เหตุที่ข้าพเจ้านับถือหลวงพ่อจรัญ

โดย ทัศนีย์ ตระกูลพัว

เรื่องนี้เป็นชีวิตจริงของดิฉัน ดิฉันเป็นชาวคริสต์มาแต่กำเนิด พอเรียนจบม. ๖ ที่โรงเรียนเจริญราษฎร์   อ.เมือง จ.แพร่ ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์ ก็มาเป็นครูอยู่ที่ ร.ร.กิตติคุณ ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์เช่นเดียวกัน

พอมีครอบครัว ก็ลาออกมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านพ่อของสามี พ่อเป็นช่างก่อสร้างโบสถ์ วัดแรกของดิฉันที่มีโอกาสเข้ามาช่วยสร้างก็คือ วัดพรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้ทาสีโบสถ์ ผสมปูนตามที่พ่อสอน (พ่อของสามี)

ที่วัดนี้ ดิฉันได้มีโอกาสรู้จักหลวงพ่อพระอาจารย์จรัญ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ พ่อได้พามากราบนมัสการท่านและกราบท่านอาจารย์ช่อ ท่านเป็นเจ้าอาวาสซึ่งแก่แล้ว และหลังของท่านค่อมมาก ดิฉันก็ยกมือไหว้ธรรมดา พ่อก็มอง

พ่อได้พามาที่วัดแจ้งพรหมนคร พาไปนมัสการท่านเจ้าอาวาสซึ่งแก่แล้ว ดิฉันกับน้องสาวก็ยืนไหว้อีก พ่อก็เลยดุว่า การเคารพพระผู้ใหญ่ต้องกราบ ดิฉันก็คิดอยู่ในใจว่า เราเป็นคริสต์จะกราบพระไม่ได้ มันผิดศีลของชาวคริสต์ ตอนนั้นดิฉันยังเป็นคริสต์อยู่

พ่อรับเหมาก่อสร้างทั้ง ๓ วัด คือ วัดแจงพรหมนคร วัดกลางพรหมนคร และวัดพรหมบุรี อยู่ในเขตอำเภอพรหมบุรีทั้ง ๓ วัด

ดิฉันก็เดินจากวัดโน้นมาวัดนี้ แล้วแต่วัดไหนจะมีงานให้ทำ แต่ต้องกลับมานอนที่วัดพรหมบุรี

เมื่อก่อนนี้การรับเหมาก่อสร้าง ทำตามเงินที่ทางวัดจะหามาได้ ได้เท่าไรก็สร้างไปเท่านั้น ดิฉันเลยได้ทำวัดโน้นนิด วัดนี้หน่อย ทำกันสองคนพี่น้อง

แต่วัดพรหมบุรี เป็นวัดที่ดิฉันได้ทำมากที่สุด และก็ได้รู้จักพระอาจารย์ที่ทำให้ดิฉันมีจิตใจเลื่อมใสศรัทธามาก ไม่เคยคิดจะนับถือ ไม่เคยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ หรืออภินิหาร

แต่ดิฉันได้พบได้เห็นพระอาจารย์จรัญ เป็นพระอาจารย์ที่มีจิตเมตตาสูงด้วยคุณธรรม มีวาจาศักดิ์สิทธิ์

ธรรมดาแล้ว ดิฉันไม่เคยกราบพระ พระอาจารย์ก็สอนให้ดิฉันเข้าใจว่า ทุกๆ ศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี ดิฉันก็ชักสงสัย คอยติดตามหลวงพ่อ คอยดูหลวงพ่อว่าจะทำอะไร

ดิฉันเองกราบพระไม่เป็นเลย และคำพระก็ไม่เคยทราบ เคยได้เรียนมา แต่ไม่เคยสนใจ

เดิมทีดิฉันไม่เคยเห็นพระที่มีแต่เมตตาจิต คิดแต่จะช่วยคนโน้นคนนี้ บิณฑบาตมาได้ก็มาแบ่งให้ดิฉัน น้องและคนงานได้ทานด้วยกัน

ผู้เขียน (คนยืน) กับน้องสาว (คนนั่ง) ที่ร่วมสร้างโบสถ์ด้วยกัน

ท่านหาเงินสร้างโบสถ์ ท่านก็ไปของท่าน ดิฉันกับน้องก็ทานข้าวก้นบาตรของหลวงพ่อทุกวันทั้งเช้าและเพล เพราะขณะที่ทำงานที่วัดพรหมบุรีนั้น มีดิฉัน น้องสาวและเด็กผู้ชายอีก ๑ คนค้างที่วัดพรหมบุรี

