อานิสงส์การปฏิบัติกรรมฐาน

โดย เอื้อมทิพย์ คงเพ็ชร

ดิฉันชื่อ น.ส.เอื้อมทิพย์ คงเพ็ชร ปัจจุบันเป็นนิสิตปริญญาโท จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์ สาขาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา และนักศึกษาปริญญาโท จากสถาบันเทคโนโลยีสังคม ดิฉันไม่ใช่คนดีมาตั้งแต่เด็ก อะไรเป็นสาเหตุให้ดิฉันเรียนปริญญาโททั้ง ๒ แห่งนี้ได้ และอะไรเป็นสาเหตุให้ดิฉันหันมาปฏิบัติกรรมฐาน อานิสงส์ของการปฏิบัติกรรมฐานทำให้นิสัยใจคอของดิฉันเปลี่ยนไป ลองอ่านดูซิคะ

ดิฉันเป็นลูกของ พ.อ.(พิเศษ) ประเวศร์ และ นางอัครเนตร คงเพ็ชร คุณพ่อคุณแม่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณตั้งแต่ดิฉันยังเล็กอยู่มาก ดิฉันจำได้ทุกครั้งที่มาวัดจะได้ยินหลวงพ่อเทศน์อยู่เสมอว่า บุญบาปสามารถจะเพิ่มขึ้นและหมดไปได้ บุญเปรียบเสมือนกระแสไฟที่อยู่ในหม้อแบตเตอรี่ ถ้าเราใช้ไปเรื่อยๆ กระแสไฟก็จะค่อยๆ หมดไป เพราะเราใช้บุญเก่า บุญใหม่ไม่เคยสร้าง เมื่อบุญหมดเหลือแต่บาป ชีวิตจะแตกแหลกเหลวหาที่ดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรรีบชาร์ตไฟเข้าหม้อแบตเตอรี่ซะ ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าหลวงพ่อพูดให้ดิฉัน เพราะความตายกำลังมาถึงดิฉันแล้ว ลางร้ายเริ่มปรากฎเข้ามาในชีวิตของดิฉัน อะไรเป็นสิ่งบอกเหตุให้ดิฉันมาปฏิบัติกรรมฐาน

ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ อยู่มาวันหนึ่ง ดิฉันทะเลาะกับน้องสาวอย่างแรง ดิฉันโกรธมากที่น้องสาวเถียง จึงผลักอกน้องเซถลาหกล้มส่งเสียงร้องไห้ลั่นบ้าน คุณแม่ทนไม่ไหวหยิบไม้มาหวดดิฉันอย่างแรง ๒ ที ความรู้สึกขณะนั้นเจ็บมากและเสียใจที่แม่ตีดิฉันคนเดียว จึงเถียงแม่ไปทันทีว่า “แม่ไม่ยุติธรรม ทำไมตีหนูคนเดียว หนูเถียงคนเดียวได้หรือ ทำไมแม่ไม่ตีทั้งคู่ ถ้างั้นพี่ก็ไม่เป็นพี่นะซิ” คุณแม่ว่า “ยังเถียงอีก” พูดแล้วยกไม้จะตีดิฉันอีก ดีที่ดิฉันหลบได้ทัน จึงเถียงแม่ต่อไปอีกว่า “ต่อไปนี้จะไม่อยู่บ้านนี้แล้ว จะไปอยู่กับพี่ที่เมืองจันท์” แล้วก็ไปเก็บเสื้อผ้า

