาทุกข์ใจ นักกรรมฐานต้องกำหนดเวทนาว่า ปวดหนอ ปวดหนอ ตายให้ตาย

อยากรู้ความจริงของชีวิต ต้องเข้าวัดปฏิบัติและน้อมถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ด้วยการปฏิบัติธรรม ขอยอมตายตามคำสอนพระพุทธเจ้า ปวดหนอ ปวดหนอ นี่ทุกข์อย่างร้ายแรง

ทุกข์นี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตจะพบพระ ใจไม่กังวลต่อทุกขเวทนา เวทนาจะหายไป ทุกข์ออกไปความสุขมาแทนที่ สร้างความดีกันต่อไป

๒. ถึงความเสื่อมความตาย ถ้าใครถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยได้ จะได้ผล คนที่ยังกลัวตาย จะมีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่นตลอดรายการ ต้องอดทนต่อสู้ ตายให้ตาย คนที่ไม่สู้จะถึงความเสื่อม ความตายทันที

ความเสื่อมคืออะไร จิตใจของท่านเสื่อม ท่านจะตายด้วยความประมาทอันนี้ นี่กรรมฐานนะ

คนไหนไม่รักตัวกลัวลำบากอยู่ คนนั้นยากที่จะได้ธรรมะ รักตัวอย่ากลัวลำบาก ต้องทนทุกข์ทรมานผ่านความเสื่อมความตายให้ได้

ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ กำหนดจิตใจ เมื่อใดจะเข้มแข็ง จิตใจท่านจะไม่เสื่อมต่อพระรัตนตรัย ความตายจะเกิดขึ้นอย่างไร อมตจิตท่านจะไม่ตาย

ถึงท่านจำเป็นต้องจากสังขาร แต่อมตจิตท่านจะไปสู่ความดี ท่านจะมีปัญญา ท่านจะไม่ปวดอย่างน่าทรมาน

โทษที่น่ากลัวคือ อิจฉา จะเกิดอาพาธอย่างหนัก ต้องทนทุกข์ ทรมาน สำหรับคนที่ใส่ร้ายป้ายสีเขา

จิตใจถึงธรรมะจะไม่อิจฉาใคร จะไม่มีโทษที่น่ากลัวกับเราเลย

๓. จิตฟุ้งซ่านกระวนกระวายเสมอ คนที่อิจฉาริษยาเขานั้น จิตจะกระวนกระวายและฟุ้งซ่านตลอดชีวิต จิตสละร่างก็ไปนรก

ถ้าโยมเจริญสติปัฏฐาน ๔ กำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ” จิตก็ไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็เป็นกุศล จะไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร ให้ทุกข์ทรมานถึงขนาดนี้แลย

คนที่จิตฟุ้งซ่าน กระวนกระวายใส่ร้ายป้ายสีเขาตลอดมา และไม่ ได้เจริญกรรมฐาน จะเข้าหลักว่า ถูกผู้ใหญ่เพ่งโทษ ข้าราชการถูกผู้ใหญ่ สอบสวน ถูกไล่ออก และจะถูกใส่ ความอย่างร้ายแรง ที่เราไปใส่ความเขามา

ถ้าท่านเจริญสติได้ ท่านจะแผ่แต่เมตตา อโหสิกรรม ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร ผู้ใหญ่ก็ไม่ใส่โทษให้แก่ เราอย่างร้ายแรงเหมือนแต่ก่อนมา

๔. ญาติมิตรทอดทิ้ง เนื่องจากไปทอดทิ้งคนอื่นไปใส่ร้ายเขา เอาแต่ตัวลอยลม ในอนาคตลูกหลานท่านจะถูกญาติมิตรทอดทิ้ง ไปรับราชการ ผู้ใหญ่จะทอดทิ้งลูกของเรา จะต้องถูกออกจากราชการ นี่เป็นกฏแห่งกรรมนะ

ถ้าคนไหนมีแต่แผ่เมตตาในพระกรรมฐาน มีแต่ญาติมิตรไม่ทอดทิ้ง

กฏแห่งกรรมที่เราไปทิ้งเขามา ไปใส่ร้ายป้ายสีเขา เมื่อแก่แล้วต้องถูกทอดทิ้ง ถึงจะมีสมบัติกี่พันล้านก็ต้องถูกทอดทิ้ง

