นิมิตของลูกสาวนายพลลี

โดย ฉวีวรรณ ชัยศิริ

น.ส.ฉวีวรรณ ชัยศิริ

ข้าพเจ้าชื่อ ฉวีวรรณ ชัยศิริ มีบ้านอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ดาและมารดาเป็นชาวจีนเกิดในมณฑลยูนนาน หรือที่คนไทยรู้จักในนามของคน จีนฮ่อ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่าเราเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งทั้งที่ประเทศไทยและประเทศจีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มณฑลยูนนานมีชนกลุ่มน้อยอยู่ประมาณ ๒๔ เผ่า ชาวจีนฮ่อหรือยูนนานเป็นชาว ฮั่น ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ เปรียบเทียบ

ดังตัวอย่างเช่น คนเมืองเป็นชนกลุ่มใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ แต่จะมีพวกม้ง เย้า ลีซอ อาข่า ฯลฯ เป็นชนกลุ่มน้อย เป็นต้น เรียกว่า “ฮ่อ” จะรู้จักและเรียกกันในประเทศไทยเท่านั้น ในต่างประเทศจะไม่มีใครรู้จักคำนี้ และจะไม่เข้าใจว่าหมายถึงใคร เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ เกี่ยวโยงไปถึงบิดาและตัวของข้าพเจ้าเอง ฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องเล่าประวัติความเป็นมาพอสังเขป เพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจดียิ่งขึ้น

คุณพ่อเป็นทหารยศนายพล ของรัฐบาลก๊กมิงตั๋ง สมัยรัฐบาลประธานาธิบดี เจียงไค เชค หลังจากที่คอมมิวนิสต์ได้ยึดครองประเทศจีนแล้ว ท่านได้นำกองกำลังทหาร ซึ่งมีทั้งอาสาสมัครและชาวบ้าน หนีออกจากประเทศจีน โดยเดินทางเท้าข้ามภูเขาแม่น้ำ เข้ามาประเทศพม่า จนกระทั่งสุดท้าย เข้ามาอาศัยอยู่ระหว่างตะเข็บชายแดนไทยและพม่า ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔ กองกำลังของท่านได้มีโอกาสร่วมกับกองกำลังทหารไทย ต่อสู้คอมมิวนิสต์ลาว เวียดนาม และแม้วแดง ที่ดอยยาว ดอยผาหม่น ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างไทยลาว ขณะนั้นขึ้นอยู่กับอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อของดอยผาตั้ง เพิ่งจะแยกเป็นกิ่งอำเภอเวียงแก่นได้ไม่นานนัก การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและรุนแรงมาก ใช้เวลา ๕ ปีจึงสงบ คุณพ่อหรือที่ทางการไทยเรียกท่านว่า นายพลลีได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ให้เข้าเฝ้า ท่านได้ทูลเกล้าฯ ถวายหินจากหน้าผา ในสมรภูมิรบแด่พระองค์ท่าน ซึ่งในที่นี้หมายความว่า ได้ต่อสู้กับข้าศึกจนได้ชัยชนะ นำแผ่นดินนี้กลับคืนมาให้แก่พระองค์

อีกหลายปีต่อมา ได้มีโอกาสร่วมกับทหารไทยต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมเวลา ๓ เดือนที่ต่อสู้ได้ชัยชนะเด็ดขาด ซึ่งโดยทั่วไปประชาชนคนไทยเข้าใจผิดตลอดมา คิดว่าพวกเรามาจากกองพล ๙๓ ซึ่งตามความจริง พวกเราไม่ได้มาจากกองพล ๙๓ แต่พวกเรามาจากไหนนั้น ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงเพราะเป็นเรื่องที่ยาวเกินไป

ต่อไปขอเข้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎแห่งกรรมเสียที เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ท รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา พักอยู่ในหอของมหาวิทยาลัย การเรียนของข้าพเจ้าดำเนินไปอย่างปกติ

