บันทึกของเพื่อนนายกรู่

โดย คุณหนุน  ทำนอง

ครูหนุน ทำนอง

คนเราเกิดมาแล้วต้องตายด้วยกันทุกคน จะหนีความตายไปไม่พ้น เพราะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ บางคนไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร บางคนลืมความตาย คิดว่ายังไม่ตายก็มี ถ้าลืมความตายย่อมหลงผิด และอาจทำในสิ่งที่ผิด ๆ บางคนเห็นกันอยู่หลัด ๆ ได้พูดได้คุยกันพอจากกันไปประเดี๋ยวเดียว ได้ทราบข่าวว่าตายเสียแล้ว บางคนพูดว่าอยากรู้วันตาย จะได้เร่งทำบุญทำทาน ถ้ายังไม่รู้วันตายคงปล่อยไปตามยถากรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ว่าเป็นผู้ประมาท บางคนถ้าจิตไม่มั่นคงหรือแน่วแน่จริง ๆ ในเรื่องของสังขารแล้ว ถ้ารู้วันตายจริง ๆ จะมีความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตต่อของรักของชอบใจ ต่อสามีภรรยา บุตร ธิดา บิดา มารดา หรือทรัพย์สมบัติทั้งปวง หาที่สุดมิได้

เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าตนจะตายเมื่อใด ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ตนเองยังปลงไม่ตก มิใช่เรื่องที่จะพูดเล่น ๆ อย่างเลื่อนลอย ผู้ที่รู้วันตายได้จริง ๆ นั้น อยู่ในขั้นของผู้มีกิเลสเบาบางแล้ว ส่วนผู้ที่ยังมีกิเลสเมื่อได้รู้วันตายเข้าจริง ๆ จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง มีความโศกเศร้า และหวาดหวั่นตลอดเวลา มีแต่คามทุกข์ระทมมาสู่ตน เมื่อถึงคราวจิตดับวิญญาณอาจไปสู่ทุคติได้

มีบางท่านก่อนถึงแก่กรรม สามารถรู้เวลา รู้วัน รู้เดือน ของการมรณกรรมได้ก็มี โดยมากท่านเหล่านี้ มีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหว เพราะรู้ความจริงของสังขารและกฎของธรรมชาติ ส่วนมากท่านเหล่านี้ได้สร้างสมบุญแต่อดีตชาติ หรือได้สะสมบุญบารมีในชาติปัจจุบันไว้มาก ท่านที่เป็นนักปฏิบัติธรรม หรือท่านที่มีจิตมั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญกุศลอยู่เสมอ มีการสวดมนต์ ให้ทานอยู่เป็นนิจ มีการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ จะไม่มีความหวาดหวั่นแต่อย่างใด เพราะท่านเหล่านี้รู้ว่าชีวิตของเราเกิดดับเกิดดับอยู่ตลอดเวลา หรือดังคำที่กล่าวว่า “ให้นึกถึงความตายไว้วันละครั้ง หรือให้นึกถึงคามตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก”

ดังจะได้นำประสบการณ์ของข้าพเจ้า ที่ได้ทราบจากเพื่อนของข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังก่อนที่เขาจะถึงแก่กรรม เพื่อนของข้าพเจ้าเขามีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า ๕-๖ ปี เราสนิทสนมกัน มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ ๆ กัน ไปไหนกต่อไหนด้วยกัน เรามีสารทุกข์สุกดิบอะไรมักเล่าสู่กันฟัง ถ้ามีความจำเป็นอย่างใด เราจะช่วยเหลือกันตามกำลังความสามารถเสมอ เขาเป็นคนใจบุญสุนทาน มืออ่อนปากหวาน เขาปฏิบัติอย่างเป็นกิจนิสัยด้วยความสม่ำเสมอ มีบางคนขนานนามเขาว่า “เป็นคนปากหวานประจำท้องถิ่น” เขาเป็นผู้มีใจบุญใจกุศล ได้ทำมาแล้วเป็นจำนวนมาก เขามีรถยนต์ ๒ คัน ไม่ว่างานบุญจะมีขึ้นที่วัดใดในบริเวณใกล้ ๆ เขาจะรับผู้ใจบุญไปร่วมบุญโดยไม่คิดสตุ้งสตางค์ บางครั้งถึงจะรับจ้างจะได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร เขามีความอดทนและดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีปากมีเสียงทะเลาะกับผู้โดยสารเลย