ถ้าเราตายไปก่อน ลูกหลานก็ทอดทิ้งตัวเอง ทรัพย์สินที่มีอยู่ จะพินาศตลอดไป ลูกหลานจะแย่งกัน

ความทุกข์ในโลกมนุษย์เป็นแบบนี้เองหนอ ถ้าโยมเจริญกรรมฐานจะผ่านข้อนี้ ทรัพย์สินที่มีอยู่จะไม่พินาศ มีแต่เงินไหลนอง ทองไหลมา

จิตเป็นกุศลแผ่เมตตา ไฟไม่ไหม้บ้านแน่ บางแห่งสร้างใหม่ ๆ ไฟไหม้หมดแล้ว จิตไม่ดีไฟก็มา ไหม้บ้านโดยไม่น่าเชื่อ เขาเหล่านั้นตายไปก็จะไปเมืองนรก

ถ้าเจริญกรรมฐานจะผ่านคำว่าทุกข์ จะไม่มีใครมาใส่ร้ายป้ายสี แต่ประการใด

 

ชนิดของทุกข์

ทุกข์จำแนกได้ตามลักษณะการเกิดได้ ๑๐ ประการดังนี้

  • ๑. สภาวทุกข์ เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์
  • ๒. ปกิณณกทุกข์ ทุกข์จรเข้ามาในใจ เศร้าโศกเสียใจแทนเขา เจ็บปวดรวดร้าวทั้งสกลกาย เราก็กำหนดจิต จะหายไปได้
  • ๓. นิพัทธทุกข์ มีทั้งร้อน หนาว หิว กระหาย เป็นทุกข์เหลือเกิน ถ้ามีสติ สัมปชัญญะดี มีปัญญาท่านจะไม่มีความหนาวร้อน

หนาวก็สู้ ร้อนก็ต้องทน หิวก็ต้องทน กระหายก็ต้องทน หมดทุกข์แน่ ๆ

  • ๔. พยาธิทุกข์ ทุกข์เกิดตามร่างกาย พยาธิโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน โรคกายเกิดทั่วสกลกายยิบยับไปหมด ปวดโน่น ปวดนี่

เราเจริญกรรมฐานแก้ได้ กำหนด ปวดหนอ ตายให้ตาย จะขาดใจตายแล้ว เพื่อนเอ๋ยมาช่วยหน่อย เพื่อนตายก็คือกรรมฐาน สติคนหนึ่ง สัมปชัญญะคนหนึ่งเป็นเพื่อนตายแน่ ๆ

เมื่อกำหนดได้ จะได้จากพยาธิทุกข์ จะไม่มีทุกข์ทางร่างกาย

  • ๕. สันตาปทุกข์ ทุกข์เกิดจากกิเลสเผา เกิดโลภะอยากได้ของเขา ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ โทสะโกรธเขา แก้แค้นไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์โมหะ ทุกข์เกิดจากกิเลสเผากายเผาใจ

เราก็ตั้งสติปัฏบาน ๔ กำหนดจิตให้ได้ ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ให้ดี จะเผาใจเราก็แก้ได้ นี่ซิจะพ้นทุกข์

  • ๖. วิปากทุกข์ ทุกข์เกิดจากผลบาปกรรม จากกฏแห่งกรรมที่ได้ทำมา เงาบุญ เงาบาป ของใครของมัน ถ้าเจริญสติปัฏฐาน ๔ โยมจะรู้ว่า กฏแห่งกรรมเป็นประการใด

อาตมาเคยพูดมานานว่า ผลคือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในขั้นแรกคือ รำลึกชาติได้ รู้กฏแห่งกรรมและแก้ปัญหาได้ ถ้าโยมเจริญสติปัฏฐาน ๔ อโหสิกรรมต่อบาปกรรม แล้วไม่ปฏิเสธทุกข้อหา รับรองรับใช้กรรม

เหมือนอาตมารู้ล่วงหน้าว่า คอจะหัก รีบใช้กรรมนกเสีย ที่เราไปหักคอมัน ผลบาปเกิดจากการกระทำของอาตมาเอง อาตมารับทุกข์แต่เพียงผู้เดียว คอหัก แขนหัก ขาหัก ฟ้าผ่า ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หมดแล้วที่เคยไปรับจ้างต้มเต่า เห็นชัดหรือไม่