คืนวันหนึ่ง ในความฝันไม่ปรากฏเป็นภาพให้เห็นแต่อย่างใด นอกเสียจากเสียงของชายคล้ายกับเป็นผู้สูงอายุแล้ว ท่านได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า จะเกิดเหตุร้ายกับคุณพ่อ โดยผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านจะติดต่อกับศัตรูคิดปองร้ายและทรยศต่อท่าน ซึ่งได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้บอกรายชื่อของผู้ที่คิดทรยศด้วย

เมื่อสะดุ้งตื่น ข้าพเจ้านอนคิดทบทวนเกี่ยวกับความฝัน แล้วรีบลุกขึ้นมาจดรายชื่อทันที เท่าที่จำได้มีอยู่ประมาณ ๔ คน พอรุ่งเช้ารีบเขียนจดหมายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พี่สาวที่อยู่ประเทศไทย คือคุณภาณี ชัยศิริ พร้อมรายชื่อ ข้อความในจดหมายจำได้ว่ายังได้ตั้งคำถามกับพี่สาว ถึงรายชื่อทั้งหมดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่มีวี่แววเลย อีกทั้ง ท.ส. หรือทหารคนสนิทของคุณพ่อก็รวมอยู่ด้วย ซึ่งทุกครั้งตอนเด็ก พวกเราลูก ๆ จะไปเยี่ยมท่านที่กองบัญชาการถ้ำงอบ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ท.ส.คนนี้จะดูแลเราเป็นอย่างดี เขาเป็นทหารคนสนิทที่คุณพ่อท่านไว้ใจมากที่สุด เวลานั้นข้าพเจ้ายังคลางแคลงใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าธาตุเราไม่ปกติ จึงทำให้ฝันแบบนี้ จดหมายที่เขียนถึงพี่สาวเพื่อป้องกันการสูญหาย ข้าพเจ้ายังได้ลงทะเบียนเอาไว้ด้วย หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

๒ ปีต่อมา แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เหตุการณ์ตามที่ฝันได้เกิดเป็นจริงขึ้นมา อีกทั้งทหารคนสนิทก็รวมอยู่ด้วย บอกตรง ๆ ว่าข้าพเจ้างงกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก แผนการนี้ ลูกน้องของคุณพ่อได้ติดต่อกับชนกลุ่มน้อยของพม่าชื่อ “จาง ซี ฟู” หรือที่รู้จักในนามของ “ขุนส่า” โดยใช้ระยะเวลาในการวางแผน ๒ ปี (ภายหลังทราบว่า ทหารคนสนิทที่มียศต่ำสุดในกลุ่มจะได้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท หากสำเร็จตามแผนที่วางไว้ และอีก ๓ คน ที่มียศสูงกว่าจะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าหลายเท่าตัว) แผนได้เริ่มดำเนินการโดยหัวหน้ากลุ่มคือ นายเปาชาง  แซ่หลี่

เมื่อทราบวันเวลาแน่นอนที่คุณพ่อจะขึ้นไปถ้ำงอบ ขั้นต่อไป คือพวกเขาจะบังคับโดยใช้ปืนจี้ให้ท่านเขียนจดหมาย พร้อมทั้งลายเซ็นและประทับตราประจำตำแหน่ง ถึงทหารที่เฝ้าอยู่ตามชายแดนให้ถอนทหารกลับมาทั้งหมด เพื่อที่กองขุนส่า ซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วได้บุกขึ้นมาทันที (แน่นอนทหารของท่านที่เฝ้าตามชายแดนย่อมงุนงงกับคำสั่ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตาม) แต่เดชะบุญคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ในวันที่คุณพ่อจะออกเดินทางไปถ้ำงอบนั้น ท่านเกิดป่วยกะทันหัน ต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลลานนา เมื่อไม่เป็นตามแผนที่วางไว้ เรื่องราวต่าง ๆ จึงได้เปิดเผย ซึ่งเราได้ทราบจากเรื่องอื่นก่อนท้ายที่สุดได้โยงมาถึงเรื่องนี้ โดยที่ไม่มีใครคาดคิดเลย เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริง ๆ ข้าพเจ้าเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเสียงของผู้ชายสูงอายุนั้นท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาเตือนข้าพเจ้า และสิ่งที่ท่านเตือน เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปเป็นระยะเวลานานพอสมควร ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นในทันที

