ปาฏิหาริย์คุณยายละม้าย

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

“มีสติตัวเดียวสามารถทำอะไรได้ทั้งหมด”

คุณนายละม้าย เกษแก้ว เป็นคนอ่านหนังสือไม่ออก สามีเป็นทหารอากาศ ชื่อ นาวาอากาศตรีวาท เกษแก้ว เป็นฝ่ายการเงินของกองบิน ๒ โคกกระเทียม ลพบุรี ซึ่งเป็นยุคที่นาวาอากาศเอก (พิเศษ) จรรยา สุคนธทรัพย์ เป็นผู้บังคับการขณะนี้ท่านมียศเป็นพลอากาศเอกไปนานแล้ว

คุณนายละม้ายกับสามี มาเข้าวัดทำบุญที่วัดอัมพวันก็ไม่กี่ปี อาตมาก็ชี้แจงชักจูงให้คุณนายนั่งกรรมฐาน เดินจงกรม-ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เพราะว่าคุณวาทสามีแล้ว แต่คุณนายพอลงมือปฏิบัติก็ทำไม่ได้ ขวาเป็นซ้าย-ซ้ายเป็นขวา พองหนอ-ยุบหนอ ก็กำหนดไม่ได้

อาตมาก็มาคิดหาอุบายที่จะสงเคราะห์คุณนายให้ทำให้ได้ สงสารคนประเภทนี้ อยากจะทำนัก แต่ทำไม่ได้ เดินจงกรมก็เซ

วันหนึ่งแกก็มาที่วัดถามว่า หลวงพ่อมีคาถาไหม ฉันทำกรรมฐานไม่ได้แน่ อยากจะสวดมนต์อาตมาก็เลยบอกว่า โยมจะท่องได้หรือ อ่านหนังสือไม่ออก แกก็บอกว่าฉันจะให้ลูกสอน อาตมานึกได้ข้อหนึ่ง ต้องให้คุณนายสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเพื่อเป็นอุบาย หนักเข้าแม่ละม้ายท่องได้ ลูกสอนวันละตัวสองตัวท่องได้หมด ก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากา (รุณิโก) พอจบแล้วหันมาเอาพุทธคุณอย่างเดียว ให้สวดเท่าอายุเกินกว่า ๑ เกิดยึดมั่นสติดี ก็สวดหนักเข้าทุกวันๆ จนสบายใจ ญาณวิถี เข้าสู่สติสัมปชัญญะ สติมามันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของแกอีก ก็ทำให้เกิดสติดีขึ้น พอสติดีขึ้น แกก้มาเล่าอะไรแปลกๆให้ฟัง บอกว่า ฉันสวดได้หมดแล้ว แล้วมันคล่องแคล่วในใจพอให้เดินจงกรมก็เดินได้เพราะสติดีเสียอย่างแล้วบอกว่าพองพนอ ยุบหนอได้ไหม ก็กำหนดได้อีกเหมือนกัน และคล่องได้จากสวดมนต์ อันนี้เป็นไปได้เหมือนกัน

แล้ววันหนึ่งมาถามอาตมาว่าหลวงพ่อทำอย่างไรจึงรู้ทางในสามีโกหกบ้าง อยากจะจับนัก หลวงพ่อบอกว่ามีสติดีทำอย่างไร? เลยอาตมาก็ใช้อุบายจะบอกตามตรงไม่ได้เธออยากนั่งทางในให้รู้ว่าสามีซื่อสัตย์ต่อฉันไหม มันสังหรณ์ในใจแล้ว ว่าสามีไม่ซื่อตรงต่อภรรยา อาตมาก็บอกว่า สวดใหญ่เลย สวดให้ได้ ๑๐๘ จบ สวดแล้วนั่งสมาธิ พองหนอยุบหนอ ก็พอไปได้ พอสวดและนั่งสมาธิ แบบนี้จิตก็เข้าสู่ภาวะ สติดี นั่นเอง ไม่ใช่สวดพุทธคุณแล้วก็ขลังเสกอะไรได้