  • ๗. สหคตทุกข์ ทุกข์เกิดจากโลกธรรม ๘ ประการ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เขามาเยินยอ สรรเสริญเราก็ชื่นใจ เดี๋ยวก็ทุกข์ มาแทนที่แล้ว มันก็ไม่จริงตามที่เขาสรรเสริญเยินยอ เขานินทาว่า ร้ายเรากลับไปเสียใจ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

ขอให้ธรรมะในตอนนี้ว่า ถ้าวันไหนมีใครมาด่าอาตมา อาตมาได้บุญมาก ได้กำไรเยอะ จะไม่ฟังเสียงคำด่า แต่จะฟังเสียงเหตุผล ว่าเราเป็นจริงตามที่ด่าไหม ถ้าไม่จริงคำด่านั้นกลับไปหาเขา เราก็แก้ตัวเสียใหม่ ทำดีให้รุ่งเรืองเจริญต่อไป ไม่หวั่นไหว ตั้งสติสัมปชัญญะไว้

  • ๘. อาหารปฏิเยฏฐิทุกข์ ทุกข์เกิดจากการเลี้ยงชีพ โยมหาอาชีพการงานไม่ดี รับประทานอาหารบาปลงไปในท้อง อาหารไปเลี้ยงร่างกาย ร่างกายของโยมก็เป็นบาปเป็นทุกข์

ถ้าอาหารได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ เงินทองได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ นำมาเลี้ยงขีพ เลี้ยงลูกหลาน โยมก็มีแต่ความสุข

นักปฏิบัติโปรดทราบ รับประทานอาหารกำหนดจิตเคี้ยวให้ช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กลืนหนอ กลืนด้วยสติสัมปชัญญะ อาหารเป็นบุญ อาหารไปเลี้ยงร่ายกาย โยมจะเกิดความสุข

  • ๙. วิวาทมูลกทุกข์ ทุกข์เกิดจากการหนักใจมาก เกิดจากการวิวาทกัน ภรรยาไม่ดี สามีไม่ดี ลูกไม่ดี โยมเป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นทุกข์หนักใจไหม โยมเป็นพี่ว่า น้องไม่ได้ก็หนักใจ น้องมาสู้พี่ พี่ก็หนักใจ

ถ้าโยมมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาแก้ไขปัญหาในครอบครัวได้ จะไม่มีความหนักใจ ไม่เอาความหนักใจไว้ในใจ อย่าแบกหามไว้บนบ่าเลย หนักมากนักก็วางเสียบ้างซิ โยมจะแก้ตัวได้หรือไม่

ถ้าโยมหนักแล้วยังขืนแบกต่อไป โยมก็โง่ต่อไป ตายไปก็รีบไปนรกได้

  • ๑๐. ทุกขขันธ์ ทุกข์เกิดจากขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ มีแต่ความทุกข์ ถ้าโยมมีสติปัฏฐาน ๔ เข้าไปยันไว้ รูปนามเป็นอารมณ์ก็หมดทุกข์ ถึงบรมสุข คือนิพพาน

บุญจากการเจริญกรรมฐาน

การเจริญกรรมฐาน เป็นการกระทำที่ทำให้จิตใจของท่านเป็นบุญ ท่านเจริญกรรมฐานได้จะเกิดบุญ ๑๐ ประการ ดังนี้

