วิญญาณรายงานตัว

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

อาตมามีเรื่องวิญญาณจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องวิญญาณมารายงานตัวเพื่อเจริญกรรมฐานที่วัดอัมพวัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ เขาคือ วิญญาณของนายวิโรจน์ ปัญจบุรี

จำเป็นจะต้องกล่าวประวัติของนายวิโรจน์สักนิดหน่อย

นายวิโรจน์ ปัญจบุรี เกิดเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ บ้านเลขที่ ๙๑/๑ ถ.ประตูชัย ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา บุตรนายวิรัตน์ นางมอนแก้ว ปัญจบุรี มีพี่น้องร่วมท้องกัน ๔ คน นายวิโรจน์เป็นคนที่สอง มีการศึกษาดี เรียนดีตลอดมา คือจบสายสามัญจากโรงเรียนพะเยาพิทยาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูเชียงราย ได้รับประกาศนียบัตร วิชาการศึกษาชั้นสูง วิชาเอกพลศึกษา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ และได้รับปริญญาคุรุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเอกพลศึกษา เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖

เมื่อเดือนตุลาคมปี ๒๕๒๕ ระหว่างที่นายวิโรจน์เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครูเชียงราย ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนนักศึกษาเข้ามาค่ายพัฒนาจิตใจ ที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จัดโดยสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ มีผู้แทนนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศมาเข้าค่าย ๗ วัน บุหรี่ไม่สูบ เป็นคนไม่ข้องแวะกับอบายมุขเลย

นายวิโรจน์มีแฟนคนหนึ่งเป็นคนจังหวัดเดียวกัน เขารักกันมากเมื่อเรียนจบแล้ว วิโรจน์สอบบรรจุได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยครูเชียงราย แฟนของนายวิโรจน์สำเร็จปวช. เรียนต่อ ปวส. แล้วลาออกไปทำงานที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดพะเยา

ต่อมาปี ๒๕๒๖ เขามีโครงการอบรมกันที่วัดอัมพวันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อธิบดีสมพร เทพสิทธาประธานสภายุวพุทธฯ ผู้จัดการอบรมได้เชิญ รัฐมนตรี ร.ต.ท. ชาญมนูธรรมมาเป็นประธานในพิธีเปิดจะนำเครื่องมาลงที่นี่ อาจารย์สมเดช มุงเมือง ซึ่งเคยมาเข้าค่ายพัฒนาจิตใจที่วัดอัมพวันสมัยเป็นนักศึกษาปกศ.สูง ต่อมาเรียนสำเร็จปริญญาโทเป็นอาจารย์วิทยาลัยครูเชียงราย อาจารย์สมเดชชวนนายวิโรจน์ว่า “ไปไหม” วิโรจน์บอกว่า “ไปแน่” เพราะเจริญสติปัฏฐานสี่แล้วมันซาบซึ้งใจเหลือเกิน อาจารย์สมเดชบอกให้นายวิโรจน์ไปเป็นวิทยากรและช่วยควบคุมนักศึกษาที่วัดอัมพวัน นายวิโรจน์บอกยินดีมาก

วิโรจน์ได้ไปชวนแฟนคือกัลยาให้มาอบรมด้วยแต่กัลยาปฏิเสธบอกว่า “คุณไปก่อนเถอะ เอาไว้แก่คราวคุณย่า-คุณยายเสียก่อน” กัลยาไม่สนใจไป

วิโรจน์ก็เตรียมกระเป๋า ๒ ลูก มีเป้, กระติกน้ำร้อน-น้ำเย็นพร้อม พอดีจะต้องไปเล่นกีฬา แล้วถึงจะมาเขาก็เตรียมกระเป๋าเรียบร้อย ตั้งใจมั่นจะไปแน่มีศรัทธา ๑๐๐% จะมาอบรมที่วัดอัมพวัน วันที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๒๖ ๕ วัน ๕ คืนจะนำนักศึกษามาประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ คน

๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๖ ก่อนถึงกำหนดจะไปวัดอัมพวัน ๕ วัน วิโรจน์ขี่จักรยานยนต์ไปรับแฟน ให้แฟนซ้อนท้ายมาเดชะกฎแห่งกรรมบันดาลรถชนทันที วิโรจน์ตายคาที่ แฟนก็ไปตายที่โรงพยาบาล วิโรจน์ตายหัวเละ ไส้ทะลัก มอเตอร์ไซค์พัง แฟนตายวันรุ่งขึ้น คือ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๖ ญาติตั้งศพที่วัดในหมู่บ้านแยกกันของใครของมันไม่ได้ตั้งรวมกัน วิญญาณแยกออกจากร่าง

พอตายแล้วนายวิโรจน์เล่าว่าเขาตั้งสติของเขาดี เขาออกมายืนพิจารณาสังขารของเขาว่าหัวเละไส้ออกไปแล้ว และเขาก็มายืนเขามีสติครบ นี่ไม่ใช่ว่าศพตาย แล้วิญญาณจะอยู่ตรงนั้นนะเดี๋ยวโยมจะเข้าใจผิด และเวลาที่ใส่หีบโลงเข้าแล้ว วิญญาณคงอยู่ในโลงศพ ไม่ใช่ เขายืนยันเลย เขาก็ตามไปยังที่ตั้งศพของเขา อาบน้ำศพตามประเพณีเขาก็รู้หมด และก็เอาศพใส่หีบตั้งบำเพ็ญกุศล พระก็เริ่มสวดบำเพ็ญกุศล มีสวดพระอภิธรรม