ตกดึกยิ่งคิดยิ่งกลัว ความกล้าหายไป ความกลัวเข้ามาแทนที่ ดิฉันคิดว่าเมืองจันท์มันอยู่ตรงไหน จะต้องไปขึ้นรถที่เอกมัย แล้วเอกมัยอยู่ตรงไหน? ดิฉันไม่รู้จัก ยิ่งคิดยิ่งกลัว จะไปอยู่กับเพื่อน ก็คิดไม่ออกว่าจะไปอยู่กับใคร จึงตัดสินใจไปจุดธูปเทียนหน้าพระว่า “ท่านเจ้าขา ช่วยหนูด้วยหนูไม่อยากอยู่บ้าน แม่ไม่รักหนู รักแต่น้อง หนูไม่รู้จะไปที่ไหนดี หลวงพ่อช่วยชี้ทางให้หนูด้วย หนูควรจะไปอยู่กับใคร หนูง่วงนอน ตื่นเช้าขึ้นมา หนูนึกถึงสิ่งไหนก่อน หนูจะไปที่นั่นทันที” ตอนเช้าดิฉันอาบน้ำ ในใจของดิฉันนึกถึงแต่ไปวัดอัมพวัน ไปวัดอัมพวัน ดิฉันตกใจนึกขึ้นได้ เมื่อคืนอธิษฐานจิตต่อหน้าพระ ขอให้ท่านชี้ทางให้ แต่ทำไมต้องไปวัดด้วย? ไม่สนุกเลย เพื่อนก็ไม่มี จิตมันก็ค้านว่าถ้าไม่ไปเดี๋ยวพระหักคอเอานะ จึงแต่งตัวออกจากบ้านไปโดยที่พ่อแม่ไม่ทราบว่าดิฉันไปไหน

เมื่อมาถึงวัดเหมือนหลวงพ่อจะทราบล่วงหน้า ท่านอยู่คอยดิฉัน ทั้งๆ ที่มีแขกมาคอยรับหลวงพ่อไปกทม. ทันทีที่มาถึงหลวงพ่อพูดว่า “อีกหนูทานข้าวมาหรือยัง” “ยังค่ะ” “สมประสงค์ หาข้าวให้อีหนูทาน เดี๋ยวหลวงพ่อกลับ” พี่สมประสงค์หาข้าวให้ ดิฉันทานจนอิ่ม ดิฉันจึงเล่าความทุกข์ที่มีอยู่ให้พี่สมประสงค์ฟัง พร้อมทั้งพูดว่า แมวตั้งใจจะมาอยู่วัด จะมาช่วยหลวงพ่อล้างจาน จะมาทำงานที่วัด พี่สมประสงค์ตอบว่าไม่ได้หรอก เดี๋ยวแม่แกมาเล่นงานหลวงพ่อตาย ถ้างั้นไปเข้ากรรมฐาน

ดิฉันไม่รู้ว่ากรรมฐานเป็นอย่างไร ชุดขาวก็ไม่มี ต้องไปยืมแม่ชีใส่ ในขณะนั้นกุฏิกรรมฐานสร้างเสร็จใหม่ๆ แม่ชีดรุณี สามคำ เป็นผ้าสอนกรรมฐานให้ดิฉัน วันแรกในการปฏิบัติเห็นเขานั่งหลับตากันโดยกำหนดลมหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ นั่งได้ ๑ นาที มันแสนจะนานสำหรับดิฉัน เดินจงกรมก็อาเจียนเลย แม่ชีดรุณีต้องคอยพยาบาล วันแรกดิฉันไม่ได้อะไรมาก วันที่ ๒ จิตใจเริ่มดีขึ้น เริ่มกำหนดพองยุบได้ ๑๐ – ๑๕ นาที จิตใจเริ่มคิดถึงแม่ ร้องไห้เลย ในใจคิดว่า แม่จ๋าหนูคิดถึงแม่ หนูรักแม่ หนูขอโทษที่ทำให้แม่เสียใจ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว ดิฉันเดินร้องไห้ไปหาแม่ชีขออนุญาตกลับบ้าน แม่ชีตอบว่าไหนๆ ก็มาแล้ว ปฏิบัติให้ได้ ๓ วัน ดิฉันคิดถึงแม่ใจจะขาด นอนร้องไห้ทุกคืน เมื่อวันที่ ๓ มาถึง ดิฉันดีใจที่พรุ่งนี้จะได้กลับบ้าน ระหว่างที่คิดอยู่นั้น มีเสียงเคาะประตูเหลือบดูนาฬิกา ๕ ทุ่มแล้ว เมื่อเปิดประตูออกมาพบพี่อุ่นเรือนพูดกับดิฉันว่า “หลวงพ่อให้กลับบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปพบที่กุฏิหลวงพ่อ” เมื่อไปถึงได้ยินหลวงพ่อสั่งพี่อุ่นเรือนว่า “อุ่นเรือนส่งให้ถึงบ้านนะ ส่งให้ถึงบันไดหน้าบ้านได้ยิ่งดี ต้องให้พ่อแม่เขาออกมารับรู้ก่อนนะ ว่าใครมาส่ง แล้วพรุ่งนี้มารายงานด้วยว่าเรียบร้อยหรือเปล่า”  ดิฉันตื้นตันใจ น้ำตาไหลพรากในความเมตตาที่หลวงพ่อให้ดิฉัน

