สมเด็จพระพุทธจารย์ (โต) พรหมรังสี

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๘  เม.ย .๓๕

ที่วัดอัมพวัน มีวิหารอยู่ทางทิศใต้ของโรงอุโบสถ ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ปางอุ้มบาตรพรมน้ำพระพุทธมนต์

ผู้สร้างถวายคือ คุณเส็ง คุณผ่องศรี ใจบุญ ได้นำมาถวายวัดอัมพวันเมื่อพ.ศ. ๒๕๓๐ พร้อมกับหลวงปู่แสง

เมื่อนำมาถวายยังไม่มีวิหาร ได้อัญเชิญท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ไว้ในโรงอุโบสถ และหลวงปู่แสงประดิษฐานอยู่ที่ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน

อยู่ต่อมาประมาณ ๑ เดือน มีคนข้างวัดมาบอกว่า สมเด็จฯโตท่านอยากมาอยู่ข้างนอก อาตมาก็รับทราบไว้

ต่อมามีคนจากนครสวรรค์มาถามหาสมภารวัดอัมพวัน มาถึงก็มากราบ ถามว่า

“ท่านเป็นสมภารใช่ใหม? สมเด็จฯโตให้มาบอกว่าท่านไม่อยากอยู่ในโบสถ์ ข้ามหัวไปข้ามหัวมา จุ้นจ้านกันมากเหลือเกิน ช่วยสร้างวิหารให้ที”

อาตมาก็ยังไม่ยอมเชื่อ ต่อมาอาจารย์วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ฝันมาบอกว่า “ท่านสมเด็จฯโตให้มาบอกสมภารว่าช่วยสร้างวิหารให้ที”

ในฝันอาจารย์คนนั้นก็ถามว่า “ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ทำไมไม่ไปบอกท่านเอง”

ท่านบอก “ไม่ขลัง ต้องให้คนอื่นบอกถึงจะขลัง เพราะสมภารองค์นี้ทิฐิสูง”

อาตมาก็มานึก มาบอกเราสามปากแล้ว อาตมาก็ไปยกมือไหว้ จุดธูปเทียนบอก เหมือนท่านจะยิ้มบอกเรา

วิหารหลวงปู่โตวัดอัมพวัน

ปรากฏว่าสร้างเดือนเดียวเสร็จ พอยกท่านไปไว้ เงินไหลนองทองไหลมาใหญ่เลย

อีกประการหนึ่ง ที่ท่านอยู่ในโบสถ์ ใครมาก็ยกมือไว้แต่สมเด็จฯโต ไม่ไหว้พระประธานกันเลย โยมผ่องศรีปิดทองซะสวย ก็ยิ่งข่มพระประธานในโบสถ์อีก

อาตมาก็ต้องปิดทองพระประธานทั้งสององค์ พอดี ดร.กิ่งแก้ว อัตถาวร มาบอกอีกว่า หลวงพ่อไม่มีบริวาร ต้องมีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรนะ อาตมาก็อัญเชิญประดิษฐานกับพระประธานองค์เก่า และปิดทองสวยงาม

 

ประวัติการสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และหลวงปู่แสง

โยมเส็งได้เล่าถึงประวัติการสร้างท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ และหลวงปู่แสงว่า”

ตอนแรกผมศรัทธาแต่หลวงปู่แสง ก่อนที่จะหล่อหลวงปู่แสง มีลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณวัดมณีชลขัณฑ์  มาปรารภว่า

“พระอื่นเขาทำกันได้ แต่ทำไมหลวงปู่แสงไม่มีใครคิดทำ” พอได้รับฟัง ผมก็รับปากทันทีว่าจะหล่อ แต่คนลพบุรีไม่เคยเห็นหลวงปู่แสง เห็นพระพุทธรูปตามยอดเจดีย์ก็ว่าเป็นหลวงพ่อแสง เพราะรูปท่านไม่ค่อยปรากฎ

