จิตดับแล้วไปไหน

โดย พระนรินทร์ สุภากาโร

แม่ชีสมคิด มาลีหอม

าตมาได้มีโอกาสสนทนากับแม่ชีสมคิด มาลีหอม หัวหน้าแม่ชีไทยวัดอัมพวัน ถึงเรื่องประสบการณ์จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แม่ชีได้กรุณาเล่าให้ฟังบางส่วน เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงขออนุญาตแม่ชีมาเผยแพร่ต่อดังนี้

แม่ชีสมคิด มาลีหอม เกิดเมื่อวันพุธ เดือน ๘ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ บิดาชื่อนายศิริ มาลีหอม มารดาชื่อนางศิริ มาลีหอม บ้านเกิดอยู่ที่ ต.ป่าโมก อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

บวชเป็นแม่ชีที่วัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ อายุ ๓๓ ปี ได้ศึกษาจบธรรมศึกษาตรี พ.ศ. ๒๕๒๗ ธรรมศึกษาโท พ.ศ. ๒๕๒๘ และธรรมศึกษาเอก พ.ศ. ๒๕๓๐

เหตุที่มาบวช แท้จริงไม่ได้เกิดจากความศรัทธาในการบวช หรือการปฏิบัติแต่อย่างใดเลย แต่บวชด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย และคิดว่าการบวชอาจจะช่วยให้หายจากการเจ็บป่วยได้

แม่ชีไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน ไม่เคยได้ยินชื่อท่านเจ้าคุณหลวงพ่อมาก่อน มาเรื่อย ๆ ด้วยความทุกข์ใจ ไม่รู้จักสภาวะธรรม มีอุปาทานยึดมั่นว่า ชีวิตเกิดมาแล้วต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่เคยปฏิบัติธรรม

จนกระทั่งมีคนมาบอกว่า ที่วัดอัมพวันมีสำนักแม่ชีใหญ่ที่พอจะรับบวชได้ จึงได้มาพบหัวหน้าแม่ชี คือ หลวงแม่ชีจันทร์ บุญเปี่ยม ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปี ๒๕๓๐

ปัจจุบันเป็นหัวหน้าแม่ชีไทยวัดอัมพวัน ทำหน้าที่แนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแก่ผู้ปฏิบัติที่มาใหม่

แม่ชีได้เล่าประสบการณ์ที่ได้เผชิญกับทุกขเวทนาอย่างหนักจนจิตดับไปถึง ๓ ครั้ง ให้อาตมาฟังว่า

แม่ชีเข้ามาในวัดนี้เมื่อวันที่ ๔ ธ.ค. ๒๖ วันรุ่งขึ้น ๕ ธ.ค. ๒๖ มีโอกาสไปโบสถ์ ฟังหลวงพ่อบรรยายธรรมเป็นครั้งแรก รู้สึกสนใจ เพราะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ไม่เคยได้ยินคำว่าวิปัสสนากรรมฐาน คือการปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแท้จริง เกิดศรัทธามาก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้บวช จึงได้ตั้งใจฟัง

ตอนที่โยมมาบวชครั้งแรก ไม่มีการสอนอย่างใกล้ชิดเหมือนปัจจุบันนี้ ผู้ศรัทธาจะตั้งใจฟังหลวงพ่อ และต้องมีศรัทธาจริง ๆ เท่านั้นถึงจะปฏิบัติได้ โยมก็ตั้งใจฟังและตั้งใจปฏิบัติ

มีแม่ชีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง คือ แม่ชีกัลยา คุ้มแจ้ง เป็นแม่ชีที่มีปฏิสันถารดีมาก คอยช่วยแนะนำการปฏิบัติให้ การปฏิบัติธรรมของเขาระยะนั้นดีมาก โยมเคารพภูมิธรรมในตัวเขามาก แต่อยู่กับเขาได้ ๕ ปี เขาก็จากสำนักนี้ไป

โยมไม่ค่อยจะมีความเพียรและอดทนเท่าไรนัก บางครั้งก็รู้สึกเกียจคร้านและท้อถอย แต่ระเบียบของวัดต้องปฏิบัติตาม

ในวันพระต้องลงปฏิบัติธรรมทั้งรอบค่ำและรอบดึก หลวงพ่อจะแสดงธรรมให้ฟังสองรอบ ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ก็พยายามปฏิบัติตามระเบียบของวัดมาเรื่อย ด้วยความตั้งใจ

ความท้อถอยนั้นมีเป็นบางครั้งเพราะขณะนั้น ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ตอนแรกเป็นที่เต้านม และเปลี่ยนลงไปในปอด พอเป็นมากก็ทำให้ไอและปวดมาก มีอาการเหนื่อยมาก

 

ตายครั้งที่ ๑

เวลาทำงานหรืออยู่เฉย ๆ ก็เหนื่อย ตอนกลางคืนจะไอมากและไออยู่ถึง ๔ เดือน จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๘ มีอยู่คืนหนึ่งจำวันที่ไม่ได้ คืนนั้นมีอารมณ์โกรธ โกรธความทุกข์ทรมาน

วันนี้นึกในใจว่า คืนนี้เราจะไม่ไออีกแล้ว ไอจนผู้อยู่ใกล้ชิดรู้สึกรำคาญ ทั้ง ๆ ที่เราก็ห้ามไม่ได้ ยิ่งตอนดึก ๆ จะไอมาก จนทำความรำคาญให้คนอื่นที่เขาอยู่ใกล้ ๆ

ถึงกุฏิจะห่างกัน อยู่ข้างล่างหรือข้างบน ห้องพระ    กุฏิแม่ชีที่อยู่ปัจจุบันนี้ เสียงก็ได้ยินถึงกันหมด

เวลาขณะนั้นประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน กำหนดไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปประมาณ ๒ ชั่วโมง ด้วยแรงที่โยมกลั้นไอ มันเหมือนกับการกลั้นใจ รู้สึกเหมือนจะตาย เวทนามันเข้ามาในอารมณ์มาก

มีอาการเหมือนกับเลือดมาเลี้ยงสมองไม่พอ รู้สึกวูบ จิตกำลังจะดับ เหมือนกับหัวใจเต้นแรงแต่ก็อ่อนแล้วก็สั่นมาก ก็กำหนดว่ารู้หนอ รู้หนอไปเรื่อย ๆ

แต่ต้นจิตของโยมจริง ๆ ขณะนั้นกำลังมีโทสะ คือ โกรธอาการเจ็บป่วย โกรธโรคภัยไข้เจ็บที่มารบกวน การกำหนดรู้หนอก็เลยทำให้ไม่มีสมาธิ สติไม่มั่นคง

อาการวูบเมื่อจิตจะดับ มันวูบใจสั่น วูบที่หนึ่งโยมกำหนดรู้หนอได้ทัน วูบที่สองโยมก็กำหนดได้ รู้หนอ พอวูบครั้งที่สามจะเกิดขึ้นเร็วมาก มันมีสีดำหมุนมาข้างหน้าก็เลยไม่ทันกำหนดว่า เห็นหนอ กลัวมาก แล้วจิตก็ดับ วุ้บ! เข้าทันที

จิตก็ตามไปเลย ตามความหมุนไป ตรงจุดกลางของสิ่งที่หมุนเป็นสีดำ ดำเหมือนสีย้อมผ้า มืดมาก
น่ากลัวมาก

พอวูบไปเหมือนน้ำดูด รูปที่เห็นเป็นน้ำทั้งหมด แต่ที่โยมรับสัมผัสขณะจิตดับวูบ ไม่ใช่น้ำ เป็นเหมือนอากาศที่มีแรงดูดมาก ดูดโยมหมุนลงไปลึกมาก มีแรงดูด มีควันดำมืด แล้วก็ร้อนมาก ทรมานมาก ดูดลงไปเหมือนไม่มีอากาศหายใจ

แรงดูดนั้นดูดลงไปแล้ว ก็หมุนดูดโยมขึ้นมาอีก โผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่งก็ร้อง เฮือก! (เสียงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง) หายใจได้ครั้งหนึ่ง

แล้วก็ดูดลงไปอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ดูดลงไปร้อน ไม่มีอากาศหายใจ เสวยทุกข์ทรมานมาก และนานมากในความรู้สึกของโยม รู้สึกว่าทุกข์ทรมานมากที่สุด ร้อน หายใจไม่ออก แน่น แต่ก็ไม่ตาย