มีอยู่วันหนึ่งดิฉันต้องไปซื้อของที่ปากบาง ก็เดินไป สมัยนั้นยังไม่มีถนน เดินตัดท้องนามา มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ ๒ ต้น

พอถึงตลาดปากบาง สุนัขที่ตลาดกัดเข้าทั้ง ๓ เขี้ยวเลย แผลฉกรรจ์มาก ทั้งเลือดทั้งมันอุดแผล

ดิฉันตกใจและกลัว เดินร้องไห้ตั้งแต่ปากบางจนถึงวัดพรหมบุรี

กุฎิหลวงพ่อจรัญ ที่วัดพรหมบุรี

พอถึงวัด ดิฉันก็เดินร้องไห้ขึ้นบนกุฏิหลวงพ่อ ทั้งเจ็บทั้งกลัวว่าสุนัขจะเป็นบ้าหรือเปล่า เพราะสัตวแพทย์ที่ตลาดไม่มี

หลวงพ่อก็พูดกับดิฉันว่า เดี๋ยวนะ จะดูว่าสุนัขเป็นบ้าหรือเปล่า ท่านก็จุดธูปเข้าห้องพระเลย แล้วก็บอกดิฉันว่า สุนัขสีนวลๆ ใช่ไหม ไม่บ้าหรอก เดี๋ยวจะเอาเกลือเหยียบให้

ดิฉันก็รับปากว่า “ค่ะ” แต่ในใจคิดว่าวันรุ่งขึ้นจะเข้ามาจังหวัดสิงห์บุรี หรือกลับดอนเมือง เพื่อฉีดยากันบาดทะยัก

หลวงพ่อถามว่า “จะเอากี่วันหาย” ดิฉันไม่เคยเชื่อว่าเอาเกลือวางและเอาเท้าเหยียบแล้วจะหาย ที่ท่านถามดิฉันตอนนั้น ดิฉันยังไม่ทราบว่าท่านมีวิชาอาคม ก็ตอบลองดีไปว่า “ขอวันเดียวหาย” เพราะแผลสุนัขกัดจมเขี้ยวเลยทั้ง ๓ แผล

ท่านก็ขอให้โยมพ่อของท่านนำเกลือมาเม็ดหนึ่ง วางลงบนใบตอง แล้วเอามาพาดที่แผลสุนัขกัดท่านก็ เหยียบบนใบตอง แล้วเหยียบที่เกลือ ดิฉันก็อมยิ้ม เพราะไม่มีความเชื่อเลย

พอตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า แผลทั้ง ๓ แผลราบเรียบ มีแต่รอย ไม่มีเลือดออก ไม่มีมันจุกหรือรอยฉีกของแผล หรือรอยลึกเลย เป็นผิวหนังเรียบๆ แต่มีรอยเท่านั้น เดี๋ยวนี้แผลนั้นยังอยู่

อยู่มาอีกหน่อย ที่เท้าของดิฉันเป็นรอยช้ำ เพราะเหยียบกระเบื้องมาก รู้สึกเจ็บปวดมาก ท่านพระอาจารย์จรัญยังเมตตารักษาให้อีก

ดิฉันบอกว่า ดิฉันกลัวการผ่าตัดมาก เพราะรอยช้ำต้องผ่าเอาหัวออก ท่านบอกกับดิฉันว่า จะรักษาให้โดยไม่ต้องผ่า ตอนนี้ดิฉันเลื่อมใสท่านแล้ว ก็รับปาก

หลวงพ่อก็เผากระเบื้องแผ่นเล็กๆ นาบตรงจุดของรองช้ำ เอาน้ำมันมนต์ของท่านทา ท่านก็พูดว่าไม่ร้อน ดิฉันก็หลับตา เพราะทนดูไม่ได้ พอนาบเสร็จ ทาน้ำมันมนต์ พอทุเลาเจ็บปวดไปบ้าง

พอได้ ๓ วัน หัวฝีแตกเองและก็ไม่เจ็บด้วย ดิฉันก็เคารพนับถือท่านขึ้นทุกวัน หัดกราบพระ กราบหลวงพ่อทุกวัน ขอเป็นลูกศิษย์ หัดพูดกับพระดีๆ ให้ถูกต้อง พอเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ท่านทำอะไรก็ช่วยติดตามดู มีดิฉัน น้องสาว และน้องชายติดตามดูแบบเป็นลูกศิษย์เลย