ท่านเจ้าคุณวัดมณีฯบอกว่าที่นั่นมีที่โน่นมี ผมก็นำกล้องจะไปขอถ่ายก็ไม่มี

อยู่มาวันหนึ่ง ป้าตึ๋งแม่ค้าส้มฟัก สมพร ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลพบุรีได้มาถามผมว่า “จะไปเวียนเทียนที่พุทธมณฑลหรือเปล่า จะได้ฝากเงินไปทำบุญด้วย”

ผมบอก “ไม่ไป ตั้งใจจะไปหารูปหลวงพ่อแสง”

ป้าตึ๋งบอกว่า “รูปหลวงพ่อแสงนี้ เห็นมีอยู่ที่บ้าน พ.ท. สมบัติ คุณวิไล ศิริวัฒน์ อยู่ใกล้กับวัดศรีสุทธาวาส น่าจะลองไปถามดู”

ผมก็ดีใจมาก คว้ากล้องไปที่บ้าน พ.ท. สมบัติ คุณวิไล ศิริวัฒน์ ทันที เมื่อเอ่ยปากขอรูป เขาชี้ไปที่ข้างฝาผมก็บอกขออนุญาตถ่าย จะนำไปหล่อ

พอเอื้อมมือไปหยิบรูป ปรากฏว่า กรอบรูปร่วงกราวลงมา เหลือแต่รูปกับกระจกติดมือมาเท่านั้น

ผมก็นึกว่า เอ๊ะ! อยู่ได้อย่างไรสงสัยเป็นปาฏิหาริย์ ท่านคงรอให้เราได้ทำพระรูปท่าน

แล้วผมก็ไปหาท่านเจ้าคุณวัดมณีฯ บอกว่าจะหล่อ แล้วผมก็สาบานกับท่านเจ้าคุณว่า

“ถ้าผมหากินกับหลวงพ่อแสงขอให้ผมมีอันเป็นไป”

แล้วผมก็มาคิดว่า หลวงพ่อแสงกับหลวงปู่โตนี่เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน ถึงอย่างไรเราก็จะหล่อมาอยู่ด้วยกันเถอะ ศิษย์อาจารย์จะได้อยู่ด้วยกัน

จึงได้ไปตกลงกับลุงฮั้ว สุภาพักต์ ว่าจะสร้างวิหารและหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อแสงเป็นเนื้อนวโลหะ ๑ องค์ รูปหล่อสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ปางถือคัมภีร์ ๑ องค์ ประดิษฐานไว้ที่พระวิหารหลวงพ่อแสงอนุสรณ์

หลวงพ่อวัดอัมพวันบอกว่าจะปลูกวิหาร ต้องวางศิลาฤกษ์ แล้วหลวงพ่อก็ไปเขียนดวงที่วัดทองพุ่มพวง จ.สระบุรี

นายเส็ง – นางผ่องศรี ใจบุญ ผู้สร้างวิหารหลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์ ลพบุรี และสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) และหลวงปู่แสงถวายวัดอัมพวัน

ในดวงนั้นเขียนไว้ว่า “ท่านเจ้าคุณพระศีลวรคุณ (นวน) เป็นประธาน นายเส็ง-นางผ่องศรี ใจบุญเป็นผู้ดำเนินงานพร้อมทั้งคณะกรรมการทุกคน”

ปรากฏว่ามีคนไม่พอใจ ประท้วงจะขอร่วมครึ่งหนึ่งจึงได้ทำหนังสือกันไว้ว่า วันวางศิลาฤกษ์จะมาวางเงิน ๓ แสน ถ้าขาดเหลือก็จะเพิ่มเติม

เมื่อถึงเวลานั้น วันรุ่งขึ้นจะวางเงิน ตอนเย็นเขาเดินคอตกมาบอกว่าไม่สามารถนำเงินมาให้ได้

พระประธานในวิหารพระพุทธแสงมณีรังสีรุ่งเรือง ซ้าย : สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ขวา : หลวงพ่อแสง