จากนั้นดิฉันเรียนจบปริญญาตรี และได้ทำงานเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี นิสัยเอาแต่ใจตนเองของดิฉันยังมีอยู่ วันหนึ่งดิฉันถูกหัวหน้าฝ่ายตำหนิว่าดิฉันไม่ดูแลเด็ก ดิฉันโกรธเขา ขาดโรงเรียนไปเฉยๆ ๓ วัน ไปวัดอัมพวัน ระหว่างปฏิบัติกรรมฐานที่หน้าวัดมีโรงเรียน เสียงเด็กอ่านหนังสือและท่องสูตรคูณส่งเสียงดัง ดิฉันกำหนดเสียงหนอ เสียงหนอ จิตมันบอกว่าเด็กอ่านหนังสือ เด็กท่องสูตรคูณเพราะเป็นหน้าที่ของเขา ดิฉันย้อนมาที่ตนเองว่า เราเป็นครู เราทำเช่นนี้ถูกหรือ เราทิ้งเด็ก ขาดความรับผิดชอบ ทำไมเด็กต้องมารับผิดชอบการกระทำของเรา คิดได้เช่นนี้จึงขออนุญาตแม่ชีกลับบ้าน

ในปีพ.ศ.๒๕๒๗ ดิฉันอายุย่างเข้าเบญจเพศ ดิฉันหารู้ไม่ว่าความตายกำลังมาถึงตัวดิฉัน จากอานิสงส์ของการปฏิบัติกรรมฐานแบบจิ้มๆ จ้ำๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามที่หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ ทำให้ดิฉันรอดตายแบบปาฏิหาริย์ เพราะดิฉันตัดสินใจที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่ดิฉันพบมา แต่แล้วก็ไม่มีวันนั้นสำหรับดิฉันและเขา เพราะเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน เป็นกฎแห่งกรรมที่ดิฉันเคยทำเขาไว้ในอดีตชาติ เหตุการณ์นี้เมื่อดิฉันนึกย้อนไปในอดีต ดิฉันเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้จะเดินไปทางไหน มันมืดไปหมด หลวงพ่อเป็นผู้ชี้ทางให้ ดิฉันเดินไปในทางที่ถูกที่สุด ทำให้ดิฉันเกิดเป็นคนใหม่อีกครั้ง หลวงพ่อคอยเตือนสติพร่ำสอนดิฉันว่า “อีหนูอยากหัวดีไหม” “อยากค่ะ” หลวงพ่อบอกว่าให้ไป “ขัดส้วม!ของเหม็นคือของหอม ของหอมคือของเหม็น เอาไปปฏิบัติ เหมือนหลวงพ่อจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรในอนาคตของดิฉัน ความที่อยากหัวดี จึงนำคำสั่งสอนของไปปฏิบัติทุกประการ ขัดไปกำหนดสมาธิไป จึงรู้ว่าปริศนาหลวงพ่อให้ดิฉันมันคืออะไร ดิฉันจะทิ้งไว้ เป็นปริศนา แก่ผู้ที่อยากหัวดี เรียนเก่งนำไปปฏิบัติ