พอเราจะขาดใจ ก็ปล่อยเราขึ้นมา หมุนดูดขึ้นมา ตัวพุ่งขึ้นมา แล้วก็ดูดลงไปอีก

นานจนกระทั่ง พอโยมถูกหมุนขึ้นมาอีกครั้ง มีลมเป่าวูบที่หน้าผาก โยมก็จำได้ว่าเป็นลม แต่ไม่ทันกำหนดรู้อะไร ก็ถูกดูดลงไปอีก

ขณะที่โยมได้รับความทรมาน จำไม่ได้ว่าโยมเป็นอะไร เป็นใครและทำอะไรอยู่ รู้อย่างเดียวว่ามันทุกข์ทรมานมาก จนกระทั่งได้รับสัมผัสลมที่ถูกเป่า แล้วก็ถูกดูดลงไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็หมุนให้โยมขึ้นมาอีก

พอถูกลมครั้งที่สองเป่าพรวดออกมา โอ้โฮ! นึกขึ้นได้ มีกลิ่นยานัตถุ์ นึกถึงหลวงพ่อ โอ้! นึกถึงตัวเองได้ว่า เอ๊ะ! ขณะนี้เราเป็นแม่ชีนะ เรากำลังปฏิบัติกรรมฐานนะ สติก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอทันที แต่ใจสั่นมาก สั่นแล้วร้อนมากที่สุดเลย ก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอได้อย่างเดียว กำหนดสั่นหนอก็ไม่ได้ กำหนดรู้หนอ รู้หนอ อยู่นาน

การที่โยมระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้ คือ ได้สัมผัสกับลมที่เป่านี้ ที่จำได้เพราะแรก ๆ ที่โยมปวดทนไม่ไหวก็ไปหาหลวงพ่อ ท่านก็จะเป่าให้อย่างนี้ จึงได้จำลม สัมผัสลมได้ว่า สิ่งนี้เป็นลม

และสัมผัสกลิ่นได้ว่านี่เป็นกลิ่นยานัตถุ์ ระลึกถึงหลวงพ่อได้ก็คือมีกลิ่นยานัตถุ์ เมื่อถูกสัมผัสลมครั้งที่สอง

โยมรู้สึกว่าระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้ ก็ระลึกถึงหลวงพ่อ ระลึกว่าเราเป็นแม่ชีนะ กำลังปฏิบัติกรรมฐานอยู่นะ กำหนดรู้หนอ รู้หนอ จิตมันก็เกิดมาในรูป คือ รูปที่โยมนั่งอยู่

แต่มีเวทนามาก ตัวสั่นพึบพั่บ ๆ ใจก็สั่น ใจจะขาดไม่ขาด เหมือนกับคนเป็นลม ก็กำหนดอยู่นาน

โยมเกิดเวทนาประมาณ ๔ ทุ่ม พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งว่าได้รับสัมผัสลม ระลึกได้ว่าเราเป็นแม่ชี แล้วกำหนดรู้หนอ รู้หนอ ประมาณ ๖ ทุ่มกว่า เกือบตี ๑

แล้วกำหนด รู้หนอ สั่นหนอ สั่นหนอ แล้วเอนหนอ เอนหนอ นอนลงไปได้ แต่ก็กำหนดสั่นหนออยู่ตลอด เพราะมันไม่หายหรอก กำหนดอยู่ตลอดจนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาตี ๓

พอดีหลวงพ่อกดออดที่กุฏิท่านเสียงดังไปถึงห้องพระที่เรือนแม่ชี ได้ยินเสียงท่านเรียก

“กัลยา มาหาหลวงพ่อหน่อย”

โยมก็ได้ยิน แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน เพราะโยมก็พูดไม่ได้ แต่ก็รู้ แม่ชีกัลยาก็ขึ้นไปหาหลวงพ่อ แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับยา แล้วก็นำมาให้โยม

หลวงพ่อสั่งให้อธิษฐานแล้วก็ทานยา พอโยมได้สติดี คือดีขึ้นแต่ยังไม่หาย แม่ชีกัลยาก็เล่าให้โยมฟังว่า

ขณะที่หลวงพ่อเรียกไปพบ ท่านถามแม่ชีกัลยาว่า

“ทำไมหนูไม่ช่วยเขา”

แม่ชีกัลยาก็ตอบว่า “หนูไม่ทราบนึกว่าพี่เขาไปดี”

หลวงพ่อก็บอกว่า “ไม่ได้ไปดีหรอก ไม่ใช่สำเร็จหรอก จะเสร็จอยู่แล้ว เขาไปตกนรกรู้ไหม หลวงพ่อเพิ่งไปดึงขึ้นมาเดี๋ยวนี้ นั่งไม่มีสติกำหนดไม่ได้ ดีนะที่หลวงพ่ออยู่”

โยมได้ยินจากแม่ชีกัลยามาเล่าต่อ ไม่ได้ยินจากหลวงพ่อเอง ตอนนั้นแม่ชีกัลยาเขาเป็นผู้สอนกรรมฐาน เลยมีโอกาสได้ใกล้ชิดหลวงพ่อมากกว่าโยม

พอโยมฟื้นขึ้นมาก็ระลึกถึงเหตุการณ์ที่โยมได้รับเวทนา จิตมันก็คิดได้ว่า โยมเป็นคนดื้อรั้นมาก

เมื่ออดีต โยมเคยอ่านหนังสืออภิธรรมหรือจะฟังใครก็ตาม เช่น ฟังอาจารย์แนบที่เคยบรรยายในวิทยุ ถึงอายุของสัตว์นรกอะไรต่าง ๆ โยมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร มีความลังเลสงสัยอยู่ มีทิฐิมาก

โยมมาประสบกับตัวเองครั้งนี้คงเป็นนรกจริง ๆ ที่เราเคยทิฐิต่อต้านว่าไม่จริง

โยมเคยได้ยินเขาบรรยายธรรมว่า ผู้ที่ไม่ฝันมีอยู่ ๓ อย่าง คือ สัตว์นรก ทารกในครรภ์ และพระอรหันต์ ที่ไม่ฝัน เพราะไม่มีเวลาจะฝัน

โยมก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก มาเชื่อเอาสนิทใจเมื่อได้ประสบกับเวทนานี้ โยมเชื่อแล้วว่า สัตว์นรกไม่มีเวลาฝัน เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังจำไม่ได้

จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ทำอะไรอยู่ ด้วยเหตุใดจึงตกลงมาอย่างนี้ ยังไม่มีสติระลึกรู้ เพราะได้รับทุกขเวทนามาก จนไม่มีเวลาที่จะคิดถึงอย่างอื่นได้เลย

โยมเชื่อแล้วว่า เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าพระมาลัยองค์เดียว คือ พระอรหันต์ที่ลงไปโปรดสัตว์นรก องค์เดียวที่ทำให้มหาปฐพีที่เป็นเพลิงดับ เครื่องมือที่ทรมานสัตว์นรกให้เกิดความทุกข์ต่าง ๆ ก็หยุดทำงานได้พอได้ฟังก็มีความสงสัยอยู่ ตอนนี้เชื่อแน่นอน ไม่สงสัยอีกเลย

และโยมก็ไม่ทราบว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ สำเร็จแล้วหรือยัง แต่ก็สามารถไปช่วยโยมได้แน่นอน

เพราะถ้าโยมไม่ได้รับสัมผัสลมอย่างนั้น ก็คงนึกไม่ได้ว่าโยมเป็นใคร ทำอะไรอยู่ และทุกขเวทนาที่ได้รับนั้นคืออะไร โยมก็เชื่อแล้ว ไม่มีความลังเลสงสัยอีกแล้ว

โยมมาพิจารณาดูว่า ที่โยมได้รับทุกขเวทนาขนาดนี้ เพราะสติของโยมอ่อนเวลาปฏิบัติธรรม ในขณะที่เจริญภาวนาอยู่กำหนดไม่ได้ อาจเป็นเพราะวิบากกรรม ที่โยมเคยมีทิฐิมานะต่อคำสอน หรือจะเป็นแรงบุญกุศลที่ทำให้โยมได้รู้จักนรกที่แท้จริงก็ได้

 

คุณตาไปนรก

รื่องนรกนี้โยมเคยได้ยินคุณตาเล่าให้โยมฟัง คุณตาชื่อ นายดิด กล่ำจันทร์ ตอนอายุ ๑๔ ปีได้ป่วยเป็นไข้ รู้สึกว่ามีคนมาปอกส้มเหนือที่นอน ท่านได้กลิ่นก็สลบวูบไป

ไปรู้ตัวอีกทีหนึ่ง มีคน ๒ คน พาเดินไป เขาเดินไปข้าง ๆ พอไปถึงที่มีคนนั่งอยู่บนแท่นหิน