แล้วเขาก็เล่าเหตุการณ์ว่า ที่เขาจะนำเงินมาให้ ๓ แสนนี้ เขาจะขายสมเด็จพุฒาจารย์โต สมเด็จวัดระฆังที่เขามีอยู่ ตกลงไว้ ๔ แสน ได้วิ่งไปหาคนที่ซื้อ หวังจะไปเอาเงินเขาด้วย วิ่งอยู่ดี ๆ สร้อยคอที่แขวนไว้หลุดขาด เขาเลยใจคอไม่ดี

ผมก็ปลอบเขา แล้วมาบอกพวกกรรมการว่า อย่าไปทวงเงินเขานะ เขาไม่มีเงินวาง เดี๋ยวเขาจะอาย เป็นอันว่าเขาไม่ได้มาทำเลย
พอหล่อเสร็จจะอัญเชิญขึ้นวิหารไปเชิญเขา เขาก็ป่วยมาไม่ได้ พองานฉลองครั้งที่สอง เขาก็เข้าโรงพยาบาล นี่คือบารมีหลวงปู่ เขาคิดจะจำหน่ายหลวงปู่แล้วมาร่วมกับเรา แต่เราหวังทำให้ท่านด้วยศรัทธา เลยมาไม่ได้เลย

หลวงปู่โตที่วัดอุโลม

จากซ้ายไปขวา พระภาวนาวิสุทธิคุณ, นายฮั้ว สุภาพักต์

แล้วผมก็คิดขึ้นมาเองว่า จะต้องอัญเชิญหลวงปู่โตและหลวงปู่แสงอย่างละหนึ่งองค์ไปวัดอัมพวัน มันนึกอย่างไรบอกไม่ถูก
เฮียฮั้ว สุภาพักต์ บอกว่าถ้าจะนำไปหล่อให้วัดอัมพวัน ให้ไปเอารูปที่วัดอุโลม อ.บางปะหัน จ.อยุธยา เป็นรูปหลวงปู่ที่เป็นภาพออกมาจากจอหนัง ปางอุ้มบาตรพรหมน้ำพระพุทธมนต์ มีคนเห็นกันทั้งนั้น

ใคร ๆ ก็เรียกว่าปู่โตปาฎิหาริย์ ผมก็นำกล้องไปถ่ายภาพ แล้วนำไปให้ช่างหล่อที่กรุงเทพ เกิดปาฎิหาริย์อีก

หลวงพ่อเสกทองแผ่นไป นำไปใส่ในเบ้า ปรากฏว่าตอนหล่อแผ่นทองเกิดบินขึ้นไปข้างบน สักครู่ก็บินลงมาลงเบ้าอีก ท่านแสดงปาฎิหาริย์ให้เห็น ช่างหล่อบอกตกตะลึงเลย มีแบบนี้ด้วยเหรอนี่

พอนำท่านไปไว้ที่วัดอัมพวันใหม่ ๆ หลวงพ่อบอกเรื่อยเลยว่า แขกเยอะขึ้นทุกวัน ตอนนี้เยอะสุดขีดเลย

เมื่อตอนหล่อหลวงปู่โตและหลวงปู่แสงเสร็จใหม่ ๆ หลวงพ่อได้ไปสวดธรรมจักร ได้นำน้ำใส่บาตรปู่โตแล้วปักเทียนทำน้ำมนต์

พอเสร็จพิธี เทียนไขในบาตรเป็นรูปมังกร ๑ หัว ได้อัญเชิญไว้บนวิหาร

เจดีหลวงพ่อแสง วัดมณีชลขัณฑ์ ลพบุรี

ต่อมาวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ได้จัดงานมหาพุทธาภิเษกรูปหล่อหลวงปู่โตและหลวงปู่แสง ที่วัดมณีชลขัณฑ์

หลวงพ่อได้นิมนต์สมเด็จพระญาณสังวร ๑ มาพุทธาภิเษก ท่านเมตตาอยู่ตั้งแต่สองทุ่มถึงเที่ยงคืน ซึ่งปกติท่านจะแผ่เมตตาแค่ ๕ นาที แต่นี่ท่านแผ่ให้เป็นชั่วโมง