ตั้งใจจะเล่าเรื่องความฝันของเพื่อนอดเสียมิได้ที่จะกล่าวถึงความดีของเขาให้ยืดยาวออกไป ท่านผู้อ่านคงต้องการที่จะทราบเรื่องความฝันของเพื่อน ได้รู้ได้พิจารณา เพราะถ้าผู้ใดได้ประสบกับตนเองแล้ว ออกจะน่ากลัว และหวาดเสียว สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นคงในความจริงของสังขาร หรือสัญญาของชีวิต ทุกคนมีสัญญาการเกิดการตายมาแล้วทั้งนั้น ทุกคนจะต้องเป็นไปตามสัญญาที่กำหนดไว้ ถ้าเราเกิดมาแล้วไม่ได้สร้างความดีให้กับตนเอง หรือมิได้ทำความดีให้กับสังคมเลย นับว่าน่าเสียดายชีวิต ถ้าคิดให้ละเอียดยิ่งขึ้น การที่เราได้เกิดมาเป็นคนหรือเป็นมนุษย์นั้นวิเศษที่สุดแล้ว สามารถบำเพ็ญบารมี สร้างกุศลได้เต็มที่ เต็มกำลังความสามารถ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้พบสัจธรรม จะรู้คุณค่าของชีวิตได้ดี ถ้าปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไปเสียเปล่า ๆ มิได้สร้างความดีให้กับตนเองแล้ว นับว่าเราไม่รู้คุณค่า เราไม่รู้ความสำคัญของชีวิตที่เราได้เกิดมา บางคนมีความมือเข้ามาครอบงำ ทำให้เห็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวาดเสียว น่าขยะแขยง น่าละอาย เป็นของดีเป็นของชอบใจ และมีความสุขในสิ่งนั้น ๆ ด้วย

เพื่อนของข้าพเจ้าเขาทำการค้าอยู่ที่ตลาดบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี กิจการค้าขายของเขาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปเป็นลำดับ เขาซื้อสินค้าขึ้นล่อง โดยเรือเมล์ระหว่างกรุงเทพ-สิงห์บุรี ต้องใช้เรือเมล์บรรทุกสินค้าไปตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา และเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ผู้เขียนขอให้ชื่อว่า “สัญญาณมรณะ” เขาผู้นั้นคือคุณกรู่  ทรัพย์ทอง เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๗ คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ได้เล่าเรื่องความฝันของเขาให้ฟังว่า เมื่อคืนนี้ฝันไปว่าที่ตับของเขาดำไปหมด แล้วตับนั้นก็เน่า แล้วเขาก็ตายไปเมื่อเขารู้สึกตัวตื่นขึ้น มีความเสียใจมาก และได้นึกย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์เมื่อ ๒๔ ปีมาแล้ว

วันหนึ่งเรือสินค้าที่เขาโดยสารใช้บรรทุกสินค้าขึ้นล่องอยู่เป็นประจำได้ล่มลงในเวลากลางคืน เขากำลังนอนหลับ เมื่อรู้สึกตัวว่าเรือล่ม ได้พยายามช่วยเหลือตัวเอง และได้ตะเกียกตะกายอยู่ในเรือ เพื่อหาทางออก ในขณะนั้นเขาตั้งใจว่า ถ้าเขารอดชีวิตแล้วจะบวชให้ ๓ เดือน ทันใดนั้นเขาก็โผล่หน้าออกมาข้างเรือแลเห็นด้วยจันทร์แล้วได้พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเข้าฝั่งด้วยความอ่อนเพลีย เงินทองข้าวของเสียหายไปหมด เหลือแต่เสื้อผ้าชุดทีอยู่กับตัวเท่านั้น เขานึกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่