ในระยะเวลาปิดภาคเรียน ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่กลับบ้าน เพราะจะลงวิชาเรียนในช่วงซัมเมอร์ เพื่อให้สำเร็จได้เร็วขึ้น คืนหนึ่งไม่ทราบว่าหลับไปนานเท่าไหร่ จนมีเพื่อนญี่ปุ่นมาปลุกและถามว่าเป็นอะไร เพราะเห็นร้องไห้อย่างมากและก็เห็นว่าหมอนที่หนุนอยู่ก็เปียกด้วยจริง ๆ ไม่สามารถจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไร ในฝันจำได้ว่า ตนเองได้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นเก่า ๆ อยู่กลางป่า และไม่มีบ้านหลังอื่นเลย ขณะนั้นไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นเวลาไหน มองไปทางใดก็เป็นสีแดงสลัว ๆ คล้ายกับตะวันใกล้จะตกดินก็ไม่เชิง เพราะเวลาขณะนั้นมันจะมืดและน่ากลัวมากกว่า เมื่อเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่เห็น คือห้องโถงใหญ่ มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่กลางห้อง มีคนเดินไปมาอย่างขวักไขว่บ้างก็ขึ้นไปชั้นบน บ้างก็ลงมาข้างล่าง ข้าพเจ้ามองตามคนที่เดินออกไปข้างนอก เขาขึ้นไปบนรถ รถนั้นเหมือนเป็นรถยนต์ ขึ้นไปคันแล้วคันเล่า ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเหล่านั้นไปที่ไหน และทำให้เกิดความโมโห เพราะพูดกับใคร ก็ไม่มีใครพูดด้วยหรืออธิบายให้รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหนเหมือนกับว่าข้าพเจ้าไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ ในที่สุดก็ตัดสินใจนั่งเก้าอี้ไม้ใกล้โต๊ะใหญ่ในห้องโถง สักครู่ใหญ่มีผู้หญิงผมสั้น รูปร่างสูงโปร่ง ผิวดำแดงใส่ชุดกระโปรงติดกัน เธอมาจากไหนข้าพเจ้าไม่ทันสังเกต ได้พูดเสียงดังว่า คราวนี้พ่อเธอตายแน่ ไม่รอดเหมือนคราวที่ผ่าน ๆ มา ข้าพเจ้าร้องไห้กลัวอันตรายที่จะเกิดกับท่าน ขณะร้องไห้อยู่นั้นได้ยินเสียงพูดของผู้ชาย จึงได้เงยหน้าขึ้นมอง เป็นชายชรารูปร่างสูง ผมขาวยาว หนวดเครายาวเกือบถึงสะโพก อยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว หน้าตาบ่งบอกถึงความมีเมตตา ท่านกล่าวกับข้าพเจ้า ไม่ต้องกลัว ผู้ที่จะคิดร้ายต่อพ่อของลูกนั้นบารมีไม่เท่ากัน คนคนนี้เคยได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของลูกมาก่อน จำไว้ ผู้ที่คิดร้ายต่อผู้ที่มีพระคุณ ต่อให้คิดการอันใดก็ไม่มีทางสำเร็จ เพื่อความสบายใจให้กลับไปปฏิบัติกรรมฐาน ลูกจะได้พบกับพระที่ดี อย่าลืมแผ่เมตตาแก่ผู้ที่คิดร้ายต่อเรา อย่าผูกจิตพยาบาท แล้วเขาจะแพ้ภัยแก่ตัวเอง