ต่อมาวันหนึ่ง นาวาตรีวาท ผู้สามีก็บอกภรรยา ว่าจะไปเก็บค่าเช่านาที่ทางเหนือ แล้วก็หายไปเลย ๓-๔ วัน คุณนายมาที่นี่ถามว่า หลวงพ่อบอกซิว่าจะให้ทำอย่างไร ก็เลยบอกว่า สวดมนต์เข้า แล้วนั่งสมาธิ ก็เกิดขลัง สติเป็นตัวบอก ไม่ใช่ตาทิพย์ไปเห็นที่ไหนหรอก คุณนายละม้ายก็เริ่มเข้านั่งสวดที่ห้องพระ ทีแรกก็สวดเท่าอายุ อายุ ๕๐ กว่าไปแล้ว อาตมาก็บอกว่า โยมเอาอย่างนี้ มีไม่ขีดไหมเอาไม้ขีดมานับเข้า อายุเท่าไหร่ อายุ ๕๕ สวด ๕๖ ถ้าอายุ ๕๘ สวด ๕๙ จบ แต่ให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯให้จบก่อน แกก็ยึดมั่นอยู่ในการสวดอย่างนี้ว่าเป็นได้แน่ต่อไปนี้แกก็ไม่ใช้ไม้ขีด แกก็นึกในใจก็ว่าได้ครบเลย ว่าได้คล่องแคล่วว่องไว และเดินจงกรมได้เอง ไม่ต้องสอนเลย ตอนเราสอนทำไม่ได้ สติไม่ดี ถ้าสติดีแล้วเดินได้เองโดยอัตโนมัติ

ในที่สุดแกก็เล่าว่าวันนั้นสวดมนต์ดึก และนั่งสมาธิหน้าพระแล้วก็นึกในใจ ถามเอง ตอบเอง ถามว่า นายวาทเขาไปไหน” “เขาไปจริงไหมสติบอกว่า ไปที่ไหนเล่ามาที่ท่าวุ้ง เอาเงินให้ผู้หญิงไป ๒๐๐ บาท แล้วกินข้าวบ้านโน้นบ้านนี้สติบอกเป็นช่องไป พอตอนเช้า นาวาตรีมาแล้ว จะรีบไปทำงาน พอแต่งตัวเสร็จ คุณนายละม้ายบอกว่า “นี่คุณมานี่เดี๋ยว ไปไหนมาเมื่อวาน” คุณนายก็เริ่มออกแขกเลย นี่เมื่อวานนี้กินข้างบ้านโน้นใช่ไหม” “แล้วคุณเอาสตางค์ไปให้นังคนนั้นใช่ไหมคุณวาทสามีก็นึกอยู่ในใจ ต้องไปต่อว่าหลวงพ่อวัดอัมพวัน เป็นหมอดูให้ภรรยาจึงบอกได้อย่างนี้

สติที่มันบอกเหตุการณ์ชนิดนี้เรียกว่าปัญญา นี่มันเกิดทั้งทางโลก ทางธรรมาควบคู่กันไป คุณนายละม้ายโดยที่ไม่รู้หนังสือ โดยที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็จริงด้วย พอตอนเย็นนาวาตรีวาท ขับรถมาต่อว่าอาตมาใหญ่ บอกว่าหลวงพ่อไปบอกอะไรกับแม่บ้านผม ว่าผมไปบ้านโน้นบ้านนี้เอาสตางค์ไปให้เขา ผมสงสัยหลวงพ่อแน่นอน อาตมาก็เลยบอกว่า ยังไม่เจอกันเลย ไม่ได้บอกแน่นอน เขาก็เชื่ออาตมาเพราะไม่เคยโกหกใคร แล้วเขาก็กลับไป แล้วก็คิดว่าภรรยาเราไปให้เจ้าเข้าทรงที่ไหนถึงได้รู้เหตุการณ์ได้ชัดเจนอย่างตาเห็น