หลังจากนั้นเขาก็ประกอบอาชีพค้าขาย ขึ้นล่องกรุงเทพฯ อยู่เป็นประจำ การค้าขายของเขาเจริญรุ่งเรืองมาด้วยดีเป็นเวลาถึง ๒๔ ปี เขาจึงได้เกิดความฝันขึ้น เมื่อฟั่นขึ้นเขาก็นึกถึงอดีตกาลขึ้นมาทันที นึกถึงภาพที่เรือล่ม นึกถึงภาพที่ติดอยู่ในเรือ นึกถึงที่ได้กระเสือกกระสนออกมาจากเรือ นึกถึงจิตที่เขาตั้งไว้ว่า “รอดชีวิตแล้วจะบวช” และนึกถึงอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายจนสับสนไปหมด มีความไม่สบายใจและเจ็บที่ตับ เขาเอามือลูบ ๆ คลำ ๆ ตรงที่เจ็บนั้น แล้วพูดว่า เมื่อวันก่อนไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด พอฝันก็เจ็บตรงนี้จริง ๆ เขาเอายาทาแก้เจ็บแก้ปวดทาไปตรงนั้น ลักษณะท่าทางและกิริยาของเขาตอนนี้ผิดปกติไปมาก ตามธรรมดาคุณกรู่  ทรัพย์ทอง เป็นคนพูดสนุกสนาน มีอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา จะพูดจะคุยกับผู้ใด มักได้รับการสรวลเสเฮฮาเสมอ เขาเป็นคนแปลกที่มีเรื่องขำขันให้คู่สนทนาหรือกลุ่มที่สนทนาฟังอย่างสนุกสนานจริง ๆ แต่การสนทนาคราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่เตาได้สนทนากัน ความร่าเริงความสนุกสนานหายไปหมด สังเกตเขาเหงาไปมาก หน้าตาหมองคล้ำไม่สดชื่น เขาได้เล่าความฝันให้ฟังแล้วเขาก็พูดต่อไปว่า ขณะนี้อายุ ๔๘ ปีแล้ว เหตุการณ์ครั้งสำคัญของชีวิติผ่านมาถึง ๒๔ ปี ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ากรรมนายเวรเขามาเตือนกระมัง ถ้าให้ดีควรบวชตามที่ได้ตั้งใจไว้” คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ก็พูดว่าจะบวชได้อย่างไร แม่ก็แก่แล้ว ลูก ๆ ก็กำลังเรียนอยู่หลายคน รถยนต์ก็อยู่ตั้ง ๒ คัน เมื่อบวชแล้ว ทางบ้านก็ลำบางมาก ไม่มีใครดูแลช่วยเหลือ ยิ่งกว่านั้นในเดือน ๙ หมายถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๗ ลูกสาวจะแต่งงาน ไม่มีใครช่วยเหลือต้นรับแขก ข้าพเจ้าพูดว่างานทุกอย่างเมื่อลงมือทำแล้วก็สำเร็จจนได้ เมื่อบวชแล้วจะได้ชยันโตให้ลูกสาวอีกด้วย คุณกรู่  ทรัพย์ทอง พูดต่อไปว่า ถ้าบวชจริง ๆ รถมีอยู่ ๒ คัน ต้องขายเสียคันหนึ่ง การอุปสมบทแบบง่าย ๆ เพียงมีไตร เครื่องอัฐบริขาร เครื่องไทยทาน เพียงเล็กน้อยก็อุปสมบทได้ แต่ชีวิตจริงของผู้ครองเรือน ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดหรืออย่างที่พูด กับการรับผิดชอบของเขา เราได้พูดคุยกันหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือเขา แล้วเขาก็ลาจากไป ขณะที่เขาเล่าให้ฟังนี้มีผู้ร่วมฟังอยู่ด้วยอีก ๒ คน

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๗ เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. เขาไปที่บ้านข้าพเจ้า แล้วเล่าให้ฟังอีกว่า “เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลย” ทำให้คิดต่าง ๆ นานา โดยไม่ยอมบอกความกลุ้มใจให้แม่และภรรยาฟัง เมื่อนอนไม่หลับก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบเป็นเพื่อน สูบไปคิดไปคิดไปนึกถึงตนเอง ว่าถ้าเป็นจริงเช่นนั้น แม่ ภรรยา และบุตร คงลำบากกันมาก ยิ่งกว่านั้นยังสั่งกำชับข้าพเจ้าและผู้ที่นั่งฟังไม่ให้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่และภรรยาทราบอีกด้วย สังเกตดูเขามีความเศร้าและเหงาไปถนัด แล้วใช้ยาทาตรงที่ตับอยู่เรื่อย ๆ เมื่อเห็นคุณกรู่  ทรัพย์ทอง มีความทุกข์ร้อน ไม่รู้จะหาทางแก้ไขและช่วยเหลือๆได้อย่างใด ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดขึ้นมาแล้วพูดว่า ควรไปหาท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ดีกว่าเพื่อให้ท่านช่วยเหลือแนะนำแนวทาง เมื่อข้าพเจ้าพูดขึ้น คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ก็พลอยเห็นดีด้วย

คุณกรู่  ทรัพย์ทอง เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ ได้เคยขับรถยนต์ประจำให้ ท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณ (พระครูภาวนาวิสุทธิ์) ไปในศาสนกิจบ่อยครั้ง และคุณกรู่  ทรัพย์ทอง เป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือกิจการงานวัดอัมพวันมาด้วยดี