อาตมาก็ถามว่า “พอตั้งศพแล้วิวญญาณไม่ตั้งอยู่ตรงนั้นเหรอ” เขาบอกว่า “ไม่อยู่” บางทีเราก็เคาะโลงบอกว่า “แม่ออกมาพระจะสวด” “แม่ทานอาหารเสีย” ก็เคาะกันไป ดีเหมือนกัน กตัญญูรู้พระคุณ แต่ที่จริงแล้ววิญญาณ ออกมาหาได้อยู่ที่เรือนร่างไม่หรอก ความจริงเป็นอย่างนี้

ในที่สุดพอตั้งศพเรียบร้อยดีแล้ว วิญญาณนายวิโรจน์ก็มาถึงนี่ทันที วิญญาณนายวิโรจน์มาถึงวัดอัมพวัน ญาติโยมโปรดฟัง จิตฺเต สฺงกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา จิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นที่หวังได้

จิตนี้จะไปไม่ติดไฟแดง ไม่มีเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ถึงเลย อย่างโยมนั่งหลับตานึกถึงบ้าน ถึงเลย นึกถึงที่นอนเรา ถึงเลย นึกถึงครัวก็ถึงเลยเหมือนอย่างโยมนั่งพักอยู่ที่นี่ จะไปทั้งหอฉันรับประทานอาหาร มันจะเลี้ยวตรงนี้หยุดตรงโน้นไม่ได้ มันจะถึงเลย นั่งเก้าอี้ตรงไหน ก็ถึงตรงนั้น มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ในที่สุดเขาก็มาถึงวัดอัมพวัน ในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๖ นั่นเอง พอดีที่นี่มีอบรมนักศึกษาวิทยาลัยครูเทพสตรี และปิดการอบรมในวันนั้น ที่หอประชุมมีเก้าอี้อบรมทั้ววิชาการ มีปฏิบัติกรรมฐานน้อย ยังไม่ได้ปฏิบัติกันเคร่งครัดอะไร สมัยนั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ปฏิบัติยังไม่เคร่งครัด มีโต๊ะเก้าอี้พอ วิทยาลัยครูเทพสตรีอบรมเสร็จออกไปแล้ว ก็ทำความสะอาดกัน ตอนนั้นมีพระภิกษุ-ปริญญาโท หนึ่งรูป ปริญญาตรีหนึ่งรูปมาบวช ๑๕ วัน ไม่ได้สนใจมาปฏบัติกรรมฐาน ต้องการมาบวชพักผ่อนดูหนังสือ จะไปอเมริกา จะไปต่อปริญญาเอก ไม่ได้มานั่งกรรมฐาน

อาตมาก็บอกว่า “นี่คุณต้องการจะไปเรียนหนังสือต่อควรนั่งกรรมฐานเสีย จะได้ไปเรียนสำเร็จมีปัญญาดี”

“โอ๊ยผมไม่สนใจหรอก ผมจะดูหนังสือ จะต้องเดินทางไปอเมริกา” องค์ปริญญาตรีก็เหมือนกัน แต่เขาก็ขยันดี มาช่วยกวาด ตอนนั้นยังไม่มีพรม ที่มีพรมปูเพราะคุณแม่สิริ กรินชัยพาพวกโยมมา ในรายการยุวพุทธิกสมาคมฯ ก็เลยมีพรมปูให้นั่ง ก็ได้อานิสงส์ขึ้น ก็นั่งกวาดโน่นกวาดนี่ ที่พรมไม่มีก็ใช้เสื่อปูเอา และเอาเก้าอี้ตั้ง เมื่อเอาเสื่อออกฝุ่นเยอะแยะ ก็ทำความสะอาดกัน ปัดกวาดอะไรทำนองนี้ อาตมานั่งบนเก้าอี้ พระปริญญาโท ปริญญาตรีก็มากวาดอยู่ใกล้ๆ

ตอนเย็นมากแล้ว พวกที่เลิกอบรมกลับกันไปแล้ว สักประเดี๋ยวนายวิโรจน์ถือกระเป๋ามา ๒ ลูก เป้ก็วางอยู่มากราบอาตมา

อาตมาก็ถาม “เอ้า! มาอย่างไรกันนี่” เขาบอก “มาอบรม” “มาอบรมอะไรยังไม่ถึงเวลาอีกตั้งหลายวัน เริ่มวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ นี่เพิ่งวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๖ มาอย่างไร” เขาก็รายงานตัวเลย

“กระผมวิโรจน์ครับหลวงพ่อ จำได้ไหม”

“อ๋อ!จำได้คลับคล้ายคลับคลา”

“ก็ผมมาอบรมไงเล่า ผมนั่งเจริญสติปัฏฐานสี่ นั่งน้อย แต่ผมก็กลับไปนั่งที่บ้าน ผมสนใจมากครับ จะมาตอนนี้ผมก็บอก บอกกับ อ.สมเดช มุงเมืองไว้ บอกต้องมาแน่ ถึงยังไงก็มาและผมก็อุตส่าห์ไปชวนแฟน เขาก็เล่าถึง น.ส. กัลยา ให้ฟังว่า เขาไม่มาหรอกครับ ผมก็ต้องมาคนเดียว” แล้วเขาก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า

เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๖ ผมขับมอเตอร์ไซค์เอาแฟนซ้อนท้าย ไปถูกรถชนและตายแล้ว… อาตมาขอแทรกตรงนี้ ที่บอกว่าตายอยู่กลางถนนรถชน แล้ววิญญาณอยู่ตรงนั้นไม่จริงเสมอไป คนที่จะเฝ้าอยู่เฝ้าตามถนนหนทาง คือ พวกสัมภเวสี ไม่มีสติ คนที่ไม่ได้ฝึกอะไรไว้ ตายที่ไหนแล้ว มักจะหาที่อยู่ไม่ได้ ไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ เรียกว่า สัมภเวสี ตัวตายด้วยอำนาจโลภะเป็นเปรต อสุรกาย ถ้าตายด้วยอำนาจโทสะ ส่วนมากเป็นโยมผู้หญิงเคียดแค้นกับสามีเรื่องชู้สาวเป็นผีดิบ ไปเที่ยวกินเลือดผู้ชาย สำหรับอสุรกายตายด้วยอำนาจโลภะ มันจึงเป็นสัมภเวสี มันจึงจะเฝ้าที่