ขณะพุทธาภิเษก เกิดอภินิหารฟ้าลั่นเปรี้ยงไปที่เจดีย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าฝน ฟ้าร้อง ๓ ครั้ง ไฟในวิหารดับ ๓ ครั้ง ไฟนอกวิหารไม่ดับ ฝนตกลงมาเป็นละอองน้อย ๆ คนอยู่ในเหตุการณ์ตื่นเต้นกันมาก

พอเสร็จพิธีมหาพุทธาภิเษกเทียนไขที่ปักทำน้ำมนต์ในบาตรหลวงปู่โต เป็นรูปมังกร ๒ ตัว

มีร่างทรงมาทำน้ำมนต์หลวงปู่โต หยดเทียนเหมือนพระบรมสารีริกธาตุ แบบเมล็ดข้าวสาร

เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๕ อาตมาได้ไปที่วัดอุโลมกับโยมเส็ง เพื่อจะไปดูว่า ภาพหลวงปู่ออกมาจาก จอหนัง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ทางวัดอุโลมได้จัดการต้อนรับอย่างดี จากนั้นโยมฮั้ว สุภาพักต์ ได้เล่าให้ฟังว่า

ที่วัดอุโลมกำลังสร้างโบสถ์ มีการฉายภาพยนตร์ ๗ วัน ๗ คืน

หลวงพ่อ (สมเด็จพุฒาจารย์ (โต)) บอกว่าจะอยู่เป็นเดือนเพื่อช่วยหาเงินสร้างโบสถ์ มีคนทรงมาอยู่ด้วย

มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านลงมาทรงแต่เช้า พอหลวงปู่ลงลูกศิษย์หนีหมด ท่านเรียกผมเข้าไปนั่งข้างหน้าท่านเลย พวกลูกศิษย์กลัวท่าน

ท่านบอกว่า “เย็นนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นที่จอหนังวุ้ย”

เขาฉายภาพยนตร์กัน ๗ คืน พอตอนสี่โมงเย็น จออยู่เฉย ๆ ไม่มีลมพัด มีคนขายของเขาเห็นเป็นรูปเงาหลวงพ่อ (ปู่โต) นั่งพรมน้ำมนต์อย่างนี้ และเกศตรง

เขาเห็นแล้วก็วิ่งไปบอกผม ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่จอหนัง หลวงปู่ท่านบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่จอหนัง ผมก็ไปดู คนอื่นเขาเห็นองค์เดียว แต่ผมเห็นสององค์ มีพระมาลัยยืนอยู่องค์หนึ่ง

รุ่งขึ้นท่านมาทรงแล้วถามท่านว่า “อะไรเกิดขึ้นที่จอหนัง”

ท่านตอบว่า “ขรัวโต”
๑ ปัจจุบัน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

จึงถามท่านว่า “หลวงพ่อมีความประสงค์อะไร จึงเกิดที่จอหนัง”

ท่านบอกว่าให้หล่อรูปท่านที่นี่

ท่านว่า “ขรัวโตอยู่ไหน เงินไหลที่นั่น”

ผมเรียกกรรมการวัดมาปรึกษา มรรคทายก กรรมการวัดและพระทุกองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็เลยจะหล่อเอง ไปติดต่อกรมศิลปากร สร้างพระเขาคิด ๑๗,๐๐๐ บาท พอเขาทราบว่าสร้างสมเด็จพุฒาจารย์โต เขาคิดแค่หมื่นเดียว ขอค่าขึ้นล่อง ๕๐๐ บาท

ร่างทรงหลวงปู่บอกว่าพระอินทร์จะเททอง ผมก็มีละคร ๓ วัน ๓ คืน ท่านบอกให้ผมแต่งชุดขาวเพราะพวกเทพจะลงมาเททองกันเยอะ แล้วขึงเชือกห้ามคนเข้าไป