มีคนถามว่า “มึงชื่ออะไร

คุณตาก็ตอบว่า “ผมชื่อดิดครับ

พอดีคนที่นั่งอยู่บนแท่นบอกว่า “เอ้า! ผิดตัวแล้ว คนนั้นชื่อ ดี เอาไปส่งนะ

สองคนที่พาคุณตาไป ก็จับแขนคุณตาให้หันหลังกลับ แล้วบอกว่า “ไป! มึงไป เดินไป

คุณตาเดินมาเรื่อย วิ่งบ้าง เดินบ้าง เพราะแรงฉุดของเขา ตอนไปเดินไปดี ๆ ตอนกลับเขาให้วิ่งบ้าง เดินบ้าง เหนื่อยมากที่สุดเลย

ในช่วงที่เขาปล่อยให้เดิน หิวน้ำมาก มองเห็นข้าง ๆ ทางมีขันสัมฤทธิ์สมัยก่อน ใส่น้ำมีดอกมะลิลอย มีจอกสัมฤทธิ์ลอยอยู่

คุณตาก็ตักน้ำขึ้นมา พอจอกจ่อถึงปาก เขาก็ตบขันน้ำร่วง น้ำหกกระเด็นไป เขาพูดว่า “ไม่ใช่ของมึง มึงไม่ได้ทำไว้ กินไม่ได้หรอก ถ้าหิวมากก็กินโน่นของมึงอยู่โน่น

คุณตาหันไปเห็นก็จำได้ว่า เป็นชามถ้วยตราไก่ ใส่ปลาทูอยู่ ๒ ตัว อีกชามหนึ่งเป็นถ้วยข้าว ไม่ใช่ข้าวร้อนหรอก

คุณตาจำได้ว่า เมื่อตอนเป็นเด็ก แม่เคยสั่งก่อนออกไปทุ่งนาว่า “ไอ้หนู พระมาตักข้าวใส่บาตรด้วยนะ”ความที่คุณตาขี้เกียจจะไปตักข้าวในหม้อ ก็หยิบข้าวเย็นไปใส่ แต่ข้าวยังไม่ได้บูด ใส่ข้าวพร้อมปลาทู ๒ ตัวที่แม่ทอดไว้ให้

คุณตาก็เลยนั่งรับประทาน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หิวข้าว แต่หิวน้ำ ทานเสร็จรู้สึกอิ่มแล้วก็ชื่นใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นข้าวเย็น แต่ก็ไม่หายหิวน้ำ

พอทานเสร็จแล้ว สองคนนั้นก็บอกให้เดินทางต่อไป เดี๋ยวไม่ทันเวลา คุณตาก็รีบเพราะกลัวคำว่า

ไม่ทันเวลา

ขณะที่เดินก็เห็นคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ในใจก็นึกว่า “ทำไมเขามายืนใต้ร่มไม้นะ ต้นไม้ใหญ่ ๆ ดูแล้วเขาก็มีความสุขดี คุณตาอยากจะถามด้วยคำพูด แต่ก็พูดไม่ได้ ได้แต่นึกในใจ

สองคนนั้นก็ตอบแทนคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ว่า “นั่นแหละเขามีใจศรัทธา ปลูกต้นไม้ให้เป็นร่มเงา ให้ความร่มเย็น แก่สัตว์หรือคนที่เข้าไปอาศัย คนโบราณเขาจะปลูกต้นไม้ถ้าเขาไม่มีเงินทองที่จะสร้างศาลาพักร้อน ปลูกไว้ข้างทางเดินหรือกลางทุ่ง เพื่อให้เป็นร่มเงาแก่วัว ควาย หรือสัตว์หรือนกอะไรก็ตาม หรือคนเดินทางมาร้อน ๆ ก็มาพักเหนื่อย

คุณตาก็รู้สึกจำได้ว่า “อ๋อ! ทำบุญด้วยการปลูกต้นไม้ก็ได้บุญ มีความสุข ขณะที่ตายไปก็มีความสุขเหมือนตัวเองได้อยู่วิมาน

เดินต่อไปอีกก็เห็นบ้าน บนบ้านมีคนเยอะ ใต้ถุนมีคนหนึ่งนั่งอยู่คนเดียว อีกบ้านหนึ่งใต้ถุนบ้านมีคนเยอะแต่บนบ้านมีคนอยู่คนเดียว

คุณตาอยากจะถามคนที่อยู่บนบ้านและอยู่ใต้ถุนบ้าน แต่ก็พูดไม่ได้แต่ในใจก็นึกถาม

สองคนที่พามาก็ตอบแทนคนเหล่านั้นว่า “นั่นแหละคนที่ทอดกฐินเพื่อเอาหน้าเอาตา ก็อยู่ใต้ถุนบ้านคนเดียว คนที่เขาอนุโมทนาด้วยความจริงใจ เขาก็อยู่บนบ้าน คนเยอะๆ ที่อยู่บนบ้านนั่นแหละคือคนที่ร่วมอนุโมทนาในการทอดกฐินด้วย ส่วนอีกหลังหนึ่ง มีคนอยู่ใต้ถุนเยอะ อยู่บนบ้านคนเดียว คือคนที่เขามีศรัทธาจริง ๆ ได้ทอดกฐิน จองกฐินคนเดียว แต่มีคนมาอนุโมทนาสาธุการน้อมจิตเป็นกุศล ด้วยความเต็มใจ เขาก็ได้อยู่วิมานด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน แต่คนรับจองอยู่บนบ้าน คนอนุโมทนาอยู่ใต้ถุนบ้าน แต่ก็มีความสุข

คุณตาก็เดินต่อมาเรื่อย ๆ เดินบ้าง วิ่งบ้าง หิวน้ำเหลือเกิน ทรมานมากแต่ก็รู้อยู่ในใจคนเดียว ไม่คิดจะถาม แต่สองคนที่พามาก็บอกว่า “หิวน้ำมากใช่ไหม จำไว้นะ ไม่ได้ทำบุญด้วยน้ำ ตายไปก็ต้องหิวน้ำอย่างนี้แหละ

คุณตาก็จำได้ ไม่เถียง ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น พอดีหมดเวลา มาถึงบ้าน เขาก็บอก ถึงแล้วและจับคุณตาโยนลงมา คุณตามีความรู้สึกว่าเหมือนตกลงมาจากที่สูง วูบลงมาเลย ลงมาที่นุ่ม ๆ แล้วก็มีความรู้สึกตัว

ได้ยินเสียงน้าสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ก็กระดิกมือ ทุกคนกลัว วิ่งลงเรือนไป คุณตายังพูดไม่ได้ ยังหิวน้ำมาก แต่ก็บอกขอน้ำกินไม่ได้

น้าสาวไม่กลัวหลาน ดีใจ เปิดผ้าคลุมออก จับตัวดู มีความอุ่นขึ้น และรู้สึกสั่น ๆ ก็เลยรีบตักน้ำมาให้ คนเฒ่าคนแก่บอกว่า “อย่าให้น้ำมากคนสลบไปเป็นคืนเป็นวันต้องให้น้ำแต่น้อย

เขาก็ใช้สำลีหยดน้ำเข้าปากให้ใจคุณตาอยากให้ยกน้ำให้ดื่ม แต่ก็พูดไม่ได้เพราะคางแข็งหมด

คุณตาสลบตั้งแต่บ่ายสามโมง มาฟื้นตอนเช้าหลังถวายสังฆทาน พระกลับวัดหมดแล้ว กว่าจะพูดได้ใช้เวลาเป็นวัน ลมหายใจจากอ่อนก็แรงขึ้น แรงขึ้นจนกระทั่งเกือบจะปกติ

ตอนสลบไปเป็นไข้อยู่ พอฟื้นขึ้นมา จิตก็ระลึกตลอดเวลาว่า ถ้าหายป่วยจะขอทำบุญด้วยน้ำ เพราะจำได้ว่าทุกข์ทรมานด้วยความหิวน้ำมาก

พอดีมีหมอรักษาไข้ คุณตาหายจากไข้ก็เริ่มแข็งแรงขึ้น มีเศรษฐีคนหนึ่งอยู่บ้านปากคลองริมแม่น้ำน้อย ได้มาขอคุณตาไปเป็นบุตรบุญธรรม คุณตาก็ขอแม่บุญธรรมว่า ก่อนที่จะทำงานอย่างอื่น อยากจะขอขุดบ่อน้ำสักลูกหนึ่ง ให้ได้ใช้กันตลอดหมู่บ้านที่เขาอยู่ คือหมู่บ้านหนองตารอดและบ้านที่จะไปอยู่ อยู่ปากคลองบางประเกต ห่างกันไม่ถึงกิโลเมตร