เมื่อตื่นจากความฝัน ข้าพเจ้าคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่แน่ ๆ คือเสียงนั้นคุ้นหูเหลือเกิน เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสียงนั้นคือใคร ข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะกราบลงบนหมอน ท่านนั้นเองที่เคยตักเตือนและบอกเหตุให้ข้าพเจ้าทราบล่วงหน้าเสมอ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔ ตั้งแต่จำความได้ โดยไม่รอช้า ข้าพเจ้ารีบโทรศัพท์ทางไกลถึงพี่สาว เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และพี่สาวรับปากจะจัดการเรื่องจะเข้าปฏิบัติกรรมฐาน จะเตรียมสิ่งของพร้อมทั้งหาวัดให้

ทราบว่าพี่สาวได้ปรึกษาคุณจินตนา นิมากร (เจ๊เน้ย) เธอเป็นกัลยาณมิตรที่ดีและจริงใจกับเพื่อน ๆ หรือคนที่รู้จักทุกคน ไม่เป็นคนที่ทำงานเพื่อเอาหน้า และไม่เป็นคนประเภทมือถือสากปากถือศีล เหตุที่ต้องกล่าวในที่นี้ เพราะสังคมปัจจุบันจะหาเพื่อนที่ดีและจริงใจ โดยไม่หวังผลประโยชน์นั้นแสนยาก หลังจากนั้นได้พาพี่สาวไปปรึกษากับแม่ชีสำลี แห่งวัดร่ำเปิง ท่านได้แนะนำให้บวชชีพราหมณ์ ที่วัดร่ำเปิง

แต่พี่สาวอยากให้บวชที่อื่นมากกว่า และยังไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน คุณจินตนามีเพื่อนอยู่กรุงเทพฯ ชื่อคุณนงเยาว์ (เจ๊เซา) เป็นผู้ที่สนใจด้านธรรมะเหมือนกัน เขาได้แนะนำ หลวงพ่อวัดอัมพวัน

แต่พี่สาวยังไม่แน่ใจ จะขอดูหลาย ๆ วัดก่อน จากนั้นก็ขับรถจากกรุงเทพฯ เพื่อเที่ยวดูวัดใกล้เคียงไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เป็นที่พอใจ จนมาถึงวัดอัมพวัน สิ่งแรกที่เห็นและรู้สึกประทับใจก็คือ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย บริเวณวัดสะอาดร่มรื่น เจ้าหน้าที่ ลูกศิษย์ ตลอดจนแม่ครัวมีอัธยาศัยดีมาก และที่แปลกจากวัดอื่น คือใครมาวัดนี้จะไม่มีคำว่าหิวกลับไป มีอาหารเลี้ยงตลอดเวลา ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ซึ่งในวันนั้นหลวงพ่อรับนิมนต์ไปอบรมที่กรุงเทพฯ พอท่านกลับมา สนทนากับท่าน ทุกคนตัดสินใจเลือกวัดนี้และแน่ใจว่าข้าพเจ้าจะได้ปฏิบัติกรรมฐานกับพระที่ดี

สอบเสร็จรีบกลับประเทศไทยทันที ได้พักที่บ้านคุณชาญวิทย์และคุณปุ้ย (ภรรยา) พร้อมกับพี่สาว คุณจินตนา และคุณนงเยาว์ วันรุ่งขึ้นทุกท่านได้กรุณาไปส่งที่วัดอัมพวัน หลังจากเปลี่ยนชุดขาวรับกรรมฐานจากหลวงพ่อแล้ว เข้าพักที่กุฏิ และทุกเย็น ๆ หลวงพ่อจะสอบอารมณ์หากติดขัดตรงไหน ท่านจะอธิบายให้จนเข้าใจ เสียดายที่ปฏิบัติได้เพียง ๑๕ วัน จะต้องรีบกลับไปเรียนต่อ เพราะใกล้เวลาที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเทอมแล้ว

วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๗ เป็นวันและปีที่ข้าพเจ้าไม่ลืมเลยตลอดชีวิตนี้ เมื่อเวลาประมาณ ๒๐.๑๕ น. ได้เกิดระเบิดบ้านของข้าพเจ้าที่เชียงใหม่ ขณะเกิดเหตุทั้งคุณพ่อ พี่สาว และข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ พี่สาวพาคุณพ่อไปตรวจร่างกายตามที่คุณหมออุทัย รัตนิน และคุณหมอเทพ