พอถึงเวลาหล่อ พระชยันโต ผมก็เกิดลืมว่าพระอินทร์จะลงมา ผมมัวแต่ยุ่งทางพระ ได้ยินเสียงหลวงปู่บอกว่า

“ฟังนะ จะให้พวกเขามาร่วมด้วย หลวงปู่คัดให้เขาออก มันไม่มีเชื้อเทพ อย่าให้มันเข้า ให้มันออกห่าง ๆ”

พอตอนนี้พวกบ้านผมเขาบอกเห็นดอกบัวขาวลงเต็มหลังคาโรงพิธีผมก็เหลียวมาดูที่โรงพิธี ก็เห็น

“พระอินทร์ท่านมาเททอง มากันสององค์ ผมก็นึกว่าใครเอาตัวละครมาอยู่ในโรงพิธี ผู้หญิงนุ่งผ้าจีบแบบตัวละคร ตัวพระอินทร์แต่งตัวเหมือนพระเอกมีชฎา”

ใครว่าพระอินทร์เขียว แต่ผมเห็นเนื้อเหลือง ผมลืมที่หลวงพ่อบอกว่า พระอินทร์จะเททอง มัวแต่ยุ่งทางพระ พอเห็นปลายรองเท้าแหลมสูง จึงนึกขึ้นได้ พระอินทร์ก็ค่อย ๆ จางหายไป

หลวงปู่สมเด็จท่านนั่งอยู่ที่ศาลาเพียงตา ท่านสั่งให้ตั้งศาลเพียงตา แล้วปูผ้าขาววางหมอนขวานไว้ เขาก็เห็นกันหลายคน พอพิธีเสร็จต่างคนก็วิ่งมาบอกว่าเห็นอย่างโน้น เห็นอย่างนี้

วิหารหลวงพ่อแสง

หล่อเสร็จเขาก็นำไปกะเทาะที่กรุงเทพฯ พอกะเทาะออก ไม่มีชำรุดที่ตรงไหนเลย เขาบอกว่าน่าจะกะเทาะที่วัดอุโลม เพราะไม่ต้องปะหรือแต่งที่ไหนเลย

หล่อแล้วผมจะเชิญไว้ในโบสถ์ท่านไม่ยอม ท่านว่า พอหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เขาจะมาไหว้แต่หลวงพ่อ เวรกรรมที่จะมาอยู่กับหลวงพ่ออาตมานึกถึงที่อาตมาได้บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ พระพุทธเจ้าหลวงได้ตรัสกับอาตมาว่า

“พระคุณเจ้า โยมจะบอกให้ พ.ศ. ๒๕๓๐ เจ้าคุณอาจารย์ของเราจะมาอยู่ในโรงอุโบสถของท่าน”

อาตมาถามว่า “เจ้าคุณอาจารย์ไหนละ”

ท่านตอบว่า “เจ้าคุณอาจารย์ของเราคือ สมเด็จโต พรหมรังสี พระคุณเจ้าไม่น่าจะไม่รู้จัก”

อาตมาก็บอกว่า “โยม จะมาอยู่ได้ยังไง โบสถ์ก็จะพังแล้ว วัดก็โทรมแล้ว”

ท่านตอบว่า “พระคุณเจ้า คนมีบุญเขาจะเอามา”

อาตมาก็จด พ.ศ. ๒๕๐๐ กับ พ.ศ. ๒๕๓๐ ห่างกันตั้ง ๓๐ ปี อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะตอนนั้น ยังไม่ได้รู้จักกับโยมเส็งและโยมผ่องศรี

ท่านบอกต่อไปว่า “ผู้มีบุญวาสนานั้น จะนำพระอาจารย์ของเจ้าคุณอาจารย์เรามาอยู่ที่วัดนี้ด้วย”

อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร มาทราบตอนหลังว่าเป็นหลวงปู่แสงนี่เอง แต่ท่านได้บอกไว้หมดว่า