บ่อน้ำ

โรงเรียนวัดโบสถ์วรดิตศรีราษฏร์อุปกฤษ

ศาลาขาว

แม่บุญธรรมก็ยอมให้ขุด ออกทุนให้ ให้ทำรองฝักมะขาม คือทำเป็นท่อน ๆ เป็นวงบ่อ ปัจจุบันนี้บ่อนี้ยังอยู่ ตอนที่ขุดนั้น คุณตาอายุประมาณ ๑๖ ปี

ต่อมาได้สร้างศาลาพักร้อนหลังหนึ่งคู่กัน เรียกว่าศาลาขาว และช่วยทำงานตามวัด สร้างศาลา สร้างโรงเรียนโดยไม่คิดค่าแรงเลย

โรงเรียนที่สร้างชื่อโรงเรียนวัดโบสถ์วรดิตศรีราษฎร์อุปกฤษ พี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยกันสร้าง มีวัสดุอยู่เดิมเพียงแต่ออกแรงช่วยกันทำเท่านั้น

คุณตาบอกว่าตั้งใจทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีศรัทธาที่จะทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม อุทิศให้เป็นทาน คือสร้างศาลาพักร้อนให้ผู้อื่นร่มเย็น ขุดบ่อน้ำเพื่อให้คนได้ดื่มได้ใช้ ก็ได้รับความสะดวกสบายมาจนทุกวันนี้

โยมอยู่กับคุณตามาตลอด ได้เห็นพฤติกรรมการทำกุศลของท่านปัจจุบันนี้คุณตาอายุ ๘๗ ปีแล้วก็ยังทำบุญตักบาตรทุกวัน และเป็นหมอแผนโบราณ ใครจะตามไปไหนก็ไป แก่แล้วก็ยังทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม

โยมเห็นมาอย่างนี้จึงทำให้จิตใจโยมรู้จักการเสียสละมาตั้งแต่เด็กและติดเป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้

 

ตายครั้งที่ ๒

อยู่ต่อมาอีก ๖ เดือน ในปี พ.ศ ๒๕๒๘ ตรงกับวันแรง ๑๓ ค่ำเดือน ๙ วันนั้นเป็นวันโกน ก็ตั้งใจทำกรรมฐาน

หลวงพ่อบอกว่าวันโกน วันพระ เป็นการใช้กรรมได้เป็นอย่างดี โยมก็กำหนด รู้หนอ รู้หนอ เห็นหนอ เห็นหนอ

มีนิมิตเห็นเป็นโยมยืนอยู่บนเรือกำลังจะข้ามฟาก แต่เรือรั่ว น้ำก็พุ่ง ๆๆ ขึ้นมา เรือเกือบจะจมอยู่แล้ว เรือไม่มีพาย ไม่มีถ่อ ไม่มีอะไรทั้งหมด แต่ก็อยากจะข้าม

แลขึ้นไปบนฝั่ง เห็นคุณพ่อคุณแม่ของโยมยืนอยู่ คุณพ่อมองแบบธรรมดา แต่คุณแม่ยื่นมือออกมาขณะที่เรือกำลังจะจมลงไป

แม่บอกว่า เร็ว ๆ แม่มารับ โยมก็รีบยกมือขึ้นจับมือแม่ ตัวโยมก็ลอยติดมือแม่ขึ้นไปบนฝั่ง เรือลำนั้นก็จมวูบลงไป แล้วนิมิตก็หายไป

พอรุ่งขึ้นเป็นวันพระ เข้าโบสถ์ หลวงพ่อจะเทศน์เหมือนสอบอารมณ์ เราก็ตั้งใจฟัง ตั้งใจจำ  ตั้งใจพิจารณาดู

หลวงพ่อเทศน์เหมือนบอกว่า ถ้าเราปฏิบัติกรรมฐานไปเรื่อย ๆ เกิดนิมิตอะไรก็ตาม ในนิมิตของเรามีใครบ้าง นิมิตเป็นสัญญาน เป็นปริศนาธรรมให้เรารู้ว่า เราจะตายเราก็ควรจะไปให้ตรง เช่น เห็นใครอยู่ในนิมิต ก็ให้ไปพบกับคนนั้น ตอนนั้นโยมไม่สบายมาก ตั้งใจปฏิบัติติดต่อมาเรื่อย ๆ หลังจากที่สลบไปครั้งแรก มันเหมือนกับจะเตือนว่า โยมได้เคยทำความเสียใจให้กับพ่อแม่มากที่สุด ก็ควรจะไปขออโหสิกรรมเสีย

ถ้าเราได้ขออโหสิกรรมกับบิดามารดาจะทำให้เกิดกุศล บางทีคนจะตายก็ไม่ตายได้ การขออโหสิกรรมจะทำให้กรรมลดลงไป อาจรอดพ้นจากการหมดเนื้อหมดตัว รอดตายขึ้นมาได้

โยมก็จำไว้ คิดว่าที่หลวงพ่อบรรยายธรรมวันนี้ แสดงให้โยมฟังแน่ ๆ พอรุ่งเช้า อาการของโยมก็เป็นมาก ปวดภายในทรวงอกด้านขวามาก เริ่มปวดตั้งแต่ทำวัตรเช้าตีสี่ พอถึงเวลาไปทำครัว ยกขันตักน้ำ มือสั่นมาก มันปวดจนตัวสั่นมือสั่นไปหมด

แม่ชีกัลยาบอกว่าพี่เป็นมาก ควรไปหาหมอ แต่โยมรู้ของโยมก็เลยไม่พูดให้ฟัง ตั้งใจว่าอยากจะกลับบ้านอยากไปพบพ่อแม่เหลือเกิน จึงขออนุญาตกลับบ้าน แม่ชีกัลยาตามไปส่งด้วย

โยมออกเดินทางถึงสิงห์บุรี ก็นึกในใจว่า ในนิมิตโยมยืนอยู่ในเรือคนเดียว ถ้าเพื่อนไปด้วยจะไม่ตรงกับหลวงพ่อบอก นิมิตอย่างไร พิจารณาให้ดี แล้วทำไปตามนั้น แล้วจะมีผลดีกับเรา

บ้านของแม่ชีกัลยาอยู่บางระจัน จึงบอกกับเขาไปว่า “ฉันขอไปคนเดียวเถอะ เธอไปหาแม่ของเธอ ฉันจะไปหาแม่ของฉัน” เขาก็เป็นห่วง โยมก็บอกว่า คิดว่าทนได้ ไปไหว แล้วก็แยกกันที่สิงห์บุรี

โยมไปถึงบ้านคุณตาคุณยาย ไม่เห็นแม่ ตอนนั้นสั่นมากแทบจะล้มอยู่แล้ว แต่แข็งใจเดินอีกครึ่งกิโลเมตร ไปบ้านพ่อกับแม่ซึ่งอยู่กลางทุ่ง

พอถึงบันได โยมก็สั่นมาก มือสั่น ตัวสั่น พอก้าวพ้นบันได แล้วก็มีอาการกระตุกตั้งแต่นั้นมา แต่ยังกระตุกน้อยอยู่

พอดีพ่อกับแม่ก็มาพยุงให้เข้าไปในบ้าน โยมก็นอนกระตุก เหมือนอาการที่ว่ามะเร็งขึ้นสมองแล้วก็ชัก

แต่ตอนนี้สติดีกว่าตอนแรก ก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอ สติดี กำหนดได้ แต่ห้ามสังขารร่างกายไม่ได้ มันเป็นไปตามธรรมชาติ มันต้องสั่น มันต้องชัก ก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอ ไว้ตลอด

พอได้สติดีก็เลยขอธูปเทียน พานแล้วก็กวักมือเรียกพ่อแม่ให้มานั่งใกล้ ๆ ที่กวักมือเพราะเรียกไม่ได้ บอกกับพ่อแม่ว่า “กรรมใดที่ล่วงเกินพ่อแม่ เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ ขอให้พ่อแม่อโหสิกรรมให้ด้วย”

พ่อกับแม่โยมก็บอกว่า “สาธุ อโหสิให้” แม่พูดอโหสิให้ แต่พ่อยกมือสาธุเฉย ๆ แล้วโยมก็ชักต่อไป ระยะที่นอนกระตุกอยู่นั้น ปวดข้างในมาก แขนขากระตุก ตัวสั่น กำหนดรู้หนอ รู้หนอ ไว้ตลอด