หิมะทองคำ ได้นัดไว้ ส่วนข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของพุทธสมาคมจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมประชุมของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ซึ่งอันที่จริงการประชุมได้สิ้นสุดแล้วหลายวัน และจะกลับเชียงใหม่ ได้จองตั๋วเครื่องบินของเช้าวันที่ ๑๑ มีนาคม ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ

เมื่อข้าพเจ้าเตรียมตัวจะเดินทางในวันรุ่งขึ้น แต่เป็นเรื่องน่าแปลกเพราะแต่ไหนแต่ไรมา พี่สาวไม่เคยขอให้อยู่เป็นเพื่อนเลย จึงให้เลื่อนตั๋วเครื่องบินเพื่อให้กลับพร้อมกัน เมื่อข้าพเจ้านึกย้อนเหตุการณ์ครั้งนั้นทีไรก็อดที่จะใจหายไม่ได้ หากข้าพเจ้าไม่เปลี่ยนตั๋วในวันนั้น ปัจจุบันก็คงจะเหลือแต่ชื่อ จากภาพถ่าย และบันทึกวิดีโอ สภาพห้องรับแขกที่ข้าพเจ้าชอบนั่งดูรายการข่าวทุกคืน แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี แล้วตัวข้าพเจ้าเองจะเหลืออะไร

ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุคือ คุณแม่กับหลานสาวอายุ ๒ ขวบกว่า หลานชายอายุ ๘ เดือน และคนในบ้านอีก ๘ คน ซึ่งคุณแม่เล่าให้ฟัง คืนวันเกิดเหตุท่านจะเข้านอน ในขณะยืนอยู่ข้างเตียงเกิดเสียงดังมาก บ้านเรือนสั่นสะเทือนไปหมด ไฟฟ้าดับ ท่านได้ยินเสียงหลานชาย หลานสาวร้องไห้อยู่ในห้องถัดไป ท่านรีบวิ่งไปหาหลาน ขณะนั้นไฟไหม้ที่ห้องครัว ทำให้พอเห็นห้องของหลานเพียงลาง ๆ เวลานั้นท่านคิดว่าหลานชายคงไม่รอดแน่แล้ว เพดานและหลังคาบ้านตลอดจนอิฐ ไม้ต่าง ๆ ได้ทับร่างของหลานชายจนมิด ท่านและพี่เลี้ยงของหลานต่างช่วยกันยกสิ่งของเหล่านั้นออก ควานหาตัวจนพบ ซึ่งเหลือเชื่อจริง ๆหลานชายไม่เป็นอะไรเลย เพียงแต่ถูกบาดนิดหน่อย ที่หน้าผากมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนหลานสาวมีบาดแผลเล็ก ๆ ที่ใบหู หลังจากนั้น ท่านก็ได้พาคนที่บ้านทั้งหมดไปโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อตรวจร่างกาย จึงได้พบว่าในกระเป๋าเสื้อผ้าของท่านเต็มไปด้วยเศษแก้วจากห้องนอน แต่ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือถูกทิ่มแทงจากเศษแก้วเหล่านั้นเลย ซึ่งเหมือนกับว่ามีใครมาหยิบใส่กระเป๋าอย่างนั้นแหละ

หลังจากเกิดเหตุ คุณจินตนาและคุณชาญวิทย์ได้ขับรถจากกรุงเทพฯ ไปหาหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน ถึงวัดก็จวนตีสองกว่าแล้ว ทั้งสองท่านได้เล่าเหตุการณ์ให้หลวงพ่อทราบทั้งหมด วันรุ่งขึ้นท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพบข้าพเจ้า ความเมตตาความห่วงใยที่หลวงพ่อให้แก่ครอบครัวข้าพเจ้านี้ พวกเราทุกคนจะจดจำไปจนชีวิตจะหาไม่ ข้าพเจ้ายังจำคำพูดของหลวงพ่อที่พูดในวันนั้นได้ ฉวีวรรณ เขาทำได้แค่นั้นแหละ จะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้วและท่านยังได้ เตือนสติให้แผ่เมตตาต่อสู้ผู้กระทำในครั้งนั้น