จากนั้นดิฉันเริ่มเบื่อชีวิต เบื่อการทำงาน เบื่อทรัพย์สมบัติต่างๆที่มีอยู่ จึงลาออกจากการเป็นครูในปี ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นช่วงเข้าพรรษา ดิฉันจึงมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด ๑ พรรษา ทั้งยังรักษาอุโบสถไม่เคยขาด การปฏิบัติธรรมของดิฉัน ทำให้ดิฉันคิดถึงแม่มากใจแทบขาด แล้ววันพระก็มาถึง หลวงพ่อได้เทศน์รวมๆ ในโบสถ์ว่า แม่เปรียบเสมือนพระของลูก ทหารที่จะไปชายแดนไม่ต้องขอพรพระที่ไหน ขอจากพ่อแม่เรา เพราะเรามีพระอยู่ในใจแล้ว คือพ่อแม่ กลับไปนำดอกไม้ธูปเทียนแพไปขอขมาแม่ โดยเชิญพ่อแม่มานั่งคู่กัน ขอขมาพ่อแม่ว่าลูกเคยทำให้พ่อแม่เสียใจในการกระทำของลูก โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ขอให้พ่อแม่ให้อภัยยกโทษให้ลูกด้วย แล้วกราบเท้าพ่อแม่ ๓ ครั้ง ดิฉันกลับไปปฏิบัติตามทุกประการ แล้วกลับมาปฏิบัติกรรมฐานตามเดิม ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่เคยคิดถึงแม่ใจแทบขาดอีกเลย เพราะพ่อแม่ได้อโหสิกรรมให้ดิฉันแล้ว จากนั้นชีวิตของดิฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป

บรรยายประสบการณ์การปฏิบัติธรรมให้นายทหารกรมทหารราบที่ ๔ ฟัง ระหว่างปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน

ในปีพ.ศ.๒๕๓๐ ดิฉันได้พบเพื่อนสมัยเรียนอยู่ ม.ศ.๑ โดยบังเอิญ เขาชวนดิฉันไปเรียนปริญญาโท สถาบันเทคโนโลยีสังคม ดิฉันกลับมาปรึกษาพ่อแม่ว่า พ่อขา – แม่ขา หนูอยากเรียนปริญญาโท คุณพ่อตอบว่า หน้าอย่างนี้หรือจะเรียนปริญญาโท คนที่เรียนปริญญาโทนั้นต้องขยันนอนดึกตื่นเช้า เราขี้เกียจหลังยาวแบบนี้ อย่าหวังว่าจะสอบได้ ดิฉันเสียใจในคำพูดของพ่อ คำพูดของหลวงพ่อผุดขึ้นมาในสมองว่า “มือสอง เท้าสอง สมองหนึ่ง” ทำให้ดิฉันเกิดความมุมานะ ในที่สุดดิฉันก็พิสูจน์ให้พ่อแม่ได้เห็นว่าดิฉันทำได้

 

ในปีพ.ศ.๒๕๓๒ วันนั้นเป็นวันโชคดีมากสำหรับดิฉันที่มาวัดพร้อมกับแม่ พี่ชาย และน้องสาว ดิฉันได้ขอรูปหลวงพ่อแล้วนำไปใส่กรอบกราบไหว้บูชา นำไปกรุงเทพฯ ด้วย ดิฉันมักพูดปรึกษาหลวงพ่อเสมอ และได้คำตอบทุกครั้งที่พูดกับรูปหลวงพ่อ เมื่อเข้าพรรษาที่ผ่านมา ราชการหยุดติดต่อกัน ๕ วัน ดิฉันได้มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอย่างจริงจัง เมื่อกลับกรุงเทพฯ ดิฉันได้ทราบข่าวว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครปริญญาโท ดิฉันเกิดความอยากเรียนขึ้นมาอีก จึงกลับไปปรึกษาพ่อแม่ ทั้งสองลงความเห็นว่าไม่ให้เรียนต่อจุฬาฯ ดิฉันเสียใจกลับกรุงเทพฯ จึงมาพูดกับรูปหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อขา หนูอยากเรียนจุฬาฯ พ่อแม่ไม่ให้หนูเรียน หลวงพ่อส่งหนูนะ” ไม่มีเสียงตอบจากรูปหลวงพ่อ