ความรู้สึกที่โยมจำได้ มันเหมือนจะเริ่มดับ ดับเหมือนกับความว่าง แต่มันจะดับเหมือนเรากำลังจะตาย คิดว่าเป็นความว่างธรรมดา ว่างตั้งแต่ศีรษะ กำหนดรู้หนอที่มันว่าง ว่างจนหายไปหมดทั้งตัว ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเรานั้นมี ตั้งแต่ศีรษะกำหนดมาเรื่อย ๆ

จนสุดท้ายก็เหมือนสลบวูบไป โยมออกไปทั้งตัวเหมือนเดิน แล้วก็วิ่งด้วย ก็ไม่รู้ตัวว่าตัวนั่นเป็นอะไรจะเรียกวิญญาณ หรือกายในก็เรียนไม่ถูก

วูบสุดท้ายขณะที่กำหนดรู้หนอ รู้หนอ จิตโยมมีโลภะอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่อยากตาย ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติของเราต้องตายแน่ จิตดวงนี้กระมังที่ทำให้โยมไม่ได้ไปที่ดีอีก

ทุกขเวทนาเกิด มีการปรุงแต่ง มีการรับรู้ ระยะที่ออกมาครั้งแรก ยังมีการเดินแล้วก็วิ่ง มองเห็นตัวเองใส่ชุดขาว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่าสิ่งนี้เป็นชุดขาว

สติระลึกได้ว่า เหนื่อยมาก ทุกขเวทนา จิตจะรับรู้ความเหนื่อยไว้ตลอดเวลา เหนื่อยอยู่เป็นระยะเวลานาน ก็มีสติขึ้นมาเองว่าอ๋อ! ถ้าเรามีร่างกาย มีการเกิด เราจะต้องบำรุงเลี้ยงด้วยอาหาร เราจะต้องหาอาหารมาบำรุงร่างกายด้วยความเหนื่อยยากอย่างนี้ตลอดไป

พอสตินึกได้อย่างนี้แล้ว ความเหนื่อยหมดไปเลย จะมีความหิวขึ้นมาแทนที่ หิวมาก เหมือนไม่ได้ทานอะไรมาเป็นเดือนเป็นปี หิวที่สุดเลย ได้รับความทรมานด้วยความหิวอยู่นาน ก็มีสติขึ้นมาอีก “อ๋อ! เพราะเราไม่ได้ทำทาน บริจาคทานด้วยอาหาร เราจะต้องหิวอย่างนี้ตลอดไป

พอรู้ได้อย่างนั้นความหิวก็ดับไปกลายเป็นความหนาว รู้สึกหนาวมาก เคยจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หนาวจนกระทั่งต้องจุดไฟผิงอยู่ทั้งคืน มันก็ยังไม่หนาวเหมือนปัจจุบัน หนาวทรมานมาก

ก้มดูตัว รู้สึกมีผ้าขาวคลุมอยู่ ทำไมเราหนาวเหลือเกิน พอนึกขึ้นมาได้ สติก็ระลึกขึ้นมาว่า “เพราะเราไม่เคยทำทานด้วยผ้าผ่อน ไตรจีวรอะไรเลย จึงหนาวมากอย่างนี้

พอนึกได้ว่า เพราะเราไม่เคยทำทานด้วยผ้าหรือเครื่องทำความร้อนกันหนาว ความหนาวก็ดับไปเลย กลายเป็นความว้าเหว่

รู้สึกว้าเหว่มาก ต้องการเพื่อนมากที่สุด รู้สึกกลัวด้วย เหลียวไปดูทางไหนก็ขาวโพลนไปหมด เหมือนกับโยมเดินไปในหมอกควัน

ความที่โยมว้าเหว่ต้องการเพื่อนมาก มองดูรอบตัว ถ้ามีสัตว์สักตัวหรือต้นหญ้าสักต้น โยมก็คงจะอุ่นใจมองหาก็ไม่มีเลย ทรมานจริง ๆ ทรมานด้วยความกลัวและว้าเหว่ ต้องการเพื่อนอยู่นาน

จนสติระลึกได้อีกว่า “อ๋อ! เรามีอุปาทานยึดถือจะเอาคนอื่นเป็นที่พึ่ง ทำไมเราไม่พึ่งตัวเองละ พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เราพึ่งตนเองนะ” สติระลึกได้อย่างนั้น

และยังระลึกได้อีกว่า “ขนาดจะตาย รู้ตัวว่าจะตาย ยังต้องกลับมาตายกับญาติอีก ต้องหาเพื่อนมาดูใจ อยากจะมีพ่อแม่พี่น้องมาดูใจตอนใกล้ตาย เราไปอุปาทานอย่างนี้ ยึดมั่นอย่างนี้ เราจึงต้องว้าเหว่ มองดูซิใครมากับเราบ้าง เราเกิดคนเดียว เวลาตายก็ตายคนเดียว มาคนเดียว ก็ต้องไปคนเดียว

พอนึกถึงธรรมข้อนี้ได้ มันก็ดับวูบเหมือนตกจากที่สูง ตกลงมาแล้วก็เกิดความหนักที่ตัว ที่ปลายเท้า สติกลับคืนมา กำหนดได้ว่า รู้หนอ รู้หนอ ขึ้นมาเรื่อย ๆ

ตัวโยมก็สั่น เพราะก่อนที่จิตจะดับสลบไป มันสั่นและกระตุกอยู่สั่นจากเท้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงมือ หน้าอกถึงคอ กำหนดรู้หนอ รู้หนอ เรื่อย ๆ จนถึงศีรษะ

พอถึงหูก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้มากเลย จำได้ว่าเป็นเสียงยาย เสียงน้าสาวน้าชาย เพราะระยะที่โยมนอนกระตุกอยู่ ญาติมาดูกันหมดเลย

ได้ยินเสียงน้าชายสั่งงาน ให้คนนี้เตรียมไฟฟ้า คนโน้นจัดสถานที่และได้ยินว่า “ไม่เป็นไรหรอก ยังหัวค่ำอยู่ เพิ่งตายตอนเย็น ยังสวดทัน ไปนิมนต์พระมาสวดให้สักคืนหนึ่งเช้าค่อยถวายสังฆทาน” ได้ยินเสียงยายกับน้าสาวร้องไห้

ความรู้สึกของเราเหมือนมีคนมานั่งใกล้ ๆ อยากจะบอกกับเขาเหลือเกินว่า เรายังไม่ตายหรอก รู้สึกตัวแล้ว แต่พูดไม่ได้ ขากรรไกรแข็ง

พอดีแม่ก็จับมือโยมเหมือนในนิมิตเลยว่าจับข้างซ้าย นิ้วแม่สัมผัสนิ้วโยมทั้งสี่นิ้ว มันติดขึ้นมาเหมือนในนิมิตของโยมที่ทำเมื่อวันโกน

ได้ยินเสียงแม่พูดว่า “อ้าวฟื้นแล้วนะ ฟื้นแล้ว มือสั่นอีกแล้ว” พอดีคุณตาโยมเข้ามาใกล้ ๆ ก็บอกว่า “คงหิวน้ำแล้ว เอาน้ำมาหยอดหน่อย

โยมอยากบอกเขาว่าหิวน้ำ แต่พูดไม่ได้ และก็กลืนไม่ได้ ขนาดเขาหยอดน้ำยังไม่ลง มันแสบมาก แสบเข้าไปในปอดจนถึงหลอดอาหาร น้ำถึงคอก็แสบเหลือเกิน ไม่ต้องการจะทานอะไร เพราะทานไม่ได้ นึกในใจอย่างนั้น จะบอกกับเขาก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ เขาเอาน้ำมาหยอดก็แสบมาก

ริมฝีปากและนิ้วมือก็สั่น กระตุกตลอดเวลา เหมือนปลาเหมือนหนอนที่โยมเคยฉีดยาฆ่าแมลงมาก่อน สมัยเมื่อโยมทำการเกษตร หนอนที่ถูกยาแล้วมันจะสั่น กระตุกอย่างนั้น สติก็ระลึกได้ว่า เราเคยฆ่าหนอนมามาก ถึงได้สั่นขนาดนี้กระตุกแบบห้ามไม่ได้ และก็ปวดข้างในมาก

พอฟื้นขึ้นมา ความปวดที่เคยปวดในทรวงอกจะเบาขึ้น โยมชักกระตุกตั้งแต่เที่ยง สลบไปประมาณหกโมงเย็น ฟื้นขึ้นมาไม่ถึงสองทุ่ม