คุณจินตนา คุณนงเยาว์ ก็พูดเช่นเดียวกัน ยอมรับว่าขณะนั้นข้าพเจ้ายังทำใจไม่ได้ จิตมีแต่ความโกรธแค้น ผูกพยาบาท จองเวร เรื่องที่จะอโหสินั้นไม่มีในความนึกคิด หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าไปอยู่วัดอัมพวัน แต่จำต้องปฏิเสธความเมตตาของท่าน ไม่อยากนำความเดือดร้อนมาให้ท่าน ถึงแม้ว่าเวลานั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังสืบไม่ได้ว่าใครเป็นผู้บงการ แต่ครอบครัวข้าพเจ้าทราบดีว่าผู้ที่จิตใจโหดเหี้ยม และทำได้ถึงเพียงนี้คงจะไม่มีใคร นอกจาก จาง ซี ฟูหรือ ขุนส่า  วิธีการฆ่าล้างโคตรตลอดจนตัดแขนตัดขา และผ่าลำตัวออกเป็นสองซีกที่เขาได้ทำกับครอบครัวอื่น สิ่งเหล่านี้ได้ยินได้ฟังบ่อยมากจากคนที่มาจากฝั่งพม่า

สำหรับข้าพเจ้า ขุนส่า คือ อสุรกายในร่างของคนเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ เมื่อขุนส่าทราบอย่างแน่นอนแล้วว่านายพลลีรวมทั้งครอบครัว ไม่มีใครถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บ ซึ่งข้อความที่จะเล่าต่อไปนี้ เชื่อว่าผู้อ่านคงจะคิดไม่ถึง และไม่เชื่อเหมือนที่ข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อ สิ่งนั้นคือขุนส่าได้เขียนจดหมายถึงคุณพ่อ ในจดหมายบรรยายถึงความเป็นห่วงที่ตัวเขาเองมีต่อคุณพ่อ ข้อความจดหมาย

ตอนหนึ่งเขียนว่า

ใครนะที่ทำกับท่านได้ถึงขนาดนี้ ผมยังสำนึกในบุญคุณที่ท่านได้เคยช่วยเหลือ ผมไม่เคยลืมเลย ท่านเป็นคนดีมีเมตตา ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย จะต้องจับได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ หากท่านมีอะไรจะให้ผมรับใช้ ขอให้บอก ผมยินดีรับใช้ท่านเสมอ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเองเถอะว่า บุคคลนี้ควรจะจัดอยู่ในประเภทไหน คำถามที่ข้าพเจ้าอยากถามขุนส่า คือเขายังมีเกียรติและศักดิ์ศรีหลงเหลือไว้ให้ลูกหลานของเขาได้ชื่นชมต่อไปอีกหรือ

หลายเดือนต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รู้ตัวบงการ คือขุนส่า ตลอดจนลูกน้องที่วางแผนงานนี้ทั้งหมด แต่เป็นที่น่าเสียดาย ไม่สามารถจับตัวผู้ต้องหาได้แม้แต่คนเดียวจนกระทั่งบัดนี้ จากจดหมายของขุนส่า ประกอบกับรูปภาพที่ได้เห็น ทำให้ย้อนคิดถึงเมื่อครั้งที่ยังเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ซึ่งปีนั้นคุณพ่อเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ได้พักที่ตึกมหิดล แม้จะเป็นเด็กแต่จำได้แม่นว่ามีชายร่างสูงมาก ความสูงประมาณ ๑๘๐ เซนติเมตร (ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ข้าพเจ้าจำได้ในตัวของผู้ชายคนนี้) เขามีผิวสองสี รูปร่างผอม เขาได้เฝ้าพยาบาลคุณพ่อตลอดเวลา