อีกวันหนึ่งก็บอกกับคุณนาย ผมจะไปเก็บค่าเช่านาคุณนายก็บอกว่า ตามสบาย แล้วเอาเงินมาให้ได้ปรากฏว่าก็ไม่ได้ไปอีก ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปเก็บค่าเช่านา แต่ทีนี้มาถึงท่าวุ้งก็บอกว่าข้าวยังไม่ได้ตวง ไปก็เสียเวลาเลยไปกินข้าวบ้านเก่าอีก เอาเงินไปให้ผู้หญิงอีก เป็นแม่ม้าย แม่ละม้ายก็นั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ก็ถามหน่อยเถอะสติเอ๋ย นายวาทเขาไปไหน” “ไปบ้านเก่าอีกแล้วสติบอกอย่างนั้น แม่ละม้ายรู้หมด พอกลับมายังไม่ทันขึ้นบันได ยังไม่ทันจะแต่งตัวไปทำงาน นี่คุณเอาเงินไปให้เขาอีกแล้ว สามีบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกัน ผมไปทำงานก่อน พอกลับมาแล้วอารมณ์ดีแล้วก็คุยกัน ถามจริงๆเถอะ รู้ได้อย่างไรคุณนายละม้ายด่าเก่งแต่พอเจริญสติแล้วไม่ด่าไม่ว่า แต่พูดในแต่ละคำให้เจ็บในทรวง ให้สามีกลับไปคิดเอาเองบอกว่า พุทธคุณรู้ว่าคุณไปกินข้าวบ้านใคร เอาสตังค์ไปให้แม่ม่าย ชอบเขาหรือไง จะได้ยกให้เลย ดิฉันไม่อยากได้แล้วนาวาตรีก็เลยซึ้งใจว่า อำนาจธรรมะสามารถรู้ได้ละเอียดอย่างนี้ละหนอ เลยทำให้นาวาตรี ละได้ทันทีไม่ไปบ้านผู้หญิงอีกต่อไป

นี่สมาธิเป็นประโยชน์ ไม่ใช่นั่งไปนิพพาน แค่นี้ก็ใช้ได้ คุณนายละม้ายก็เลยเลิกเลี้ยงหมู เลี้ยงวัวก็เลิกหมด ตอนนี้ก็เลยแนะแนวให้ลูกหมดทุกคนว่าคนนั้นคนนี้จะเป็นอะไรในอนาคต สามีไม่ได้จัด สติตัวนี้เป็นผู้จัด และเดี๋ยวนี้ ลูกมีหลักฐานมีงานทำทุกคน และในที่สุดนาวาตรีวาท ก็ปลดเกษียณ ก็มาที่วัดกัน สองคน ตายายมาทำบุญที่นี่ อยู่ลพบุรีแสนจะไกล ก็มาเรื่อยๆ

เหตุที่เกิดขึ้นในเวลากาลต่อมา อันนี้นาวาตรีวาทผู้สามีก็ต้องตายร่วมกับอาตมาเพราะเป็นกฏแห่งกรรมร่วมกัน แต่อาตมาไม่เป็นไร คอหัก ต้องหายใจทางสะดือ อย่างที่ว่าพองหนอยุบหนอหายใจทางสะดือได้ได้แน่ แต่ก่อนนี้อาตมาถ้าเจริญอานาปา ภาวนา “พุทโธ” กำหนด ที่จมูกของเรา ที่เราทำมาเป็นเวลา ๑๐ ๆปี มันก็ตายไปแล้ว ยังมีการระบายลมได้ทางสะดือ โดยกำหนดรู้เหตุการณ์ชีวิตที่อยู่ในครรภ์ของมารดา ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า ปฏิสนธิ อันนี้เป็นหลักความจริงที่ปฏิบัติได้ บางคนก็ไม่ทราบหานใจทางจมูกเสมอ คนที่หายใจไม่ได้ มี ๔ ประเภท

  • ดิ่งพสุธาหายใจไม่ได้จนกว่าร่มจะกางมีมีอากาศหายใจ
  • ดำน้ำหายใจไม่ได้
  • ก็อยู่ในครรภ์ ไม่มีการหายใจทางจมูก แต่มีการสูบลมที่เลือดเลี้ยงร่างกายทางสะดือแน่นอน
  • พระเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วันเลย แต่ในระยะ ๗ วันนี้ระบายลมได้ทางเส้นโลหิตทางขุมขนได้ทั้งหมด อันนี้มันละเอียดอ่อน

สำหรับโยมหายใจ ไม่ใช่หยุดหายใจเลย หัวใจไม่สูบโลหิตตาย นี่เรื่องสมาบัตินี่ หัวใจยังสูบฉีดโลหิตอยู่ แน่นอนบางคนรู้ไม่จริงในหลักนี้ เช่น บอกว่าไม่หายใจเฉยๆ แต่ไม่หายใจทางจมูก มันมีวิธีการที่พิสูจน์ได้จากสติปัฏฐาน ๔ ได้แน่ชัดมาก จากการขอให้ทำได้ให้ถึงขั้นตอนของมัน