แต่ที่โยมไปได้รับทุกขเวทนา ๔ อย่าง รู้สึกนานเหลือเกิน ได้รับเวทนา ๔ อย่างคือ ความเหนื่อย ความหิว ความหนาว และความว้าเหว่ ได้รับทุกข์ทรมานนานมากเหมือน ๔ ปี

พอฟื้นขึ้นมาสติก็ระลึกได้ว่า ไม่หายหรอก มีความเพลียและอ่อนแรงมาก พูดก็ไม่ได้ ขอน้ำหยอดที่ลำคอก็ไม่ได้ แสบไปหมด ทานน้ำไม่ได้มานานหลายวัน ทานอาหารไม่ได้มานาน ๑๑ วัน นอนกระตุกอยู่อย่างนั้นแหละ

มีคนไปเยี่ยมเยอะ ที่วัดอัมพวันก็ไปเยี่ยมกันมาก นำสังฆทานมาให้โยมถวายพระวัดใกล้ ๆ บ้าน

นอนกระตุกตัวสั่นเหมือนหนอนที่ถูกยาฆ่าแมลงอยู่นานเป็นเดือนกว่าจะหาย พอหายกระตุก หลวงพ่อก็ให้แม่ชีที่เป็นเพื่อนกันไปเยี่ยมแทบจะทุกวัน สั่งไปด้วยว่า งวดนี้เอายาแบบนี้ให้กินนะ วันนี้เอาน้ำมันให้

พอวันที่ ๑๑ หลวงพ่อก็สั่งว่าวันนี้ต้องให้ทานอะไรเข้าไปให้ได้ โยมก็ไม่ทราบหรอก เพราะเขาไม่ได้พูดให้โยมฟังหรอกว่า หลวงพ่อพูดถึงโยมว่าอย่างไร

เพียงแต่บอกว่า วันนี้พี่ต้องทานอาหารนะ ดื่มน้ำข้าวก็ยังดี เขาก็เลยตักน้ำข้าวเอาเกลือใส่ พอเขาหยอดโยมก็ทะลึ่งสุดตัวติดช้อนไปเลย ก็ได้ทานอาหารตั้งแต่วันนั้น

เขาบอกกับโยมว่า หลวงพ่อสั่งมานะ ให้หนูนำอาหารให้พี่ทานให้ได้ ไม่ได้ทานข้าว ดื่มน้ำข้าวก็ยังดีใส่เกลือด้วยจะได้รักษาแผลในลำคอและในหลอดอาหารด้วย เขาก็เลยใส่เกลือซะเค็ม พอกลืนมันรู้สึกแสบอย่างที่สุด

เดือนหนึ่งผ่านไป โยมลุกขึ้นยืนจะเดิน อยากกลับวัด พอลุกขึ้นยืนตัวโยมก็เอียงไปทางขวา เพราะปอดทางขวาเจ็บมากที่สุด จึงยืนงอไปข้างหนึ่ง

จะก้าวขาซ้ายไป ต้องเอามือยกเท้าขวาตามไป เพราะก้าวไม่ออก โยมก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ เดินเบา ๆ เกาะข้างฝา

พอดีแม่ชีเข้าไปเยี่ยม วันนั้นโยมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลวงพ่อสั่งอะไรไป เขาไม่พูด เขาพูดเมื่อทำไปแล้ว เขาบอกว่า “วันนี้จะทำให้พี่เดินตรง ๆ ถ้าเดินตรงได้ก็กลับวัดวันนี้เลยนะ เพราะจากวัดมาเกือบ ๒ เดือนแล้ว” แล้วเขาก็ให้ทำตามเขา

เขาจับขาโยมขึ้นมา เพราะว่าโยมต้องนอนแบบงอขาขวาขึ้น เพราะถ้าไม่งอตั้งขึ้นแล้วมันจะเจ็บมาก รู้สึกเจ็บตรงปอดข้างขวามากที่สุด

แล้วเขาก็นวด นวด บอกให้กำหนดว่า ถูกหนอ ถูกหนอ ให้คอยกำหนดไว้ พอโยมเผลอก็เกิดการกระตุกอย่างแรงตรงปอดของโยม เสียงดัง “กึก” อะไรดังก็ไม่ทราบ จะเป็นเอ็นหรือกระดูกก็ไม่ทราบ

พอดังอย่างนั้น เขาก็บอกให้นอนเรียบ ๆ เอาขาลงได้แล้วและลองลุกขึ้น โยมก็ลุกขึ้นยืน ปรากฏว่า ยืนตรงได้ เขาก็บอกให้กลับวัดพร้อมกันเลย วันนั้นมีพระสองรูปไปเยี่ยมโยมด้วย

เมื่อมาถึงวัด พักผ่อนเสร็จแล้วได้เข้าไปกราบหลวงพ่อตอนเย็น หลวงพ่อทักว่า “เออ! มาแล้วเหรอ หลวงพ่อรู้ว่าเอ็งยังไม่ตายหรอก เลยไม่ได้ไปเยี่ยม” แล้วหลวงพ่อก็ถามต่อว่า “เอ็งรู้ไหมว่าเอ็งไปไหนมา ถ้าไม่ได้กลับนะจะต้องอยู่เป็นพัน ๆ ปีกว่าจะได้พบคนที่โปรดได้

ถ้าโยมกลับไม่ได้ สติไม่ดี หรือหลวงพ่อไม่ไปช่วยให้ระลึกได้ จะต้องเป็นสภาพเหมือนวิญญาณหรือจิตสังขารเป็นขันธ์ ๔ คือ ไม่มีรูป มีแต่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ขันธ์ ๔ รับรู้สุข ทุกข์ ปรุงแต่งได้ว่า อยากสัมผัส อยากมี อยากเป็น อยากพ้นทุกข์ รู้ว่าความรู้สึกนี้เป็นทุกข์ อยากให้พ้นทุกข์ไป เป็นจิตวิญญาณเฉย ๆ ล่องลอยไป เรียก สัมภเวสี ก็ได้เหมือนกัน

จิตวิญญาณที่ล่องลอยนี้ ถ้าได้พบคนที่เทศน์โปรดให้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และให้ระลึกถึงกุศลที่ทำมาได้ก็จะไปถึงที่ดี คือจุติที่ดีเลย

โยมคิดว่าเฮือกสุดท้ายของโยมติดตัวโลภะ คือยังไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ อยากอยู่ทำความดี แค่นั้นเอง จิตดับไปจึงพบกับสภาวะอย่างนั้น นี่คือครั้งที่สองที่จิตโยมดับไป

เว้นจากนั้นมาอีก ๖ เดือน ตรงกับวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๘ โยมมาพิจารณาได้ว่า สมควรจะได้รับทุกข์อย่างนั้นจริง ๆ

โยมเสียสละแรงกายมาตั้งแต่เด็ก แต่วัตถุทานปัจจัยสี่ ไม่ค่อยจะได้บริจาคเท่าไร มันมีความตระหนี่อยู่ในใจตลอดเวลา เลยทำให้โยมต้องประสบอย่างนั้น

เป็นการเตือนสติให้โยมรู้ว่า การเสียสละของโยมไม่ครบองค์ ถ้าไม่ได้กลับจริง ๆ คงจะต้องทรมานมากเลย

โยมเคยอ่านพบในอภิธรรมครั้งหนึ่งว่า สภาพเช่นนั้นเป็นจิตวิญญาณที่รับรู้ความทุกข์ทรมาน นานจนกว่าจะพบพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บรรลุธรรมแบบพระอรหันต์ สามารถโปรดได้ในปัจจุบัน ก็คงจะนานอย่างที่หลวงพ่อบอกว่าเป็นพัน ๆ ปี แล้วจะได้จุติที่ดี

ที่จิตโยมดับไปครั้งที่สองนี้ สติดีขึ้นมาก ตั้งแต่นั้นมาก็ตั้งใจทำกุศลด้วยวัตถุทานมากขึ้น เสียสละทั้งแรงกายและแรงใจและกำลังทรัพย์ เพราะนึกถึงความทรมานที่ได้ประสบมามันมากจริง ๆ

ตั้งแต่นั้นมาโยมก็ไม่กลัวความเหนื่อย ความหิว ความทุกข์ในโลกนี้อีกเลย จะรู้สึกเฉย ๆ

ปัจจุบันนี้ทำงานมากที่สุดก็ทนได้ เพราะคิดว่าเราเหนื่อยในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ ๑ ใน ๑๐๐ หรือ ๑ ใน ๑๐๐๐ ของโยมที่จะต้องไปได้รับข้างหน้า ถ้าทำไม่ดี