แม้กระทั่งประคองและอุ้มคุณพ่อเข้าห้องน้ำทุกครั้ง ครั้งใดที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลจะพบชายคนนี้เสมอ เป็นเวลาร่วมปี กว่าที่บ้านจะซ่อมและสร้างเสร็จจึงได้พาท่านกลับบ้านที่เชียงใหม่ เพื่อความแน่ใจว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ จึงได้เรียนถามและท่านได้กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ทราบว่าชายคนนั้น คือ จาง ซี ฟู หรือขุนส่า เวลานั้นเขาไม่มีอะไรเลย มีเพียงม้าไม่กี่ตัวที่รับจ้างบรรทุกของ

สำหรับข้ามไปฝั่งพม่า แต่เขามีพรสวรรค์อย่างหนึ่ง คือในด้านการพูด มีวิธีการพูดและมีวาทศิลป์ ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่าที่เขาเฝ้าดูแลคุณพ่ออย่างใกล้ชิดนั้นจุดมุ่งหมาย คือต้องการขอความช่วยเหลือด้านเงินทองจากท่าน ด้วยจิตเมตตา และให้ความเชื่อถือในคำพูด ท่านได้ให้เงินช่วยเหลือมากพอสมควร นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งที่มาของชีวิต ขุนส่าหรือ จาง ซี ฟู

ปัจจุบันข้าพเจ้าได้แผ่เมตตาให้ขุนส่าเสมอ เกิดความรู้สึกเวทนาสงสาร แทนความโกรธแค้นจองเวรที่เคยมีในอดีต สิ่งใดก็ตามที่เขา

ได้กระทำต่อครอบครัว และต่อตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออโหสิให้ หวังว่าวันหนึ่งเขาจะรู้และสำนึกในบาปกรรมที่เขาได้สร้างไว้ ตลอดจนหยุดกระทำความชั่ว ซึ่งมีแต่จะเพิ่มบาปกรรม หากวันใดบุญเก่าที่เขาสร้างไว้ได้หมดลง บาปกรรมที่เขาได้ทำไว้ในชาตินี้คงจะตามทันอย่างแน่นอน ไม่มีใครช่วยเขาได้นอกจากตัวของเขาเอง

ผู้อ่านหลายท่านคงสงสัยว่า เพราะเหตุไรขุนส่าจึงคิดทำร้ายคุณพ่อ ตลอดจนครอบครัวของท่าน คำตอบคือ จริงอยู่ ขุนส่า ป่าวประกาศให้ทั่วโลกเข้าใจว่าเขากำลังกู้ชาติ เพื่อรัฐฉานของเขา แต่แปลกที่คนไทยใหญ่ ส่วนใหญ่หรืออดีตเจ้าผู้ครองเมืองรัฐฉาน กลับไม่ยอมรับให้เขาเป็นตัวแทนของไทยใหญ่ในการกู้ชาติ หากเขาต้องการกู้ชาติจริง เหตุใดเขาจึงต้องการจะเข้ามาควบคุมปกครองหมู่บ้านไทยฮ่อ ซึ่งเป็น

ลูกน้องของคุณพ่อที่ท่านได้หอบหิ้วอพยพออกจากประเทศจีนสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง หมู่บ้านเหล่านี้อยู่ในผืนแผ่นดินไทย เราเป็นคนไทยเราได้ต่อสู้ปกป้องแผ่นดินไทยแห่งนี้ แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิตเราก็ยอม เพราะที่นี่คือ แผ่นดินสุดท้ายที่ลูกหลานเราจะอยู่สืบไป ขุนส่าถือสิทธิอันใดที่จะเข้ามาปกครองพวกไทยฮ่อกลุ่มนี้ เขาทราบดีว่าตราบใดที่คุณพ่อยังอยู่ เขาจะทำการไม่สำเร็จ วิธีเดียวคือต้องทำลายให้หมดทั้งโคตรตามวิธีการที่เขาได้ทำกับครอบครัวอื่นมาแล้ว และ ๓ ครั้งที่ขุนส่าพยายามกระทำร้ายต่อครอบครัวข้าพเจ้า รวมเวลาทั้งหมดกว่าสิบปี