ยกตัวอย่างค่ายบางระจัน นายจัน หนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ พันเรือง เป็นต้น อย่าลืมนะที่ค่ายบางระจัน ตายด้วยอำนาจโทสะ กำลังรบพุ่งชิงชัย กำลังมีอำนาจโทสะต่อต้านกันเลยล้มหายตาย เฮี้ยนมาก เมื่อสมัยก่อนนั้น ใครจะไปเอาไม้แดงที่วัดโพธิ์เก้าต้นไม่ได้นะ และน้ำสระหลวงพ่ออาจารย์ธรรมโชติใครจะไปตักไม่ได้ เอาไปใส่กา การะเบิดเลย และอีกดอกจันเก้าตรา ใครเอาไปต้องเอาไปคืน อาตมาก็เคยไปเอาแต่ไม่คืน เพราะอาตมาพูดกันรู้เรื่อง จำไว้ แต่นี่จะไม่เล่าเรื่องดอกจันเก้าตรา

อาจารย์ธรรมโชติ ไม่ได้เป็นอาจารย์อยู่ที่วัดโพธิ์เก้าต้น เป็นพระอยู่วัดเขาขึ้น อำเภอเดิมบางนางบวช ทางบางระจันไปนิมนต์ให้มา มาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้นมาช่วย ไม่ใช่คนบ้านนั้น สมภารชื่อ อาจารย์คง วัดโพธิ์เก้าต้น อาตมารู้ประวัติ เลยก็ว่าอาจารย์ธรรมโชติเป็นเจ้าของวัดโพธิ์เก้าต้นที่จริงไม่ใช่ อาจารย์ธรรมโชติท่านเก่งทางฌาน ท่านเก่งหลายอย่างอะไรทำนองนี้ โยมจำไว้ตายด้วยอำนาจโทสะ จึงต้องเฝ้าอยู่ตรงนั้นนะ เฝ้าเฮี้ยน ดุด้วยนะ ดุแยกเขี้ยวยิงฟันด้วย ใครไปเอาของไม่ได้ ตายเลย แต่เดี๋ยวนี้ทำไมไม่เฮี้ยน

ในเวลากาลต่อมาพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ สร้างค่ายขึ้นมาแล้วถวายพระราชกุศล ในหลวงเสด็จมาทั้งสี่พระองค์ มีการสร้างตัดลูกนิมิต ถวายพระราชกุศลเลย วิญญาณก็ไปเกิดแล้วจะไปเฮี้ยนได้อย่างไร ทำไมวิญญาณไม่เฮี้ยนก็ไปเกิดหมดแล้ว

อาจารย์วิโรจน์บอกตรงกันเลย บอกหลวงพ่อผมไม่ใช่สัมภเวสี นี่คุยกับผีเห็นกันหลายคนนะ ไม่ใช่โรคประสาท พระเห็นกันหมดกำลังทำความสะอาด เป็นที่น่าสังเกตว่า รู้ว่าเขาเป็นวิญญาณอย่างไร ฟังต่อไป

ตอนที่มานั่งคุกเข่า อาตมาไม่รู้หรอกว่าเข้ามาตอนไหน เพราะพระมัวกวาดกัน มาถึงมานั่งแล้วเข้ามาทางหน้าหอประชุม มากราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ หน นั่งแล้วรายงานตัวเลย บอก “กระผมมาจากเชียงรายครับหลวงพ่อจำได้ไหมวิโรจน์ครับ” ก็ใครจะไปจำได้ นักศึกษาตั้งเป็นร้อยๆ จำไม่ได้หรอก บอก “จำได้คลับคล้ายคลับคลา”

“ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไงล่ะ มานั่งเจริญสติปัฏฐานสี่ยังไม่ครบ”

“ทำไมถึงมาก่อนกำหนดวันเขาล่ะ” เขาจะเข้าวันที่ ๒๑ ตุลาคม นี่นา นี่เพิ่งวันที่ ๑๖ ตุลาคม เท่านั้นเอง

“ผมได้ตายแล้ว!” พระนั่งเลยเอาไม้กวาดวางพอได้ยินเสียง “ผมได้ตายแล้ว” ก็นั่งกัน ก็ดู เอ! ผีก็ไม่ใช่ ทำไมไม่ใช่ผี โยมอย่าเข้าใจผิดนะ ถ้าตาโบ๋แล้วมีมือใหญ่ๆนะเป็นผีโทรทัศน์ ผีลิเกจำไว้ ผีลิเกมันออกมาอย่างนี้ เขาทำให้เราดู ถ้าผีจริงต้องมาอย่างนี้ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด มาอยู่ในวัดนี้ไม่ต้องกลัวผีตาโบ๋ อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผีมั่งเหมือนกัน ตาโบ๋ แล้วทำผมยาวๆ มือใหญ่ๆ นั่นผีลิเก ใส่หน้ากาก แน่นอนที่สุดเลย ถามได้ความรู้อีกเยอะ และพระก็นั่งฟังกัน มีพยานหลักฐานอยู่ครบ พระปริญญาโท ปริญญาตรีเริ่มสนใจแล้ว

อาตมาถามว่า “คุณมาอย่างไร”