ถ้าไม่ทำกุศลเพิ่มขึ้น โยมเปลี่ยนทิศไปไม่ได้ จะต้องไปตรงนั้นอีก ก็กลัวมาก กลัวยิ่งกว่าความเหนื่อยยากลำบาก ความหิวโหย ความหนาว ความร้อนในโลกปัจจุบัน จึงทำให้ทนได้ทุกอย่าง เสียสละได้ทุกอย่าง ขณะเจ็บปวดอย่างไรก็ทนทำความดีต่อไป

โยมตั้งใจไว้ว่า ถ้าได้กลับมาอีกจะทำความดีตลอดไปจนกว่าจะหมดบุญกุศลในชาตินี้จริง ๆ โยมตั้งใจไว้อย่างนั้นจริง ๆ ถึงได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

หรืออาจจะเป็นบุญกุศลที่ได้ทำกรรมฐาน จึงทำให้ได้รู้ธรรมะจริง ๆ จากความทุกข์ที่ได้รับ ตอนนั้นโยมไม่ได้เป็นโรคหอบหืดเหมือนปัจจุบันนี้ พอกลับไปอยู่วัดได้ ๒ อาทิตย์กว่าก็เป็น หลวงพ่อได้สั่งไว้ว่า “อย่าไปทำอะไรที่หนัก ๆ นะ อย่าไปยกของหนักเดี๋ยวจะเป็นมากขึ้น ยังไม่หายดีหรอก

วันที่โยมได้รับความทรมานจากโรคหอบหืดครั้งแรกก็คือ วิทยาลัยพลศึกษาอ่างทองเขามาขอข้าวสารที่วัด ๔ กระสอบ หลวงพ่อก็อนุญาต เขาขับรถมาคนเดียว แม่ชีก็ไปช่วยยก โยมอยู่ที่นั้นด้วยก็ช่วยยกตอนนั้นมืดแล้วไม่มีใครเลย พอหมดกระสอบที่สี่ มันวูบแบบแน่นขึ้นมาเลย หายใจไม่ออก มันวูบจะล้มจะขาดใจตาย แล้วก็แน่นขึ้นมาที่คอที่หลอดลม

ในที่สุดโยมก็ต้องติดรถคันนั้นไปโรงพยาบาล ทราบที่โรงพยาบาลว่าโยมเป็นโรคหอบ เวลาหอบไปไหนไม่ได้เลย ตอนนั้นปลายเดือนธันวาคม อากาศหนาว เลยไม่ได้ไปไหนนั่งหอบอยู่อย่างนั้นแหละ โยมหายหน้าไปจนหลวงพ่อไม่เห็นหน้าโยมประมาณ ๒ เดือน

จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์อากาศก็ยังไม่หายหนาว มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อถามแม่ชีกัลยาว่า “สมคิดหายไปไหน” แม่ชีกัลยาก็ตอบว่า “พี่เขาหอบไม่ยอมออกจากห้องเลย หอบอยู่นั่นแหละ สองเดือนกว่าแล้ว ลุกเดินก็กลัวจะหอบ” หลวงพ่อเลยพูดว่า “ให้มันหอบเป็นอัมพาตไปเลย ทำให้เขารู้สักทีซิว่าทำไมถึงหอบ

 

ตายครั้งที่ ๓

มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่นั่งกรรมฐานพร้อม ๆ กัน ปกติโยมจะต้องวางยาขยายหลอดลมที่ใช้ในปัจจุบันนี้ไว้ข้าง ๆ ตัวพร้อมทั้งแก้วน้ำด้วย เวลาหอบจะได้ทานยา และไม่ยอมลุกจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้

แม่ชีกัลยาเขาคงรู้ว่าโยมคงไม่เสียสัจจะลุกเป็นแน่ เขาได้หยิบยาและแก้วน้ำของโยมออกไป พอนั่งกรรมฐานไปประมาณ ๖ ทุ่ม โยมก็เริ่มหอบ โยมก็กำหนด ยกหนอ ยกหนอ ยกมาจับหนอ จับหนอ ที่ยานั่นแหละ

ก็แปลกใจที่ไม่มียา เลื่อนไปที่แก้วน้ำที่วางไว้ตรงเข่าด้านขวาก็ไม่มี โยมก็นึกในใจถึงคำพูดของหลวงพ่อที่เคยพูดกับแม่ชีกัลยาว่า “ทำให้รู้ซะทีซิว่าเป็นอะไร ทำไมถึงหอบ” ทำให้โยมเพิ่มสติมั่นคงขึ้น กำหนดว่า แน่นหนอ แน่นหนอ หอบ แล้วก็แน่นตลอด ตั้งแต่ ๖ ทุ่ม ถึงประมาณตี ๒ วูบสลบไปเลย แต่ก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอได้

โยมรู้สึกตัวกำหนด รู้หนอ เห็นหนอ เห็นหนอ เห็นเป็นรูปผู้หญิงคนหนึ่ง นอนคลอดลูกอยู่ มีเด็กนอนคว่ำ กระเสือกกระสนหายใจไม่ออก ผู้หญิงที่นอนอยู่ก็ไม่ช่วย โยมรู้จิตใจของเขาหมด จิตใจเขาคิดอย่างไร โยมก็รู้ ความรู้สึกของผู้หญิงเหมือนความรู้สึกของโยมเอง มีความรู้สึกอยากให้เด็กตายเร็ว ๆ เหลือเกิน จิตของเด็กที่ได้ทุกขเวทนาคือ ความแน่น หายใจไม่ออก ก็รู้ว่าทรมานมาก และโกรธมากด้วย อาฆาตพยาบาทด้วยว่า “ใจร้ายเหลือเกิน เป็นแม่อะไรใจร้ายเหลือเกิน” จิตเด็กนั่นคิดอย่างนั้น “ทำไมไม่รักลูก ลูกก็รักแม่ ทำไมแม่ไม่รักลูก” ทั้งสามอย่างจะรู้พร้อม ๆ กัน

โยมนั่งดูเห็นภาพก็กำหนดรู้หนอ เห็นหนอ รู้เข้าไปถึงจิตของผู้หญิงที่คลอดลูก และรู้ถึงจิตของเด็กที่ได้รับทุกข์ทรมาน อาการที่เขาทรมานโยมก็รู้อีกนั่นแหละ รู้สึกว่าเป็นอาการเดียวกันกับที่โยมเป็นหืดหอบอยู่ ก็กำหนดรู้หนอ เห็นหนอ เห็นหนอ สักพักหนึ่งภาพก็ดับไป

รู้จิตของผู้หญิงที่นอนอยู่ ยินดีอยากให้เด็กนั่นตาย โดยที่ไม่ช่วยเหลือเลย ทั้งที่เป็นลูกเพิ่งคลอดออกมาใหม่แท้ ๆ และก็รู้จิตของเด็กคนนั้นว่า เขามีความพยาบาท อาฆาตโยมมากเลย รู้ด้วยว่าเขาทรมานด้วยความกระเสือกกระสน หายใจไม่ได้ ก่อนที่เขาจะตาย อุจจาระ ปัสสาวะ จะพุ่งออกมา ก็นอนพับไปแล้วภาพนั้นก็ดับไป

เห็นเป็นภาพแม่ใหญ่ยืนอยู่ข้างหน้าโยม โยมก็กำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ ปกติแม่ใหญ่จะใส่เสื้อมีกระดุมอยู่ข้างหน้า โยมเห็นแม่ใหญ่ใส่เสื้อเอากระดุมไว้ข้างหลังเป็นปริศนาธรรม

จิตโยมก็ถามแม่ใหญ่ว่า “ทำไมทำอย่างนั้น” แม่ใหญ่ก็บอกว่า “มันก็กลับไปกลับมานะซิ นี่กรรมกลับไปกลับมาอย่างนั้น” แล้วภาพนั้นก็ดับหายไป โยมก็กำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ รู้หนอ รู้หนอ แล้วก็ออกจากกรรมฐาน

คืนนั้นโยมไม่ได้หอบ คือ มันหอบเสียจนหายหอบไปแล้ว กำหนดได้ พอตี ๓ ก็หยุดพัก เอนตัวกำหนด เอนหนอ นอนหนอ ลงไปก็ไม่หอบ

จากนั้นก็เป็นโรคหอบเรื่อยมา ต้องพึ่งยาพึ่งหมอตลอด สติก็บอกแล้วว่าไม่หาย แต่โยมก็คงไม่ตายด้วยโรคหอบ เพราะมันรู้แล้วว่ากรรมอะไร