นี่กลับย้อนมาถึงคุณนายละม้าย สามีก็สามารถจัดระบบชีวิตของลูกได้ คุณนายละม้ายเป็นผู้จัดเจริญสติปัฏฐาน ๔ ลูกคนนี้สั่งให้เข้าทำงาน ลูกคนนั้นก็ส่งเรียนไป แล้วก็ได้หลักฐานมาตามจริงของคุณนายละม้ายทุกประการ โดยไม่มีความรู้อะไรเลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก เลยสามีก็คล้อยตามภรรยา ภรรยาว่าอย่างไรก็ว่าอย่างงั้นก็เลยเลิกเกเรหมดเลย อันนี้ก็เป็นทางปัญญาสำหรับทุกๆครอบครัว สามารถจะรุ้ทั่วได้ โดยใช้สติ การเจริญพุทธคุณ การสวดมนต์ไหว้พระเป็นภาวนาเบื้องต้น สามารถให้เรามีสติเกี่ยวกับ

พุทธานุสติ มีสติในการเจริญพุทธคุณ

ธัมมานุสติ มีสติในการเจริญธรรมคุณ

สังฆานุสติ มีสติในการเจริญสังฆคุณ

ที่เราสวดมนต์กันนี่มันไม่ค่อยเจริญสติเท่าไหร่ ก็ว่าไปตามที่จะได้ ก็ไม่ซึ้งถึงใจ ขอเล่าต่อไปถึงคุณนายละม้าย แยกมาซื้อบ้านแกก็รู้แนะแนวว่าจะซื้ออะไร ก่อนหลัง โดยไม่รู้หนังสือ ไม่ได้เรียน สติบอกว่าทำอย่างนั้นๆ สามารถทำตามแนวสติปัฏฐาน ๔ แกก็รู้ดีมาเป็นลำดับ ก็ปลูกเรือนไว้ แล้วก็วัวควายไม่มีแล้ว เลิกแล้วลูกก็เข้างานได้ตามลำดับ ได้เป็นทหารบ้าง ตำรวจบ้าง นี่สตินี่มีประโยชน์มากเหลือเกิน

 

คุณนายละม้ายป่วย

ในกาลต่อมา พอลูกเข้างานได้บ้าง เรียนจบหลักสูตรบ้าง ยังเข้างานไม่ได้ คุณนายละม้ายก็เกิดมามีกรรม เป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ อาเจียนเป็นโลหิต ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดตลอดมา หมอบอกตายเดือนนี้แน่ ไม่ต้องผ่าตัด

ฝ่ายคุณนายตั้งใจว่าจะต้องยังกุศลให้ได้อยู่อีก ๓ ปี ให้ลูกเข้างานได้ทั้งหมดแกถึงค่อยตาย แต่ข้อเท็จจริงของนายแพทย์บอกเดือนเดียวดาย ไม่ผ่าตัดก็อาจจะตายเลย คุณนายยังอยู่เรื่อยมาเพราะแกสวดพุทธคุณและตั้งสติในสติปัฏฐาน ๔ ไว้มั่นคงเพราะแกเคยรู้มาแล้วญาณวิถึ โดยสติบอกทุกประการ ตอนนั้นเป็นมะเร็งหนักถ่ายอุจจาระเป็นเลือด มะเร็งเมื่อใกล้จะตายก็ต้องปวดรวดร้าวทั่วสรรพางค์กายแทบจะทนไม่ไหว

คุณนายละม้ายก็ได้ เวทนานุปัสสนา กำหนดเวทนาได้แล้วก็บอกว่าลูกเอ๋ยไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก แม่ยังไม่ตายแน่ต้องให้เจ้าเข้างานได้ก่อนตามแผนการของแม่ ลูกก็เชื่อแม่หมดเพราะทำนายทายทักไว้ถูกต้อง เพราะสติดีบอกได้เป็บช่องเป็นทาง สามีก็ยอมรับมาปฏิบัติ

 