พอเวลา ๑๙.๐๐ น. ข้าพเจ้ากับคุณกรู่  ทรัพย์ทอง ได้เตรียมตัวไปวัดอัมพวัน โดยคุณกรู่  ทรัพย์ทอง เป็นคนขับรถเอง เมื่อถึงวัดอัมพวัน ข้าพเจ้าทั้ง ๒ เปรียบเหมือนลูกศิษย์ของวัด เมื่อนมัสการแล้วได้พูดคุยกันเล็ก ๆ น้อย คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ไม่ยอมพูดเรื่องของตนเลย ข้าพเจ้าเห็นเป็นการเสียเวลาจึงเล่าเรื่องความฝันของคุณกรู่  ทรัพย์ทอง ให้ท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยคุณกรู่  ทรัพย์ทอง ไม่ยองพูดเรื่องราวของตนเองเลย อาจจะเป็นเพราะไม่มั่นใจตนเองหรือหวาดหวั่นในเหตุการณ์อยู่ก็ได้ เขาได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตลอดเวลา แล้วนำยาลมที่ติดตัวไป ผสมกับน้ำชาที่วัดอัมพวัน ดื่มหลายครั้ง เขาได้แต่นั่งร้องไห้ตลอดเวลา เห็นแล้วสลดใจ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องแทนเพราะรู้เรื่องดีอยู่แล้ว พระภาวนาวิสุทธิคุณฟังเรื่องโดยตลอดแล้ว ท่านนับสงบนิ่งอยู่นาน แล้วก็พูดขึ้นว่า “กรู่ ควรจะบวช” คุณกรู่ก็พูดว่า “ผมจะบวนอย่างไร ลูกก็จะแต่งงานเดือน ๙ นี้ และภาระทางบ้านมีมากมาย” พระภาวนาวิสุทธิคุณยังพูดต่อไปว่า “ถึงบวชแล้วก็มีคนช่วยจนสำเร็จ กรู่เป็นคนมีพวกมาก มีงานเพื่อนฝูงช่วยกันจนได้ บวชเพียง ๓ เดือน ไม่มากมายอะไร” แล้วท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณจะช่วยไตร ๑ไตร เราสนทนากันอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างออกความเห็นกันไปต่าง ๆ กัน เพื่อให้คุณกรู่  ทรัพย์ทอง สบายใจ ต่อมา คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ตกลงใจบวชเดือน ๑๐ หลังจากที่บุตรสาวได้แต่งงานแล้ว สนทนากันอยู่จนถึงเวลา ๒๓.๐๐ น. เราทั้งสองจึงกราบลาท่านพระภาวนาวิสุทธิคุณ วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จงหวัดสิงห์บุรี

เมื่อถึงวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นวันประกอบพิธีมงคลสามรถบุตรสาวของคุณกรู่  ทรัพย์ทอง งานดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากที่บุตรสาวได้ประกอบพิธีมงคลสมรสแล้ว คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ก็ไม่ได้อุปสมบทแต่อย่างใด เพราะเรื่องทั้งหลายเป็นอนิจจํ เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หลังจากนั้นเป็นเวลาผ่านไปถึง ๑ ปีเต็ม ๆ ทุกคนลืมเรื่องที่คุณกรู่  ทรัพย์ทอง ได้เล่าถึงความฝันและสัญญาที่ได้ให้ไว้อย่างสนิท ในวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เขาขับรถยนต์ไปพลิกคว่ำ เขาถูกรถยนต์ทับถึงแก่ความตาย ที่อำเภอมโนรมย์ จังหวังชัยนาท ทำให้คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต และการที่เขาต้องมาถึงแก่กรรมในครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากการที่เขาไม่ได้อุปสมบทใช่หรือไม่ หรือว่าเขาผิดสัญญาที่ให้ไว้ หรือว่า เจ้ากรรมนายเวรมาเตือนสัญญาจึงทำให้ฝันถึงเหตุการณ์เช่นนั้น เขาเล่าความฝันของเขาให้ฟังวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๗

งานมงคลสมรสลูกสาวเริ่มวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๗ และเขาขับรถไปถึงแก่กรรมก็วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ เมื่อคราวเรือล่มอายุเขาได้ ๒๔ ปี เขามีอายุต่อมาอีก ๒๔ ปี รวมอายุได้ ๔๘ ปี

เมื่อคุณกรู่  ทรัพย์ทอง ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว จึงได้พูดถึงความฝันของเขาให้แม่และภรรยาฟัง บางคนพอรู้เรื่องก็พูดกันไปต่าง ๆ นานา ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นควรบวชเสียจะได้ไม่ตาย ฝ่ายทางแม่และภรรยาก็พูดว่า “ถ้ารู้เรื่องเสียแต่ต้น ก็ใช้บวชเสียแล้ว” ขอให้ผู้อ่านทุกท่านไดโปรดพิจารณาว่า “ความจริงคืออะไร”

 

ลายเซ็นคุณหนุน  ทำนอง

(หนุน  ทำนอง)

อดีต ครูใหญ่ ร.ร.วัดกลางธนรินทร์

ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี

จ.สิงห์บุรี