ครั้งที่ ๑ ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนเล่าในตอนต้นของเรื่อง

ครั้งที่ ๒ ขุนส่าได้ส่งคนขุดอุโมงค์ใต้ดิน ใกล้ ๆ สนามกีฬาเชียงใหม่ (เมื่อสิบปีก่อน บริเวณนั้นจะเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาก สภาพไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ที่มีแต่บ้านจัดสรรขึ้นแทน) การขุดอุโมงค์ครั้งนั้น เขาจะทำให้โผล่ถึงบริเวณบ้านของข้าพเจ้า แล้ววางแผนที่จะฆ่าหมดทั้งบ้าน แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงทำไม่สำเร็จ

ครั้งที่ ๓ เหตุระเบิดที่บ้านเชียงใหม่ โดยบรรจุระเบิดไดนาโมไว้เต็มคันรถยนต์และจอดไว้ข้างบ้าน คนในบ้านไม่มีใครถึงแก่ชีวิต มีเพียงบาดเจ็บเท่านั้น แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลสินพิศาลได้เสียชีวิต เพราะรถจอดในบริเวณบ้านของเขา การระเบิดครั้งนี้ร้ายแรงกว่าครั้งที่ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟเชียงใหม่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง (จากคำบอกเล่าของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ทั้งสองครั้ง) แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนกว่า ๕๐ หลังคาเรือนเสียหาย บางบ้านต้องซ่อมใหม่หมด แรงระเบิดได้ยินไปไกลถึงอำเภอแม่แตง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๓๐ กิโลเมตร

อดีตข้าพเจ้าพยายามค้นหาคำตอบให้ตัวเองว่า ชายผู้สูงอายุนั้นคือใคร ทำไมท่านถึงได้มาเกี่ยวข้องในชีวิตข้าพเจ้า แต่ขณะนี้และปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามุ่งศึกษาด้านธรรมะตลอดจนปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อว่าโลกของเรานี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ เรื่องที่เขียนเล่า

มานี้ เป็นเพียงแต่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น หลายคนอาจกล่าวหาว่าหลงงมงาย ก็สุดแต่ใครจะคิด ข้าพเจ้าไม่ขอตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างย่อมรู้เห็นได้ด้วยตัวเอง

หลังจากเกิดเหตุครั้งหลังสุดจนถึงปัจจุบัน ทุกปีช่วงเทศกาลตรุษจีน และวันที่ ๑ มกราคมของทุกต้นปี ขุนส่าจะให้ลูกน้องส่งกระเช้าผลไม้และขนมเค้กไปให้ที่บ้านเสมอมิได้ขาด ข้าพเจ้าจะไม่ให้คนในบ้านหรือแม้แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้กินขนมเค้กอย่างเด็ดขาด ท่านผู้สูงอายุ ยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าเสมอ “จำไว้ ผู้ที่คิดร้ายต่อผู้ที่มีพระคุณ ต่อให้คิดทำการอันใดก็ไม่มีทางสำเร็จ” ข้าพเจ้าคิดว่านี่คือคำตอบที่ดีที่สุด ที่ว่าเหตุไรขุนส่าจึงทำการไม่สำเร็จ

เป็นเรื่องประหลาดไม่น้อยสำหรับข้าพเจ้าผู้ซึ่งเรียนที่อเมริกา บ้านอยู่เชียงใหม่ ผ่านเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อจนได้มารับกรรมฐานเป็นครั้งแรกในชีวิตกับหลวงพ่อภาวนาวิสุทธิคุณ ที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านผู้สูงอายุได้บอกในความฝัน เป็นบุญของข้าพเจ้าอย่างที่สุดแล้ว มารไม่มี บารมีไม่เกิด

 

ฉวีวรรณ  ชัยศิริ

๑๒๓ หจก.เมาท์แทน  กลอรี่  เอ็นเตอร์ไพรส

อ.เมือง  จ.เชียงใหม่  ๕๐๐๐๐