  • การบริจาคการให้วัตถุ ทั้งความรู้ และการให้อภัย จะเกิดขึ้นในใจของนักกรรมฐาน คือเป็นบุญ
  • การรักษาศีล คือ งดเว้นจากความชั่วต่าง ๆ ได้
  • การเจริญภาวนาเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพื่ออบรมจิตใจให้มั่นคงในความดี
  • การอ่อนน้อมถ่อมตนและการกราบไหว้บูชา จะมีต่อโยมกรรมฐานผู้อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ บูชาต่อพระรัตนตรัย ไม่ถือผีถือเจ้า ไม่ไปไหว้ผีไหว้เจ้า แต่ผีปู่ย่าตายายไหว้ได้ เจ้าที่เป็นเจ้าของเรา เป็นผู้มีพระคุณก็ไหว้ได้ ไม่ใช่ผีเจ้าเข้าทรง นั่นคนละเรื่องกัน พูดตีความให้มันแตก อย่านำมารวมกันจะเสียหาย
  • การช่วยขวนขวายในการทำความดีของผุ้อื่น จะเกิดขึ้นจากนักกรรมฐาน จิตใจจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ผู้ที่ขวนขวายในการทำความดีของผู้อื่นได้ จะไม่มีอิจฉาใครแน่
  • การแผ่ส่วนบุญหรืออุทิศ ส่วนบุญแก่ผู้อื่นได้อย่างตรงใจ ไม่มีตะขิดตะขวงใจจแต่ประการใด
  • การชื่นชมยินดีต่อการทำความดีของผู้อื่นได้อย่างจริงใจ จะออกมาเป็นบุญสำหรับนักกรรมฐานที่ทำได้ จะยินดี มุทิตาจิตกับบุคคลที่สร้างความดี จะเป็นลูกหลานหรือ ไม่ใช่ก็ตาม
  • การฟังเทศน์ ฟังสิ่งที่มีคติธรรม สิ่งที่ไร้สาระจะไม่อยากฟัง ฟังสิ่งที่มีประโยชน์เสมอไป
  • การเทศน์ จะสอนชี้แจงให้ความดีเท่านั้น
  • การตั้งความคิดเห็นให้ตรงตามหลักของกรรมจากการกระทำ กฏแห่งกรรมจะยอมรับ มีความรู้ซึ้งตื้นลึก หนาบางด้วยความถูกต้อง จะไม่ขี้เกียจ ไม่มีขี้โกง ไม่มีริษยา แต่ประการใด

 

โทษของการริษยา

โยมที่ปฏิบัติกรรมฐานจะได้ทราบว่า โทษจากการริษยามีอยู่ ๕ ประการ ดังต่อไปนี้

  • เป็นสาเหตุทำให้เกิดการแตกความสามัคคี
  • เป็นอุปสรรคของการประสานงานที่ดี จะประสานงานกับใครเอาดีไม่ได้ เพราะโยมไปอิจฉาเขา
  • เป็นเครื่องทำลายขวัญและกำลังใจของผู้ปฎิบัติงานร่วมกัน
  • เป็นการสร้างศัตรูให้กับตัวเอง ไม่มีเมตตาต่อใคร
  • ขาดความจริงใจ คนที่ริษยาเขาไม่มีจิตใจตรง ขาดความจริงใจจริงจังต่อกัน ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อกิจการของตน

คนที่ไม่มีความจริงใจต่อตัวเอง โกหกตัวเองเสมอ คนนั้นจะอิจฉาเรื่อยไป เห็นคนอื่นได้ดีไม่ได้ แค้นใจแทน เห็นคนอื่นได้ชั่วซ้ำมันเลย คนประเภทนี้ไม่มีกรรมฐาน

ถ้าโยมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน เข้าถึงธรรมะเมื่อใด โยมจะเข้าใจเรื่องนี้ จะไม่อยากอิจฉาใคร อยากจะสร้างความดี ในครอบครัวให้มากที่สุด อยากจะช่วยสังคมด้วยมนุษย์สัมพันธ์ จะไม่มีสร้างศัตรูกับใคร มีแต่สร้างความดีให้ลูกหลาน เป็นใหญ่เป็นโตให้จงได้

อันที่จริงเขาก็อยากให้เราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใคร อยากเห็นเราเด่นเกิน

แต่ทางธรรมไม่ใช่อย่างนั้น สร้างความดีให้เด่นจะเห็นไกล เขาจะได้มาดูความดีที่เด่น

ญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลาย ถ้าท่านเจริญกรรมฐาน ท่านจะพบข้อนี้ ท่านจะไม่ริษยาใคร คนที่มีจิตเป็นธรรมะ มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ประทับใจ จะเห็นศัตรูเป็นมิตรเรา เขาก็จะเป็นมิตรกับเราต่อไป

จะเห็นคนทำชั่วป็นคนที่น่าสงสาร อยากจะให้เขาเป็นคนดีจะทำอย่างไร จะไม่เกลียดคนชั่ว

 