เหตุที่ดิฉันต้องติดตามดูหลวงพ่อ เพราะดิฉันเป็นคริสต์ ไม่เคยเข้าวัด แต่ไปดูงานในวัด พระสงฆ์ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่เคยเห็น พอมาได้พบได้เห็นหลวงพ่อในสิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ เหมือนกับท่านแสดงอภินิหารให้ดู

มีคนมาหาหลวงพ่อบอกว่าโดนของ หลวงพ่อก็เอาแป้งคลึงตรงนั้น ท่องคาถา พอเอาแป้งมาหักดู ปรากฏว่ามีตะปูอยู่ข้างใน

บางคนก็มีคนมาให้หลวงพ่อทำน้ำมัน หลวงพ่อก็ทำกระทะทองเหลือง ใบไม่ใหญ่มากนัก หลวงพ่อก็ทอดไพร แล้วก็ท่องคาถาน้ำมันเดือด ไพรกรอบ ท่านก็ตักให้พวกที่มาหาท่าน

น้องสาวของดิฉันเขาเข้มแข็ง พอหลวงพ่อตักให้ กำลังเดือดนะ เขาเทลงคอเลย ดิฉันนึกใจใจว่าร้อนตายแน่เลย หลวงพ่อก็ตักมาให้ดิฉัน ดิฉันก็ลังเลไม่กล้าเทลงคอ

หลวงพ่อบอกว่า เอามือจุ่มดูซิ เมื่อลองจุ่มดู ปรากฏว่าไม่ร้อนจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ยอมกินน้ำมันมนต์ และรดน้ำมนต์จากหลวงพ่อมาตลอด

สมัยนั้นหลวงพ่อเป็นคนดุ มีพระที่วัดแจ้งฯ มาเที่ยว เป็นพระที่เป็นทหารบกมาบวชแค่ ๑๕ วัน มาเที่ยวหาน้องสาวดิฉันที่วัดพรหมบุรี เรากำลังทำงานกันอยู่ พระพูดว่า “น้ำวัดพรหมฯ หวานนะ”

หลวงพ่อออกมาเลย ถามว่า “บวชอยู่วัดไหน” พระที่เป็นทหารก็บอกว่า “อยู่วัดแจ้งฯ” หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าเป็นพระวัดนี้ พูดแบบนี้ จะตบให้ฟันร่วงเลย” ดิฉันก็เลยกลัว ไม่ค่อยกล้าพูด หรือทำอะไร

ท่านหัดให้กราบพระ จะขออะไรท่านต้องกราบก่อน ตอนนั้นการกราบพระก็ผิดศีลนะ ศาสนาคริสต์มีศีล ๑๐ ข้อ ทุกศาสนาสอนดีทั้งนั้น แต่ปฏิบัติไปคนละแนวเท่านั้นเอง

อยู่มาวันหนึ่ง มีครูคนหนึ่ง ดิฉันจำชื่อเขาไม่ได้แล้ว มาหาหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อช่วย ครูคนนี้เป็นคนดี แต่ถูกเพื่อนแกล้งใส่ร้าย จะติดคุกติดตะราง หลวงพ่อท่านก็ทราบว่าครูคนนั้นดีจริง ก็ช่วย ทำพิธีในโบสถ์เลย

ตอนนั้นโบสถ์วัดพรหมบุรีก็ยังไม่เสร็จ ดิฉันเป็นคนกลัวผีมาก แต่อยากจะดูพิธีกรรมที่หลวงพ่อช่วยครูคนนั้น อุปกรณ์ก็มีเตาไฟ หม้อต้มยา กาละมัง

ครูคนนั้นก็นั่งตรงหน้าหลวงพ่อ ดิฉันและน้องสาวนั่งข้างหลังหลวงพ่อ มองยาที่หลวงพ่อต้ม แล้วก็ให้ครูอธิษฐานเอาเอง หลวงพ่อก็สวดมนต์ไป จนยาหม้อนั้นเดือด ท่านก็เทยาออกจากหม้อลงในกาละมังจนหมด

แล้วหลวงพ่อก็หลับตาสวดมนต์ เอามือเคาะที่หม้อ ทั้งน้ำทั้งยาในกาละมังวิ่งกลับเข้าหม้อหมด หลวงพ่อก็ให้หม้อยาครูคนนั้นไป

ตอนหลังดิฉันพบครูคนนั้น ครูบอกว่า ไม่มีเรื่องอะไร แคล้วคลาดไปเลย ดิฉันก็เกิดความคิดว่า พระอาจารย์องค์นี้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ และยังท่องคาถาให้น้ำวิ่งเข้าหม้อได้