แสดงกรรมให้รู้ว่าในอดีตชาติโยมใจดำอำมหิตมาก ต้องเป็นอดีตชาติแน่ เพราะชาตินี้โยมไม่ได้ทำ กรรมอันนี้เองที่ทำให้โยมเป็นโรคหอบต่อจากเป็นมะเร็ง

ก็ยอมรับว่าเป็นกรรมของเรา เราทำเขาก่อน เขาถึงตาย เรายังไม่ตายก็เป็นบุญแล้ว เขาคงยกโทษอโหสิกรรมให้เราบ้าง แต่ก็คงจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข

จะประมาทไม่ได้เลย สนุกหัวเราะร่าเริงไม่ได้ โกรธใครไม่ได้ หรือมีวิตกกังวลไม่ได้ พูดเสียงดังก็ไม่ได้ จะหอบทันที ต้องมีชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท ประมาทเมื่อไรจะเกิดทุกข์ ความตายจะเตือนทันที มันจะหอบแรง นี่คือเหตุที่จิตโยมจะดับไปครั้งที่สาม

ต่อมาอีก ๔ – ๕ เดือน ตรงกับเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๒๙ โยมกลับไปอยู่บ้าน เพราะว่าเป็นช่วงที่โรงเรียนปิด คนมาวัดน้อยแล้ว โยมขอไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะระยะที่ทำงาน จะหอบไปด้วย

มีอยู่วันหนึ่งขณะอยู่บ้าน อากาศร้อน โยมหอบตั้งแต่เช้าจนถึงสี่โมงไปอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยาย มีน้าชายคนเล็กอยู่ด้วย ข้าง ๆ บ้านมีบ่อเก่ามีแอ่งน้ำเล็ก ๆ โบกปูน มีสวนเล็ก ๆ อยู่หลังเรือน

วันนั้นหอบมากเหมือนจะตายแล้ว หอบแล้วก็วูบไปหลายครั้ง ก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอ คิดว่าถ้าอยู่บนบ้าน ตากับยายคงจะกระวนกระวายใจมาก และอาจทำให้โยมได้สติ

โยมก็ค่อย ๆ คลานลงบันได้มาไม่ให้ตากับยายเห็น ขณะนั้นตามีแขกมารักษารดน้ำมนต์เพราะสุนัขบ้ากัด โยมค่อย ๆ คลานไปที่แอ่งน้ำนั่งอยู่ที่ขอบบ่อ

กำหนดอย่างไรก็ไม่หาย หอบแรงขึ้นทุกที เหมือนจะตาย วูบครั้งสุดท้ายก็จำได้ คล้ายกับการสลบที่วัด ครั้งที่หนึ่ง โยมกำหนดรู้หนอ วูบที่สองก็กำหนดรู้หนอ

พอวูบที่สามมันยังไม่เกิด โยมก็นึกในใจว่า แหม! นึกสงสารคนที่เป็นลมตาย วันนี้เราต้องเป็นลมตายขนาดเราทำกรรมฐานได้ เรากำหนดสติไว้อยู่แล้วนะ ยังแทบตั้งสติไม่ได้ นึกสงสารคนที่จะตายทีหลังโยม คิดว่าวันนี้โยมต้องตายแน่ สติมันบอกว่าอย่างนั้น

ก็เลยคิดว่าลองดูซิ คนเป็นลมตายจะเห็นอะไร จึงกำหนดลืมตาหนอ ก็เห็นเป็นสีเหลือง ๆ แล้วมันก็วูบ วูบจมลงไปในน้ำเลย มารู้ทีหลังว่าหน้าจุ่มลงน้ำครึ่งเดียว จมูกกับปากจุ่มอยู่ในน้ำ ไม่ใช่มิดศีรษะ แล้วจิตก็ดับไป โยมสลบไปโผล่อีกที่หนึ่ง จำได้ว่ายืนอยู่ ข้างหน้าเป็นเหมือนทะเล หรือลานที่มีน้ำกว้าง ๆ ตะวันกำลังตกใหม่ ๆ ตกลงไปในน้ำเป็นสีเหลืองอมแดงทอง ๆ มีลมพัดจากน้ำมาถูกโยม เย็นชื่นใจเหลือเกิน ในใจก็นึกว่า “เราไม่ได้ทำบุญด้วยวิหาร ศาลาต่าง ๆ ก็ไม่เคยทำ ทำแต่กำลังกาย และอนุโมทนาบุญทั้งนั้นเลย ได้แค่นี้ก็พอใจแล้ว ถึงจะไม่ได้วิมาน แค่นี้ก็เป็นสุขแล้ว ไม่มีทุกข์อะไร มีความเย็นชื่นใจ มีความสุขและอิ่มเอิบใจมาก” ยืนอยู่นานเหมือนกัน เหมือนอยากจะรู้ว่าตรงนี้คืออะไร เรียกว่าอะไร

พอนึกในใจอย่างนั้น มีเสียงบอกมาว่า “ตรงนี้รู้ไหม เขาเรียกว่า ท่าพระลาน คนมีเมตตาจิตจะได้มาอยู่ตรงนี้” โยมได้ยินแค่นั้น จิตตอนนั้นก็บอกพอใจแล้วละ อยากอยู่ตรงนี้ ได้อยู่ตรงนี้ก็พอใจแล้ว

ก็มีเสียงขึ้นมาอีกว่า “อยู่ไม่ได้หรอก กลับไปทำใช้หนี้เขาก่อน เกิดมาทั้งทียังไม่เคยใช้หนี้ใครเลย ปัจจัย ๔ ทั้งหมดที่บริโภคใช้สอยมา ไม่เคยใช้หนี้เขาเลย กลับไปซะ กลับไปทำความดีใช้หนี้เขาก่อน

พอหมดเสียงดับไป เหมือนกับมีลมพัด เป็นลมอะไรก็ไม่รู้แทงสันหลังเย็นวูบแถวสันหลังมาข้างหลังนึกว่าลมอะไรมาข้างหลัง ที่จริงโยมยืนอยู่ลมพัดมาข้างหน้า ลมพัดอ่อนชื่นใจมาก ปรากฏว่าเป็นน้ำที่บรรดาญาติเขาล้างตัวให้โยม ที่เขาล้างให้เพราะขณะที่วูบลงไป หน้าปักลงไปในน้ำก้นกระดกสูงขึ้น อุจจาระ ปัสสาวะราดออกมาหมดเลย เหมือนกับคนเป็นลมตาย

เขาเล่าตอนหลังว่า เห็นหายไปนานจึงออกตาม น้าสะใภ้เป็นคนเห็นก่อน คิดว่าคราวนี้คงตายแน่ ไม่ได้ไปบอกกับพ่อแม่ของโยมหรอก

น้าชายเป็นคนราดน้ำ น้าสะใภ้เป็นคนล้างให้ พอโยมรู้สึกตัวก็สั่นขึ้นมา หูได้ยินเสียงว่า “อ้าวฟื้นอีกแล้วเหรอ ตัวสั่นอีกแล้ว

น้าสาวกับน้าสะใภ้ก็ช่วยกันหามโยมมาไว้ใต้ถุนบ้านตากับยาย โยมก็กำหนดว่าสั่นหนอ สั่นหนอ เพลียหนอ เพลียหนอ

ตอนนี้รู้จริง แต่พูดไม่ได้ ตัวสั่นลมจะขึ้นตลอดตั้งแต่ปลายเท้า วูบมาที่กระเบนเหน็บ เหมือนอุจจาระ ปัสสาวะ จะออกตลอดเวลา

โยมออกจากบ้านตอนสี่โมงเช้า ตอนเขาไปพบเป็นเวลาบ่ายโมง โยมก็กำหนดรู้หนอไปถึงประมาณหกโมงเย็น ถึงพูดได้ว่า “ขอยาแก้หอบกินหน่อย” เขาก็หยิบยาขยายหลอดลมมาให้

ทานไปสักพักหลอดลมก็ขยายขึ้น แต่เพลียมากข้ามวันข้ามคืน แต่ก็ลำดับเหตุการณ์ได้ว่า ที่วูบลงไปนั้นอาการเหมือนกับที่นิมิตบอกทรมานอยู่จนถึงหกโมงเย็น จึงได้หายจนเกือบปกติ มีแต่อาการเพลียเฉย ๆ นี่คือจิตดับครั้งที่สาม

สรุปว่าจิตโยมดับไป ๓ ครั้งยังไม่เคยไปได้ดีเลย จากนั้นมาก็ไม่เคยเป็นอีก ทำงานอย่างนี้มาตลอด โยมตั้งใจจะทำความดีตลอดไป