ผลงานจากการเจริญกรรมฐาน

โยมมาเจริญกรรมฐานได้ผลงานดังนี้

มีวินัยในตัวเอง ๓ ประการคือ

๑.๑ รู้จักระวังตัว

๑.๒ รู้จักควบคุมตัวได้

๑.๓ รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าเป็นเด็กจะไม่เถียงผู้ใหญ่

๒. มีกิจนิสัย ๔ ประการ

๒.๑ ขยันไม่จับจด รักงาน สู้งาน

๒.๒ ประหยัด รู้จักใช้ชีวิต และทรัพย์สินอย่างถูกต้องและคุ้มค่า

๒.๓ พัฒนา รู้จักพัฒนาตนเอง และอาชีพให้ดีขึ้น

๒.๔ สามัคคี รับครอบครัว รักหมู่คณะและรักประเทศชาติ

๓. มีลักษณะนิสัย ๔ ประการ

๓.๑ มีสัมมาคารวะ

๓.๒ อุตสาหพยายาม

๓.๓ ปฏิบัติตามระเบียบวินัย

๓.๔ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ วางตัวได้เหมาะสม

๔. มีความรู้คู่กับคุณธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพ ชีวิต ๔ ประการได้

๔.๑ รู้จักคิด

๔.๒ รู้จักปรับตัว

๔.๓ รู้จักแก้ปัญหา

๔.๔ มีทักษะในการทำงาน และค่านิยมที่ดีงามในอนาคต เจ้านายทิ้งลูกน้องไม่ได้ ลูกน้องทิ้งเจ้านายไม่ได้ เข้าหลักที่ว่า ผู้ใหญ่ดึงผู้น้อยดัน คนเสมอกันจะได้อุปถัมภ์ค้ำจุนต่อไป

ขอฝากญาติโยมไปปฏิบัติ ยืนหนอ ให้ได้ ยืนหนอได้เมื่อใด จิตสติมีควบคู่กันไป จะ เห็นหนอ รู้นิสัยทันที

ส่งกระแสจิตทางหน้าผากชาร์ทไฟเข้าหม้อที่ลิ้นปี่ จำตรงนี้เป็นหลักมา ๗ วัน ปฏิบัติ ยืนหนอ ให้ได้ เห็นหนอ ให้ได้ พองหนอ ยุบหนอ กำหนดให้ได้เท่านี้ เดี๋ยวอย่างอื่นจะไหลมาเองเหมือนไข่งู

ต้องเดินจงกรมด้วย ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้ายแลขวา มีสติสัมปชัญญะ กำหนดจิต กิริยาจะสวยงาม

โยมจะเดินไปไหนก็น่ารัก จะพูดจาก็เพราะพริ้ง แต่งกายเป็นปริมณฑล เรียบร้อยสะอาดหมดจด ทุกประการนั่นคือ ศีล

เดินก็มีสติ นั่งก็มีสติ นอนก็มีสติ จะพูดจาก็มีสติ ตั้งสติไว้ทุกอิริยาบถ สวยน่ารัก เดิน ๑ ชั่วโมง ต้องนั่ง ๑ ชั่วโมง โปรดจำไว้

 

อานิสงส์จากการเดินจงกรม

เดินจงกรมมีอานิสงส์ ๕ ประการ

  • ย่อมอดทนต่อการเดินทางไกล จะไม่เหนื่อย
  • ย่อมอดทนต่อการบำเพ็ญเพียร
  • ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคจะหายไปเลย
  • อาหารจะย่อยง่าย ไปเลี้ยงร่างกายสะดวกสบาย
  • สมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรม จะตั้งได้นานกว่านั่ง ขณะนั่งจิตจะมีสมาธิเร็วขึ้น

วันนี้อาตมภาพขออนุโมทนาสาธุการ ที่ญาติโยมทั้งหลาย ได้มาบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา มีการถวายสังฆทาน เป็นต้น ขออานิสงส์สะท้อนย้อนกลับให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใจสมความมุ่งมาดปรารถนา ข้ามเกาะแก่งทารกันดาร ถึงฝั่งฟากคือพระนิพพาน โดยทั่วกันทุกท่านเทอญ