ท่านเคยให้ราชสีห์ดิฉันมา ๑ ตัว ทำด้วยงาช้าง ท่านบอกว่า ดิฉันนะสุนัขชอบกัด ดิฉันก็ห้อยคออยู่ตลอดเวลา พอมีบุตรชาย ให้ไปห้อยคอ เลยทำหายไปเลย พระนางพญา ๑ องค์ เป็นพระผง ท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์จริง ท่านบอกดิฉันว่า โยนพระเถอะ ไม่แตกหรอก ดิฉันก็ลองโยนทันที ปรากฏไม่แตก แต่พอน้องชายโยนบ้าง แตกละเอียดเลย สมัยนั้นท่านยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ – ๒๔๙๙ ผ่านมา ๓๒ ปีแล้ว

ตอนนั้นดิฉันก็มาคิดว่า การเป็นชาวพุทธแล้วเคร่งในศาสนาแล้ว ผลแห่งกรรมดี ความดี ทำให้หลวงพ่อมีวาจาศักด์สิทธิ์ ดิฉันอยู่ทำงานวัดแค่ ๖ เดือน พอทำงานโบสถ์เสร็จก็กลับมาอยู่ดอนเมือง

ตั้งแต่นั้นมาจะทำอะไรก็ต้องมาถามท่านเป็นประจำ ดิฉันก็เป็นชาวพุทธเต็มตัวแล้ว และมาเยี่ยมเยียนท่านบ้างบางโอกาส

ผ่านมาได้ ๓๐ ปี พอย่างเข้าปีพ.ศ.๒๕๒๙ ชีวิตดิฉันก็เริ่มมีมรสุม ดิฉันก็ร้องไห้มาหาหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเห็นดิฉัน ท่านก็บอกว่า

“ทัศนีย์ เธอมาถือศีล นั่งวิปัสสนากรรมฐานสักอาทิตย์หนึ่งเถอะ”

ดิฉันก็บอกหลวงพ่อว่า “ไม่เอาละหลวงพ่อ หนูขอไปเที่ยวแพร่ก่อน กลับมาแล้วค่อยเข้าวัด”

พอไปแพร่ได้ ๓ วัน บ้านถูกปล้น บุตรชายถูกพวกโจรฟันด้วยขวานที่ศีรษะ บาดเจ็บสาหัส เพื่อนบ้านนำส่งโรงพยาบาล ดิฉันต้องสูญเสียทรัพย์สินไปทั้งสิ้นเกือบ ๓ แสนบาท

พอบุตรชายหายเป็นปกติก็พามากราบหลวงพ่อ ขอเข้ากรรมฐาน ๙ วันทั้งแม่ทั้งลูก เพราะได้อธิษฐานไว้ว่า ถ้าลูกหายเป็นปกติมีอาการครบ ๓๒ จะพาลูกมาถือศีลด้วย

คุณทัศนีย์ ตระกูลพัว ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

หลวงพ่อเห็นบุตรชายดิฉัน ท่านก็บอกว่า “ทัศนีย์ เธอไม่ต้องเสียดายข้าวของเงินทองเลย เธอได้ชีวิตลูกของเธอใหม่” ดิฉันก็ตัดใจได้

หลวงพ่อบอกให้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อก่อนคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่พอมาจริง ก็มีแรงศรัทธาหลวงพ่ออยู่แล้ว ทำให้เกิดมีสติ และทำได้

เริ่มปฏิบัติ เดิน นั่ง สลับกัน ๑๐ นาที และค่อยเพิ่มขึ้นถึง ๑ ชั่วโมง ทำให้มีสติดีขึ้น เมื่อเวลามีทุกข์เกิดขึ้น มีเรื่องมากระทบจิตใจ ทำให้สงบจิตอารมณ์ได้ไว รู้สึกว่าทำใจได้

ถ้าเกิดโมโหจะคลายได้ไว ทำตามคำขอของหลวงพ่อ ไม่ให้ด่า ไม่ให้ว่า กระทบ กระเทียบ เสียดสี เพราะเป็นตัวกรรม ให้แผ่เมตตาตลอด ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น

ท่านสอนว่า “เธอรู้ไหม ไอ้ทศกัณฐ์มันหน้าโง่ ฝากหัวใจไว้กับพระฤๅษี ไม่เป็นตัวของตัวเอง เอาไปฝากเขา ไว้ใจคนอื่น ก็ต้องตายเพระความโง่งมงาย”