“หลวงพ่อครับ ผมกราบเรียนถวายว่า ผมตั้งใจ มั่นใจเลย ผมมาครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ผมเจริญกรรมฐาน ผมก็ซึ้งใจแล้ว แต่ยังไม่ได้ขั้นตอนครับ ตอนนี้ผมมา ๗ วัน ๗ คืน อาจารย์สมเดชจะให้ผมเป็นวิทยากรควบคุมนักศึกษาและเอาใจใส่เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย และผมก็พอดีถูกรถชนตาย ในวันนี้แล้ว ผมก็รีบมาก่อน กระเป๋าที่ผมมานี่ไง ผมเอามาหมด” มีที่ใส่น้ำร้อน น้ำแข็ง เป้คล้ายทหาร

อาตมาก็ถามว่า “เอาศพตั้งไว้ยังไง แฟนคุณอยู่ที่ไหน” เขาบอกว่า “อยู่อีกวัดหนึ่ง คนละตำบล คนละที่ ไม่ได้ตั้งรวมกัน”

“น่าจะอยู่ที่หีบศพ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้”

เขาบอกว่า “ไม่จริง หลวงพ่อไม่จริง อย่าเชื่อว่าอยู่ที่หีบศพ เวลาจะสวดก็บอก เวลาจะกินข้าวก็บอก ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้น สวดพระอภิธรรม สวดสังคหะ ใครจะฟังล่ะคุณ คุณไม่อยู่ฟัง”

เขาบอกว่า “หลวงพ่อครับ สวดให้ญาติที่มีชีวิตอยู่ฟัง ผมไม่ต้องไปฟังหรอก”

พวกเราจำไว้ เผื่อจะไปอย่างนั้นบ้าง จะอยู่ฟังหรือเปล่า อันนี้เรื่องจริง

อาตมาก็ซักไซร้ไล่เลียง ไม่น่าจะสนเท่ห์อะไรแล้ว ก็มันเป็นกฎแห่งกรรมอันสำคัญ อาตมารู้เรื่องก่อนแล้ว จึงได้เล่าเรื่องให้ อ.สมเดชเขาฟังไว้ก่อน มันมีความหมาย เดี๋ยวจะอ่านจดหมายให้ฟังอีก มีรูปถ่ายด้วย

เขาก็รายงานว่า “หลวงพ่อครับ จิตวิญญาณนี้มันถึงเลยนะครับ” แล้วเขาก็อธิบาย พระปริญญาโทนั่งฟังปากหวอเลย “ผมต้องมาเจริญวิปัสสนาแน่ เพราะผมตั้งใจแล้วครับหลวงพ่อ เพราะเวลาในโลกมนุษย์มีค่าเหลือเกิน”

พระปริญญาโทฟัง นั่งนึกพิโธ่เอ๋ย เรามาบวชเราก็ไม่ได้ขอกรรมฐาน ผีมันยังมาเจริญกรรมฐานเลย วันนั้นพระปริญญาโท ปริญญาตรีเลยได้อบรมพร้อมกันไปด้วย นับว่ามีประโยชน์ดีเหลือเกิน

อาตมาบอก “สวดพระอภิธรรมน่าจะได้ฟัง จะได้กุศล”

เขาบอก “หลวงพ่อครับไม่จริง สวดให้ญาติพี่น้องฟังสวดให้คนเป็นคนฟัง แต่วิญญาณนั้นไปสู่สถานแน่นอน คิดดีก็ไปทางดี คิดไม่ดีก็ไปทางไม่ดี แต่กระผมคิดมาก่อนนานแล้วว่าจะมาเป็นวิทยากรที่นี่ และตั้งใจว่าจะปฏิบัติต่อ เพราะคราวที่แล้วปฏิบัติเต็มที่เพียง ๒ คืนเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นวิทยากรมาผสมมากมายเหลือเกิน การปฏิบัติก็น้อยลงไป แต่ผมก็ซึ้งใจแล้ว” เขาว่าอย่างนี้

“หลวงพ่อครับ กระผมอ่อนใจเหลือเกิน หลวงพ่อหาที่พักให้ผมหน่อย พักที่ไหน” “หลวงพ่อครับ มีอะไรเรียกใช้ได้” ขอปวารณาด้วยนะ พระนั่งเป็นแถวเลย

“ไปดูเถอะนะ กุฏิข้างโบสถ์ล่องไปทางใต้เลย ที่ไหนว่างก็ไป” พระพูดขึ้นว่า “หลวงพ่ออย่าให้พักกุฏิผมนะ” ก็ยังไม่แน่ว่าใช่ผีหรือไม่ แต่พระปริญญาตรีบอกว่า “ผมไม่เชื่อเลย อาจจะเป็นคนติดยาเสพติดอาจหลอกลวงเรา แล้วขอพักและจะมาลักของเรา” ท่านก็คิดของท่านไกลดี และก็ลองดูก่อน

เขาบอกว่า “ผมขอพักครับอ่อนใจเหลือเกิน หลวงพ่อครับหลวงพ่อทราบไหมครับนักศึกษาจะมาถึงที่นี่เมื่อไร” อาตมาเอาเอกสารมาดู บอกว่า “ห้าโมงเย็น เขาจะมาทานอาหารเย็นที่นี่”

“หลวงพ่อเชื่อผมไหม ต้องมาดึก อย่างน้อยต้อง ๕ ทุ่มทีเดียว หรือ ๓ ทุ่มอาจจะมาไม่ถึง”

“เพราะอะไร”

“เชื่อผมเถอะครับ เขาจะไปดูเขื่อน จังหวัดตาก พานักศึกษาไปเป็นร้อยๆคน กว่าจะมาถึงต้องมืดค่ำครับขอหลวงพ่อกรุณา ได้บอกแม่ครัวด้วย บอกอย่าเพิ่งทำเลย ทำมืดๆเถอะ กับข้าวร้อนๆดี เขาจะได้ทานอร่อยๆ” ผียังรู้ดีกว่าเรา “ถ้าทำตอน ๕ โมง ข้าวปลาบูดหมด หลวงพ่อเชื่อผมเถอะ จะมาดึก เขาจะดูเขื่อน จังหวัดตากกันก่อน”