ผึ้งรักษาโรค

ในเวลากาลต่อมาเกิดมีอภินิหาร มีผึ้งมาเกาะที่บ้านรังใหญ่มาก อาตมาเคยไปทำบุญบ้านเขาก็เห็นผึ้ง จนคุณนายพูดอุทานวาจาออกมาดังๆ ซึ่งลูกก็อยู่พร้อมเป็นนายตำรวจก็มี นายทหารก็มี ก็มาอยู่พร้อม เป็นอาจารย์ก็มี แม่จะขออธิษฐานจิตลูกเอ๋ย แม่จะแผ่เมตตมนะลูกนะ ไหนๆแม่ ก็ยังไม่ตายตอนนี้หรอก แต่มันปวดรวดร้าวแทบจะทนไม่ไหว แล้วก็สอนลูกว่าเวทนานี้มันเป็นเวทนาภายนอก แต่มันมีความเจ็บปวดรวดร้าวเข้าไปถึงจิตใจ แต่เราต้องตั้งสติไว้ แม่จะขออโหสิกรรมหมด อย่าได้มีเวรมีกรรมกับใครเขา แกก็สอนลูกไปในตัว อย่าผูกพยาบาทต่อใครเขา เดี๋ยวกรวดน้ำไม่ถึงอุทิศส่วนกุศลให้ไป แล้วก็สอนให้ถูกต้องสำหรับลูกหลาน เพราะสติมันบอก แต่ก่อนนี้ธรรมะแกก็ไม่ค่อยจะรู้อะไร หนังสือแกก็อ่านไม่ออก เลยอธิษฐานดังๆเพราะสติดีแล้ว บอกลูกเอ๋ยแม่จะทำให้ดูนะ เราจะไม่มีเวรกรรมกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราจะไม่เกลียดใคร ไม่ผูกพยาบาทต่อใครบอกลูกเสร็จแล้วตั้งสติอธิษฐานจิตพูดกับผึ้งว่า จงมาช่วยดูดพิษ มะเร็งให้ข้าหน่อยพอคุณนายพูดจบผึ้งฝูงนั้นก็พากันบินมาเกาะที่ท้องดูดพิษมะเร็งให้แล้วก็ร่วงลงมาตายอยู่บนพื้นเรือนเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง

เป็นเวลานานร่วมปี อุจจาระและที่อาเจียนเป็นเลือดหายไป นี่อำนาจของสติปัฏฐาน ๔ ทำให้เกิดเมตตา ถ้าใครเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ขั้น ๑ ไม่ต้องไปพูดเรื่องยา ขั้น ๑ ได้เมื่อไรคนนั้นมีเมตตาสูง เมตตาเกิดเอง ทาน ศีล และภาวนาไม่ต้องไปตักบาตรทำบุญเสียก่อน ไม่ใช่ ถ้าใครเข้าใจเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ อันดับหนึ่งมาแล้ว ทานเกิดเมตตาสงสารสัตว์ สัตว์จะไม่ทำร้าย จะไม่ผูกพยาบาทใครต่อใครอีกแล้ว เกิดเมตตามาอันดับหนึ่ง

 

งูดูดพิษร้าย

วาระที่ ๒ เป็นเรื่องอัศจรรย์สำคัญยิ่ง มีงูเห่าหม้อ เกิดเลื้อยมา ตอนนั้นแม่ละม้ายแกเจ็บหนักปีที่ ๒ ปีที่หนึ่งนี่ผึ้งมาช่วย อำนาจเมตตา อาตมาพิสูจน์ได้ไม่ต้องว่าคาถาเลยขอให้จิตมีเมตตาจริงๆจะแผ่ไปที่ไหน ขอให้ที่นั้นมีเมตตาสัตว์ร้ายในกลางป่า เหมือนอย่างพระธุดงค์เสือจะกินก็ไม่กิน ช้างจะทำลายก็ทำไม่ได้ เพราะอำนาจเมตตาของพระพุทธเจ้ามีอยู่ในจิตใจ คือสตินี่เอง ถ้าหากว่าใครเจริญได้เมตตามาก่อนเป็นอันดับหนึ่งคือทาน เสียสละได้ด้วยความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหาเมตตาที่ไหน มันอยู่ที่จิตใจของเราก็ต้องทำจิตให้เป็นเมตตาด้วย ถ้าจิตเรายังริษยาเขา ว่าคาถาอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ จับจุดได้อย่างนี้