ตอนแรกดิฉันไม่ได้คิด พอมาพิจารณาดู โธ่เอ๋ย หลวงพ่อว่าเรานี่เอง งมงาย เอาหัวใจไปฝากไว้กับคนอื่น ดิฉันเองไม่มีใครแล้ว จำคำสั่งสอนของหลวงพ่อไว้ และพยายามปฏิบัติตาม ได้บ้างเพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ปฏิบัติเลย แต่ให้ดีจริงๆ ต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องโดยตลอด แล้วก็จะมีความสุขทางใจ

ที่เล่ามานี้ผ่านมา ๓๐ ปีแล้ว สิ่งที่ประสบพบเห็นเป็นเรื่องจริงทุกประการ ถามท่านดูได้ แต่เดี๋ยวนี้ท่านมีแต่แผ่เมตตาให้เท่านั้น

ดิฉันมีเพียงพระอาจารย์องค์นี้เพียงองค์เดียวมาตลอด เป็นทั้งพระอาจารย์ เป็นทั้งหลวงพ่อ ที่ดิฉันเคารพเชื่อฟังมาจนทุกวันนี้

ดิฉันขอพึ่งบารมีแห่งความเมตตาจิตของท่านเป็นที่พึ่งทางใจจนตราบชีวิตจะหาไม่ เพราะบารมีแห่งอำนาจเมตตาจิตของพระอาจารย์ มีพระคุณต่อชีวิตของดิฉันให้พบแสงสว่างแห่งชีวิต และเดินถูกทาง ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน การเป็นชาวพุทธของดิฉัน มีคุณค่าอยู่ตรงนี้นี่เอง

            ทัศนีย์ ตระกูลพัว
๑๕๑ ซอยคุ้มครอง
๓ กม. ๒๗ ต.คูคต
จ.ปทุมธานี

 

บันทึกของหลวงพ่อ

 

โบสถ์วัดพรหมบุรี

ข้อความที่คุณทัศนีย์ ตระกูลพัว ได้เล่ามานี้เป็นเหตุการณ์อดีตเมื่อครั้ง พ.ศ.๒๔๙๘ ที่อาตมากำลังสร้างอุโบสถอยู่ ณ วัดพรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นเวลา ๓๖ ปีเศษแล้ว เป็นความจริงของคุณทัศนีย์ ตระกูลพัว ทุกประการ ด้วยอำนาจจิตนั่นเองและอำนาจพุทธานุภาพ – ธรรมมานุภาพ – สังฆานุภาพ ของคุณพระรัตนตรัย เป็นไปได้แน่นอน เพราะคุณทัศนีย์นั้นเป็นชาวคริสต์ ให้คุณทัศนีย์เห็นว่าทางพระสงฆ์ในศาสนาพุทธนั้นเต็มไปด้วยเมตตาธรรม ได้ช่วยเหลือประชาชนทุกหมู่เหล่าไม่จำกัดเขต เพศ วัย ช่วยแผ่เมตตาไปทั้งนั้นไปทุกๆ คน จะเป็นศาสนาใดก็ตาม ถ้าช่วยได้ช่วยทั้งนั้นที่ไม่ผิดธรรมวินัยสงฆ์ และกฎหมายบ้านเมือง ยินดีมีเมตตาแผ่ให้ทั้งนั้น ให้คุณทัศนีย์ ตระกูลพัวเห็นว่าศาสนาพุทธช่วยด้วยเมตตา ด้วยความบริสุทธิ์ ไม่อคติใดๆ และไม่มีเคลือบแฝง และไม่หวังผลตอบแทนแต่ประการใด ทำให้คุณทัศนีย์เห็นความดีของพระพุทธศาสนาจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง ยอมนับถือเพราะมีเหตุมีผลพอจะเชื่อถือได้แล้ว จึงขอเคารพนับถือต่อไป เห็นว่าที่นับถือก็เพราะว่าเป็นที่พึ่งของเขาได้แน่นอน

แต่อภินิหารแบบนั้น อาตมาได้เลิกล้มไปแล้ว เอาความจริงของพระพุทธเจ้ามาสอนดีกว่า นั่นคือสอนให้คนมีปัญญาไม่ให้งมงายหลงใหลอยู่ในสิ่งที่ไร้สาระ สอนให้คนช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง และสอนตัวเองได้ นั่นคือ วิปัสสนากรรมฐาน

พระภาวนาวิสุทธิคุณ
วัดอัมพวัน