เขาบอกต่อว่า “เชื่อผมอย่างเดียวหลวงพ่อ ผมแน่นอนกว่าหลวงพ่อ ผมอ่อนใจจัง ผมขอพัก หลวงพ่อจะให้พักที่ไหน” เขาอ่อนใจมาตั้งแต่รถชน

โยมจำไว้ รถชนออกมาแล้วยืน เขาฝึกสติของเขา

เขาบอก “หลวงพ่อครับ ถ้าผมไม่มาฝึกไว้บ้าง ผมคงเลเพเลพาดไปไหนแล้ว ผมตั้งใจเตรียมกระเป๋า เตรียมเครื่องใช้ไม้สอยครบ ในระยะ ๕ วันที่มาอบรม พอสมควรแล้ว ที่ผมมาก่อน เนื่องจากรถชนพร้อมกับกัลยาแฟนของผม ที่ได้ทำงานธุรการที่อำเภอแล้ว กระผมก็สอบบรจุครูได้แล้วที่วิทยาลัยครูเชียงรายครับ ผมขอพัก หลวงพ่อเรียกผมใช้ได้นะครับ จะให้ทำอะไรก็บอกนะครับ”

“เอ้า! งั้นพักตามใจชอบเถอะ ก็ชี้กุฏิไป”

เขาก็กราบ ๓ หน กราบเสร็จแล้ว ก็เอาเป้สะพายเดินออกไป พระปริญญาโทนอนเลย อาตมาก็ต้องนอนบ้าง ดูซิ เดินลอยไปบนพรมเลย เหนือพรม ๑ นิ้ว ไม่ถึงพื้นที่น่าสังเกตคือ ตาคว่ำ แววตาไม่มี สังเกตง่ายๆตาไม่มองตาเรา ยิ้มแห้ง ก้มมองพื้นเรื่อยเลย พอเดินออกไปแล้วพระเกรียวเลย ออกไปก็ไปหายตรงวิหารหลวงพ่อโต

วิหารหลวงพ่อโต เมื่อก่อนยังไม่ได้สร้าง เป็นศาลเทวดาที่ต้นพิกุลโค่นเสร็จแล้วมาชวนแม่ชีสวดมนต์ ต้นสัตบรรณอยู่ตรงนี้ยาว ๒๐ วา หลวงสมานวนกิจ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ มาที่นี่บอก “หลวงพ่อต้นนี้ อายุ ๘๐๐ ปี” ยาว ๒๐ วา อาตมาเห็นว่าต้นพิกุลโค่นล้มไปแล้ว เทวดาหนีไปแล้ว เดี๋ยวเทวดาที่ต้นนี้หนีอีกก็จะโค่นทับโบสถ์พังหมด โบสถ์ไม่พังก็ลงกุฏิอาตมา ไม่กุฏิอาตมาก็หอประชุมพัง เลยก็ต้องโค่นเสีย โค่นแล้วเป็นยังไง โค่นแล้วชาวบ้านก็ขอไม้ไป มีเสียงไปร้องครางที่บ้านเขาต้องเอาไม้มาคืน เป็นที่รู้ทั่วไปของบ้านนี้ เทวดาไปเที่ยวร้องเลยก็ต้องปลูกศาลไว้ให้ อันนี้เรื่องจริง ที่มีมาแล้ว มาเดี๋ยวนี้ก็สร้างเป็นวิหารให้สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่าพรมน้ำมนต์

ผลสุดท้าย พระก็วิ่งตามออกไป เปิดกุฏิดูหมดเลย แม่ชีแตกตื่นไปเปิดดูหมดก็ไม่มี ไม่มีกระเป๋า พระปริญญาตรี โท บอกหลวงพ่อรับกรมมฐานทำยังไง ผียังมา ผมมาอยู่ตั้งหลายวันแล้วยังไม่เอาเหนือใต้ ผมก็สู้ผีไม่ได้ ต้องแข่งกับผี เลยก็รับกรรมฐานปฏิบัติ พอพวกเชียงรายมาก็ทำต่อ

ต่อมาถึงวันที่นักศึกษา วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ พอ ๑๘ นาฬิกา ไฟฟ้าดับหมดเลยที่อื่นไม่ดับ ดับที่วัดอัมพวันที่เดียว ตอนนั้นสุนัขในวัดนี้ไม่มีเลย ไม่รู้มาจากไหน หอนคืนยันรุ่งเลย อาตมาก็ให้พระเอาเทียนไปจุดตามห้องน้ำ ห้องส้วม  ใช้เทียนไข เพราะไฟฟ้าไม่ติด ไม่รู้จะทำอย่างไร นักศึกษามาถึงดึกกว่ากำหนดการ เสียงรถแป๊ดๆๆๆ ตรงตามผีบอกเลย เราทายสู้ผีไม่ได้ เมื่อเข้ามาถึงก็บอกอาบน้ำก่อนเดี๋ยวค่อยทานข้าว เขาบอก “หิวจังเลย” ถ้าหิวก็กินก่อนเอ้า!