“อาจารย์ของเจ้าคุณสมเด็จอ่อนกว่า แต่เจ้าคุณสมเด็จต้องมายอมเป็นศิษย์ของหลวงปู่แสง เพราะท่านได้สำเร็จญานสมาบัติ”

ท่านยังบอกอีกว่า “ท่านเจ้าคุณสมเด็จที่จะมาอยู่ในโรงอุโบสถของท่าน จะแปลกกว่าที่อื่น ที่ไม่มีที่ไหน”

พระพุทธเจ้าหลวงได้ประทับทรงเด็ก ป. ๔ ที่มากับบิดาจากเพชรบูรณ์ มาหาอาตมาเพื่อให้เจิมรถที่อาตมายอมจดเพราะพูดสะกิดหัวใจว่า “พระคุณเจ้า เมื่อเช้าอยู่ที่ไหน เมื่อเพลอยู่ที่ไหน เดี่ยวนี้อยู่ที่ไหน โยมก็เช่นเดียวกัน ใครนึกถึงโยม โยมถึงบ้านนั้น ถ้าไม่นึกถึงโยม มันก็ไม่ถึง”

อาตมายังได้คำพูดของท่านมาสอน เราบ้านอยู่ติดกัน ถ้าไม่ได้เป็นญาติกัน ก็ไม่สนใจกัน อยู่ห่างไกลกัน ถ้ายังสนใจกันก็นึกถึงกัน อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อสมัยที่อาตมามาอยู่วัดอัมพวันใหม่ ๆ พ.ศ. ๒๔๙๙ พวกญวนพวกคริสต์มาตีอวนหน้าวัด พระไปว่า ก็ยิงไก่วัดไปแกงอีก อาตมาใช้กรรมฐานแก้ คือ แผ่เมตตา

อาตมาใช้คาถาของหลวงพ่อโต ท่านเจ้าคุณธรรมกิติที่สามารถสอนแม่นาคพระโขนงนั่งกรรมฐานได้

คาถาของท่านคือ

“เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา” จำไปเลย เสือก็ยังสยบ ช้างดุอย่างไร ตกน้ำมันอย่างไรสยบหมดถ้าจะขับรถให้ว่า

“เมตตัญจะ สัพพะโล กัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง” คาถาของสมเด็จโต ขับรถผีช่วยเลยนะ วันนี้เอาคาถาของสมเด็จโตมาเผยแผ่

 

พระพุทธเจ้าหลวงทรงทำนายเกี่ยวกับวัดอัมพวัน

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐

๑.      วัดนี้จะเป็นแหล่งที่มาของข้าราชการ จะมีหอประชุมใหญ่เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๒๕

๒.     พ.ศ. ๒๕๓๐ เจ้าประคุณสมเด็จอาจารย์ขรัวโต จะมาประทับในโรงอุโบสถของท่าน และโบสถ์ของท่านจะต้องสร้างใหม่ เป็นรูปทรงแบบใหม่

๓.     จะมีสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นมา

๔.     หลวงปู่แสงอาจารย์ของสมเด็จโต จะมา พ.ศ. ๒๕๓๐

๕.     ในเวลากาลต่อมา วัดนี้จะแปลงสภาพ ข้างหน้าจะเป็นข้างหลัง ข้างหลังจะเป็นข้างหน้า

๖.      เมตตาธรรมของวัดจะมาอีก ข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนจะเข้าวัด

๗.     ศาลาหลังเบ้อเริ่มเกิดขึ้น ศาลาจะมี ๕ มุข

๘.     เมตตาธรรมแห่งน้ำใจจะหลั่งไหลมาอีกมากมาย มีเจ้าแม่กวนอิม ปู่โกมารภัจจ์ พระสิวลี พระพุทธลีลา จะมีที่วัดท่าน

๙.      ผู้มีบุญวาสนาจะประสาทพรให้ (สมเด็จพระญาณสังวร)

๑๐.    พระบัณฑิตจะเข้าวัด โรงครัวจะมีการจัดระบบดีขึ้น