ดิฉันแอบไปสมัครที่จุฬาฯ เหลือเวลาดูหนังสือ ๑ เดือน ดิฉันต้องเรียนและมีงานทำ ทั้งยังต้องค้นคว้าหาข้อมูล ไม่มีเวลาดูหนังสือ จนกระทั่งเหลือเวลาอีก ๑ อาทิตย์สอบ ดิฉันคุยกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อขาช่วยหนูด้วยนะ หนูอยากสอบได้ที่จุฬาฯ ทันใดนั้นเสียงหลวงพ่อก็ดังขึ้นในโสตประสาทของดิฉันว่า “ไม่ช่วยตนเองก่อน เทวดาที่ไหนจะช่วยได้” ทำให้ดิฉันเกิดแรงจูงใจลุกพรวด หยิบหนังสือสังคมวิทยาและมนุษยวิทยาขึ้นมาดู ทั้งหมดมี ๑๐ บท ดิฉันทำบันทึกสรุป (Short Note) ทันที ๑๐ บทใช้เวลา ๓ วัน เพราะมีเวลาดูหนังสือตอนกลางคืนเท่านั้น เหลือเวลาอีก ๒ วันจะสอบ ทำให้จิตใจของดิฉันร้อนรนกังวลใจ คิดเสียใจถ้าสอบไม่ได้ ดิฉันจึงพูดกับรูปหลวงพ่อว่า หลวงพ่อขาหนูอยากสอบได้ แต่หนูไม่ได้ดูหนังสือ คิดแล้วน้ำตาไหล เสียงหลวงพ่อก็ดังขึ้นอีกในโสตประสาทว่า “จิตใจเศร้าหมองเป็นทุกข์ ตกนรกทั้งเป็นนะจ๊ะ” เหมือนอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของดิฉัน ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หยิบบันทึก (Short Note) ขึ้นมาท่องทั้ง ๑๐ บท อ่านไปอ่านมาคิดว่า บทนี้ไม่สำคัญตัดทิ้ง บทนี้ไม่สำคัญตัดทิ้ง เหลือไว้เพียง ๔ บท ดิฉันใช้เวลาทั้ง ๒ วัน ท่องจนจำขึ้นใจทั้ง ๔ บท ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เมื่อวันสอบมาถึง ดิฉันเห็นข้อสอบทั้ง ๕ วิชายิ้มอยู่คนเดียวคิดในใจว่า ดิฉันต้องสอบได้แน่ เมื่อวันประกาศผลมาถึง ดิฉันสอบได้เป็นนิสิตปริญญาโทจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจริงๆ เมื่อพ่อแม่ทราบข่าว ทั้ง ๒ ท่านดีใจ และส่งให้ดิฉันเรียนสมความตั้งใจ

ท่านทั้งหลาย ลองคิดดูซิคะ นี่มันอะไรกัน อะไรที่ทำให้ดิฉันประสบความสำเร็จเช่นนี้ นอกเสียจากอานิสงส์ของการปฏิบัติกรรมฐานและบารมีของหลวงพ่อที่ช่วยเหลือดิฉันมาตลอด ที่เหมือนคุณพ่อแท้ๆ ของดิฉันอีกคน (ดิฉันคิดว่าพ่อ – แม่ให้ชีวิต แต่หลวงพ่อให้อนาคต) ดิฉันตั้งสัจจะต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่ง    ในวัดอัมพวันว่าแม้ชีวิตนี้ถ้าแลกได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง ดิฉันจะแลกให้หลวงพ่อที่ดิฉันนับถืออย่างสูงด้วยความเต็มใจ ต่อแต่นี้ไป ดิฉันจะไม่ทำให้คุณพ่อที่ให้ชิวิต และหลวงพ่อที่ให้อนาคตผิดหวังในตัวดิฉัน ดิฉันจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ แต่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่มั่นคงด้วยการปฏิบัติตามที่หลวงพ่อได้อบรมสั่งสอนดิฉัน คือ การปฏิบัติกรรมฐาน

สิ่งที่ดิฉันเล่ามานี้เป็นประสบการณ์จากชีวิตจริง ดิฉันคิดว่าคงจะเป็นแนวทางให้ท่านที่สนใจ นำไปปฏิบัติตามแต่สิ่งดีๆ และคงจะเกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจปฏิบัติบ้างไม่มากก็น้อย

เอื้อมทิพย์ คงเพ็ชร
๑๕๖/๘ หมู่ ๖
ซอยหมู่บ้านมารศรีนิเวศ
อ.เมือง จ.ลพบุรี ๑๕๐๐๐