เลยก็รับประทานอาหารก่อน เสร็จแล้วก็ปฐมนิเทศ เพราะว่าพรุ่งนี้ ร.ต.ท.ชาญ มนูธรรมจะมาตอนนั้นอธิบดีสมพร เทพสิทธา เป็นประธานสภายุวพุทธฯ มีคุณอำนวย อินทรภูติ มีหลายท่าน พวกนั้นรู้หมดเขาจะมากัน พอดีตอนเช้ารับโทรเลขจากจังหวัดแจ้งความให้ทราบว่า ร.ต.ท.ชาญ มนูธรรมมาไม่ได้ น้ำท่วมกรุงเทพฯ ต้องไปช่วยราษฎร อธิบกีสมพร เทพสิทธา จึงเป็นประธานแทน

พอทานอาหารเสร็จ อาบน้ำเสร็จอาตมาเรียกคณะอาจารย์มา มีอาจารย์สมเด็จ มุงเมือง และอาจารย์หญิงอีก ๓ คน พระปริญญาโทก็อ่านบันทึกที่ได้บันทึกไว้ให้ฟัง คณะอาจารย์ฟังก็น้ำตาร่วงเลยจริงตามนี้ทุกประการ

อาจารย์สมเดชบอก “หลวงพ่อครับ พอเปิดอบรมแล้วผมขอฝากนักศึกษาไว้ ผมจะไปงานฌาปนกิจศพของวิโรจน์ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๒๖ เลยก็ให้เอาบันทึกไปพิมพ์แจกวันในงานศพนั้นด้วย เรารู้เรื่องนี้ขึ้นมาทันทีเลย ไม่ใช่ว่าเขาเล่าให้ฟังก่อนแล้วเราไปเล่าตามเขา มันก็เกิดมหัศจรรย์ ขึ้นมาอย่างนี้”

นี่แหละญาติโยมทั้งหลาย โปรดถามวิทยาลัยครูเชียงราย นี่อาตมาก็บอกเขาไปก่อน บอกไม่ตายตรงโน้นจะไปตายที่เขื่อน ทำให้คณะอบรมมาอบรมไม่ได้ ถ้ามาจมน้ำตาย เลยรถชนตายเสียมันสะดวกดี และเขาได้มาก่อนมาคอยอยู่ที่นี่ ก็มีประโยชน์ดี

เล่าเรื่องวิญญาณรายงานตัว เนื่องจากว่า นายวิโรจน์เขาได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว สติเขาจึงดี อาตมาก็ถามเขาที่เขามานี้ว่า “ปวดมากไหม” เขาบอกว่า “หลวงพ่อ แวบเดียวผมไม่รู้เรื่องเลย และผมก็มายืนอยู่อย่างนี้แหละครับ และไปพูดกับเขาๆก็ไม่พูดด้วย เขาไม่เห็น” อย่าลืมนะคนละภพคนละชาติ  อยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่เรานี่แหละ ที่ว่างๆนั่งกันเต็มหมดแหละ จะรู้เหรอมันคนละภพ ไม่ใช่สวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดิน อาตมาตรวจแล้ว ขุดลงไปแล้ว มีแต่ไส้เดือนกับกิ้งกือ และถ้าหากว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า เมื่อขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ อาตมาพยายามดูเมื่อไปเมืองจีน ดูทางหน้าต่าง ถ้าสวรรค์อยู่บนฟ้า เมื่อเครื่องบินจะตกก็เรื่องเล็ก เราก็อาศัยเทวดานอนสักคืนจะเป็นอะไรไป มันก็ไม่มีนี่ มันมองไม่เห็นนะ

เพราะฉะนั้นนรกสวรรค์ก็อยู่ร่วมกับพวกเรานี่แหละ เราไม่ทราบนะ ญาติโยมโปรดจำไว้ด้วย

การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี่ไม่เฉพาะแต่มนุษย์ ผีก็เจริญได้ ยกตัวอย่างแม่กาหลง มาเจริญกรรมฐานที่วัด เดี๋ยวนี้ยังอยู่ด้วยนะ เขานึกจากคำว่า “เปรต” เป็น “เทพ” ได้ เป็น “เทพธิดา” ได้ทันที ไม่มีการปฏิสนธิอยู่ที่วัดนี้

นี่เรื่องวิญญาณรายงานตัว ทำให้มีพยานหลักฐาน อาตมามีรูปถ่ายดูด้วย ได้ผลเลย ได้สำเร็จญาณ ๑๖ เลย ทำไมถึงรู้ว่าสำเร็จญาณ ๑๖ เขาได้แสดงออกมาอย่างไร ญาติโยมจำไว้ให้ได้ คนที่ได้โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ นี่ จะต้องเป็นรูปนี้เลย จะต้อง…กรรมฐาน  ต้องได้จุดนี้

และไม่ใช่ว่ามนุษย์เราจะมาเจริญกรรมฐานเท่านั้น วิญญาณทั้งหลายก็มาเจริญกรรมฐานได้ เทพยดาเจ้าทั้งหลายก็มาเจริญกรรมฐานได้

บันทึก เพื่อให้วิญญาณรายงานตัว เป็นรายงานการค้นคว้าเรื่องวิญญาณที่สมบูรณ์ จึงนำจดหมายและบันทึกของบุคคลที่สัมผัสกับเหตุการณ์อันอัศจรรย์นี้มาประมวลไว้เป็นหลักฐาน

 

จดหมายจากอาจารย์ สมเดช มุงเมือง

ถึงหลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์

วิทยาลัยครูเชียงราย

อ.เมือง จ.เชียงราย ๕๗๐๐๐

๘ ตุลาคม ๒๕๓๐

กราบนมัสการ หลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง

กระผมมีความยินดีที่หลวงพ่อกรุณาให้กระผมรับใช้เกี่ยวกับการเรียบเรียงประวัติของลูกศิษย์ที่เสียชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่กระผมยังจำได้ดี เนื่องจากมีอัศจรรย์หลายเรื่องอย่างที่หลวงพ่อได้กล่าวไว้ เรื่องราวเกิดขึ้นดังนี้