ปีหนึ่งผ่านไป ปีสองเข้ามาแทน ก็อุจจาระเป็นเลือดถ่ายออกมาปวดอย่างหนักก็อยู่ใต้ถุนมีแคร่งูเห่าตัวเท่าแขนเลื้อยผ่านลานบ้านมา ถ้ากัดก็ต้องตายแน่ แม่ละม้ายเห็นเข้าแล้วกำลังสอนลูกที่มาพร้อมกันว่าแม่จะตาย ก็ไปตามพี่น้องมา อีกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ยังเรียนหนังสืออยู่ยังมาไม่ทัน นอกนั้นมาพร้อม แม่ละม้ายก็ตั้งสติบอกลูกเอ๋ยบอกว่าดูสิอุจจาระออกเป็นเลือด อาเจียนออกมาเป็นเลือด ก็กำหนดเวทนาก็แยกออกมาเป็นสัดส่วน ปวดก็ไม่มากนักพอทนได้ แม่จะให้งูมาช่วยดูดพิษแม่ ก็แผ่เมตตา จากอำนาจสติ แผ่เมตตาไปหางู งูเป็นสัตว์เดรัจฉานจะรู้เรื่องอะไร ลูกก็ตกใจว่ามันจะไม่เป็นจริง งูก็ปรี่เข้ามารี่เข้ามาเลย ลูกก็กลัวว่างูจะมากัดแม่ มันก็วิ่งมาพันท้องแล้วแลบลิ้นเลียท้อง เรื่องจริงนะ เลียอยู่สักพักหนึ่งงูนั้นก็คลาย เลื้อยปราดออกไปลานบ้าน งูถึงแก่ความตายก็เอางูไปฝังไว้ เขาสงสัยว่างูนี่คงจะเป็นงูผีลองฝังดู มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์

ในเวลาต่อมา แม่ละม้ายก็หาย อีกปีหนึ่งอุจจาระที่เป็นเลือดหายไป อาตมาก็ไปดูไปเยี่ยม ถามความเป็นอยู่ของแม่ละม้ายดูบอกหลวงพ่ออะไรจะมาปวดในรอบชีวิตที่ฉันเกิดมานี้ไม่มีเลย มะเร็งนี่มันปวดอย่างนี้ปวดจนทนไม่ไหวจนขนหัวลุกเลย งูที่ฝังไว้ เวลาผ่านไป ๓-๔ เดือน เขาก็ลองขุดดู ไม่มีหนังงูเลย ไม่รู้หายไปไหนเขาก็สงสัยว่าเป็นงูผี หรือ งูอะไร อาตมาว่าไม่ใช่ผี งูจริงๆ เพราะมันมาดูดเลือดน้ำเหลืองอะไรต่ออะไรไปหมด กลับกลายว่างูตายเดี๋ยวนั้น อันนี้ลูกเป็นพยานได้และยอมรับและสวดพุทธคุณกันทุกคนตามที่แม่สั่งทุกประการ

 

รู้วันตาย

ปีที่ ๓ พอลูกเรียนจบหมด นี่สามารถอยู่ได้ ๓ ปี ที่หมอบอกว่าเดือนเดียวตายเมื่อปีก่อนโน้น พอลูกเข้างานหมดได้เรียบร้อย เรียกลูกให้บวช บอกว่า แม่จะตายแล้วเดือนหน้านี่แล้ว เดี๋ยวจะไปฝากหลวงพ่อวัดอัมพวัน ฝากศพไว้ที่นี่แกก็เดินทางมา บอกแม่ครัววัดอัมพวันบอกให้ช่วยในงานศพ คนบ้านเหนือบ้านใต้รู้จักกันบอกให้มาทำบุญที่นี่ มาเผาฉันด้วยนะฉันจะตายแล้ว ไม่ต้องแจกการ์ด อาตมาว่าดีไม่เปลืองการ์ด