กระผมกำหนดจะจัดให้มีการอบรมจิตใจของผู้นำนักศึกษาวิทยาลัยครูเชียงราย ในนามของยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ ตุลาคม ๒๕๒๖ รายละเอียดปรากฎตามเอกสารประกอบการอบรมที่ส่งมาด้วย

การอบรมครั้งนี้กระผมได้เชิญนายวิโรจน์ ปัญจบุรี มาเป็นวิทยากรควบคุมดูแลค่ายพัฒนาจิตใจ เนื่องจากนายวิโรจน์ เคยมาอบรมที่วัดอัมพวันแล้ว เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๒๕ และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขาพลศึกษาจากวิทยาลัยครูเชียงรายในปีนั้น สอบเข้ารับราชการครูได้แต่ยังไม่บรรจุ วิโรจน์เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพบกับกระผมทุกครั้งจะกล่าวถึงหลวงพ่อเสมอ

เมื่อผมเชิญเขามาช่วยงานอบรมดังกล่าว เขาก็มีความยินดีมากที่จะได้ร่วมงานและได้มานมัสการหลวงพ่อ ดังจดหมายที่เขาเขียนถึงผมก่อนสิ้นชีวิต

กำหนดเดินทางจากวิทยาลัยครูเชียงราย วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ แต่วิโรจน์กับแฟนสาวเสียชีวิตถูกรถชนเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๖ คืนที่ออกเดินทางจึงพานักศึกษาแวะเคารพศพที่บ้านในเขตเทศบาลเมืองพะเยา (แฟนสาวของวิโรจน์ชื่อนางสาวกัลยา พูลสวัสดิ์ ก็เสียชีวิตในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๖ ตั้งศพที่บ้านในเขตเทศบาลเมืองพะเยา)

การเดินทางในวันนั้นมีฝนตกหนักช่วงก่อนถึงจังหวัดสิงห์บุรี พอมาถึงที่วัดเวลาประมาณสองทุ่ม ไฟฟ้าที่วัดดับมืด นักศึกษาที่เดินทางมาต่างก็เสียใจไปตามๆกัน เมื่อกระผมมากราบนมัสการหลวงพ่อและกราบเรียนเรื่องวิโรจน์กับแฟนสาวเสียชีวิต หลวงพ่อได้บอกว่าวิโรจน์ได้มาล่วงหน้าแล้ว มาที่กุฏิ, อุบาสก อุบาสิกาที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็เห็น เป็นเรื่องอัศจรรย์เรื่องแรก

เมื่อกระผมกลับไปเผาศพของทั้งสองคนในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๒๖ เจ้าภาพได้ฝากเงินมาถวายวัดอัมพวัน ๕๐๐ บาท เหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นอีก ในคืนวันที่ ๒๔ ตุลาคม เวลาประมาณ เที่ยงคืน ขณะที่หลวงพ่อกำลังกล่าวปัจฉิมนิเทศปิดการอบรมและอนุโมทนาแผ่กุศลแก่ภูติผีปีศาจเจ้ากรรมนายเวรและผู้มีพระคุณ ขณะนั้นก็มีเสียงหมาหอน คาดว่าจะห่างจากวัดมาก และเสียงหอนของหมาก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดหมาก็หอนรอบอาคารหอประชุม หลวงพ่อกล่าวว่า “บัดนี้ภูติผีปีศาจทั้งหลายได้มารับส่วนบุญส่วนกุศลแล้ว เขามาอยู่รอบๆหอประชุม วิโรจน์ก็มาด้วย เขายืนอยู่ข้างหลังประตู” เสียงหมาหอนดังมาก ไม่มีใครกล้าหันไปดูทั้งที่ประตูหรือหน้าต่าง เมื่อหลวงพ่อบอกว่า “บัดนี้ภูติผีปีศาจเขากลับไปกันหมดแล้ว” บัดนั้นเสียงหมาหอนก็เงียบลงทันทีราวกับปิดเครื่องเสียง บรรยากาศจึงมีแต่ความเงียบ เหตุการณ์อัศจรรย์เช่นนี้กระผมไม่เคยพบมาก่อน จึงจำได้ดี

พูดถึงอุบัติเหตุที่ทำให้วิโรจน์กับกัลยาต้องเสียชีวิตในคืนวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๖ หลังจากที่ทั้งสองคนไปดูการแข่งขันบาสเก็ตบอลที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งถนนสายนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นป่าละเมาะเปลี่ยวและเป็นเนินเขา วิโรจน์เคยบอกน้องๆว่า กลางคืนอย่าผ่านบริเวณนี้ ไม่ปลอดภัย แต่วิโรจน์กับกัลยาต้องมาเสียชีวิตที่บริเวณนี้ เนื่องจากถูกรถยนต์เป็นรถปิคอั๊พชนด้านหลัง คนขับรถปิคอั๊พเมาสุรา พวกนี้ก็ดื่มเพื่อฉลองสอบไล่เสร็จ เป็นอาจารย์วิทยาลัยเทคนิคพะเยา แต่ไปเรียนในโครงการอบรมครูประจำการที่วิทยาลัยครูเชียงราย คนขับไม่ใช่เจ้าของรถ เจ้าของรถเป็นลูกศิษย์ของกระผมเหมือนกัน บ้านอยู่อำเภอแม่ใจบ้านเดียวกับกระผม เรื่องรถปิคอั๊พคันนี้ก็แปลก คุณพ่อของลูกศิษย์ที่เป็นเจ้าของรถคันนี้ถูกฆ่าตายแล้วเผาพร้อมกับรถคันนี้ในเดือนเมษายน ๒๕๒๘ คุณแม่กินยาฆ่าตัวตายเนื่องจากกลัวความผิดที่จะพาดพิงมาถึง อันนี้เป็นเรื่องของเจ้าของรถปิคอั๊พที่ชนวิโรจน์และกัลยาตาย รถคันนี้ก็ถูกเผาทิ้งไปแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับชู้สาวไม่เกี่ยวกับการตายของวิโรจน์กับกัลยา แต่ก็ไม่ทราบว่ามีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันหรือไม่

การตายของวิโรจน์กับกัลยา หลวงพ่อเคยบอกผมในวันที่เดินทางมาถึงวัดอัมพวัน (๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๖) ว่าที่จริงแล้ววิโรจน์กับกัลยาต้องตายในวันนี้คือวันเดินทาง การตายอาจจะจมน้ำที่จังหวัดตาก ซึ่งวันนั้นกระผมได้พานักศึกษาแวะชมเขื่อนภูมิพลด้วย และจะต้องยุ่งอยู่กับเรื่องศพ การอบรมที่จะเปิดวันรุ่งขึ้นก็จะมีปัญหา แต่ด้วยเหตุที่วิโรจน์กับกัลยาเป็นคนดีไม่ทำความเดือดร้อนให้กับใคร รวมทั้งกระผมด้วย ทั้งสองคนเสียชีวิตก่อนการเดินทาง อันนี้เป็นการบอกเล่าของหลวงพ่อในตอนนั้น

กระผมได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นค่อนข้างยาว แต่ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียบเรียงของหลวงพ่อและเป็นอุทาหรณ์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป รายละเอียดอื่นๆปรากฏในหนังสือทั้งสองเล่มที่กระผมส่งมาพร้อมกันนี้

จึงกราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง ขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบันดาลให้หลวงพ่อมีพลานามัยสมบูรณ์เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดไป

นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
(นายสมเดช มุงเมือง)

 

 

จดหมายจากวิโรจน์ถึงอาจารย์สมเดช มุงเมือง

๙๑/๑ ประตูชัย

๑๒ ต.ค. ๒๖

อาจารย์สมเดชที่เคารพรัก

ผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างมากที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งครั้งแรกผมคิดว่าการกลับมาวิทยาลัยอีกครั้งหลังจากที่จบไปแล้ว คงจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลง แต่การมาเที่ยวของผมครั้งที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าผมยังเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยครูเชียงรายแห่งนี้ ความผูกพันหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมมีต่อมหาวิทยาลัยครูเชียงรายยังฝังแน่นในใจผม และผมหวังไว้ว่าวันสถาปนาปีต่อๆไป ผมจะมาอีก และคงได้รับความอบอุ่นในฐานะศิษย์เก่าของที่นี่อีก (หวังเป็นอย่างยิ่ง)

สำหรับเรื่องไปสิงห์บุรี ผมอยากไปมาก ขณะนี้ผมยังไม่ได้ขอพ่อ คิดว่าใกล้จะไปอีกนิดผมจะขอท่านดู ระยะนี้ผมก็พยายามเร่งอ่านหนังสือสอบม.ส.ธ. ให้ทัน ถ้าทันท่านคงไม่ขัดข้อง ผมจะต้องกลับมาสอบวันที่ ๒๙-๓๐ ตุลานี้ ผมคิดว่าไปชุดนี้ คือ เส่ง ที่อู๋ มาโนช ขวัญยืน นพดล อาจารย์และผมคงม่วนแน่นอนแต่ละคนเหลือร้ายทั้งนั้น ผมอยากไปที่สุดเลย

ผมจะนัดหมายอาจารย์มาอีกทีนะครับ เรื่องกำหนดการไป ซึ่งยังไม่แน่ไว้ขอพ่อก่อน

ฝากความระลึกถึงมายังเส่ง ขวัญยืนด้วยนะครับ

ด้วยความรักและคิดถึง
วิโรจน์ ปัญจบุรี

 

ลีลาชีวิต ความรัก และวาระสุดท้ายของชีวิต

จากการสังเกตการดำเนินชีวิตของวิโรจน์ ในช่วงที่ศึกษาอยู่ในวิทยาลัยครูเชียงราย และหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว วิโรจน์มีลีลาชีวิตที่เรียบง่าย แจ่มใส ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่เคยมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ไม่เคยเสพสิ่งเสพติดให้โทษและของมึนเมา ไม่ลุ่มหลงอบายมุข ไม่เคยทำให้พ่อแม่เดือดร้อนเป็นทุกข์ เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นกัลยาณมิตรต่อทุกคนที่คบหา มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ รักพี่น้อง เคารพนอบน้อม สุภาพต่อครูบาอาจารย์ มีนิสัยรักเด็ก รักความก้าวหน้า ใฝ่รู้ มีบุคลิกภาพเหมาะสมกับความเป็นครูอย่างยิ่ง

ในด้านความรัก

วิโรจน์เคยเล่าให้ฟังว่า รักและสนิทสนมกับกัลยา พูลสวัสดิ์มาตั้งแต่ครั้งยังเรียนชั้นมัธยมศึกษา แม้แยกย้ายกันไปเรียนที่ต่างจังหวัด ทั้งคู่ก็ยังมีความสัมพันธ์กันด้วยดีมาตลอด จนวาระสุดท้าย ทั้งคู่จบชีวิตพร้อมกันด้วยประสบอุบัติเหตุ ยังความโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งแก่พ่อแม่ พี่น้อง ครูอาจารย์ เพื่อนฝูงและญาติสนิท ใครจะคิดว่าวิโรจน์ผู้เป็นกัลยาณมิตรจะจากโลกนี้ไปรวดเร็วอย่างนี้

จากหนังสืออนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ วิโรจน์-กัลยา เชียงราย ๒๓ ตุลาคม ๒๕๒๖