ก่อนที่จะตาย ก็บอกว่าเอารถไปรับหลวงพ่อมาคุย ๒ คำ ก่อนที่จะมาวัดอัมพวันนี่แกก็สั่งว่าหลวงพ่อให้สัญญาหน่อยได้ไหม ว่าเป็นคนจุดไฟให้หน่อย เผาศพฉัน อาตมาก็ตกลงจะจุดให้ แล้วแกก็สั่งลูกสาวคนที่เป็นอาจารย์บอกว่า เวลาแม่ตายช่วยเอาเหรียญบาทใส่ปากทีแกก็ยังถือเหมือนคนโบราณยังไงต้องใส่ปากให้ได้นะ เพราะแกเชื่อมั่นของแก เหรียญบาทรัชกาลที่ ๕ เป็นเงินคงจะเป็นรางวัลพวกสัปเหร่อที่จะเผาศพ บอกรับปากไดด้ไหม ใกล้จะตายในวันนั้นก็เอารถมารับอาตมาให้ไปเทศนาสอนครั้งสุดท้ายให้ด้วย

วันที่ตายก็ให้ลูกมาบอกทางวัดจัดศาลาขอให้รถรับอาตมาไปหาหน่อย บอกว่ามาไม่ได้กรุณาเมตตาหน่อย ครั้งสุดท้าย พอดีอาตมาออกจากวัดไปก่อนจะต้องไปนครราชสีมา เขาให้ไปบรรยายที่กองทัพภาคที่ ๒ ถึง ๔ วัน อาตมาก็ไปเสียก่อน ลูกมารับก็ไม่พบ ก็กลับไปบอกว่าหลวงพ่อออกจากวัดไปเสียแล้ว ๓ คืนจะกลับ

ท่านไม่น่าออกไปก่อน เอ็งอยากไปช้า เลยตายก่อน ตายในวันนั้น เช้าก็เอาศพมาไว้ศาลาที่จัดเตรียมำว้แล้ว รู้ก่อนตายรู้ว่าวันตายวันไหน ให้ลูกมาสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สอนวิปัสสนาไปจนกระทั่งขาดลมตายไป มีหลายคนเหมือนกัน แล้วจะว่าสติปัฏฐาน ๔ ไร้สาระได้อย่างไร? มันเป็นทางสายเอกแน่ๆ อาตมากลับมาตั้งศพสวดแล้วที่ศาลา

พอคืนที่ ๒ ลูกสาวคนเป็นอาจารย์ ดิ้นจะตายต้องเอาไปโรงพยาบาล พอฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงแม่พูดว่า ทำไมลูกเสียสัจจะสั่งไว้ไม่ทำตามสั่ง บอกให้เอาเหรียญบาทรัชกาลที่ ๕ ใส่ปาก ทำไมไม่เอาใส่ปาก เลยต้องเอาเหรียญมาใส่ปากให้จนได้ ในวันเผาศพอาตมาก็สั่งไว้ อาตมาจะต้องไปบรรยายที่วัดธาตุทองหน้าเมรุ จะกลับมาเผาศพตอนบ่าย ๔ โมงไม่ทัน ให้ทำพิธีไปก่อน ๒ ทุ่มจะจุดไฟตามสัญญาของแม่ละม้าย

สุดท้ายก็คนเต็มวัดไปหมด นางละม้ายที่ไม่รู้ธรรมะอะไร แต่มีธรรมะสติปัฏฐาน ๔ เท่านี้ เดินจงกรมได้หมด แล้วสอนลูกด้วย อาตมากลับจากวัดธาตุทองมันก็มืดมาถึงนี่ ๒ ทุ่ม แขกก็กลับหมดแล้วเหลือแต่ญาติแล้วก็ลูกๆที่จะรอเผาศพ ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ พออาตมามาถึงศพอยู่ที่นเมรุแล้ว สุนัขหอนเป็นชั่วโมง อาตมาก็พูดดังๆว่า แม่ละม้ายมาแล้ว เดี๋ยวเผาให้ เงียบหมาหายหอนเลย พอขึ้นเมรุก็บอกให้ลูกๆ เขามาเข้าแถว กายะกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง ต่อแม่ ขออโหสิกรรมต่อแม่เสีย เดี๋ยวจะเผาแล้ว พอใส่ไฟเข้าสุนัขหอนอีกแล้ว ผลสุดท้ายเจ้าภาพไม่มีใครอยู่สักคนกลับบ้านหมดแล้ว ตอนเช้าจะฉลองธาตุทำบุญหน่อย ไม่มีใครอยู่ตอนเช้า และเวลามาในวัดนี้ใครจะมาผิดช่อง ผิดทางเดี๋ยวแม่ละม้ายบอกเสียงดังฟังชัด

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมของแม่ละม้าย