เพื่อนนักรบพบผลกรรมที่ตามทัน

โดย นาวาเอก (พิเศษ) ไพโรจน์ แก่นสาร

ผู้เขียนมีเพื่อนรักร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ ๙ อยู่คนหนึ่งเป็นทหารบก ชื่อ พิชัย ครุฑเวโช ปัจจุบันมียสเป็นพันเอกพิเศษ ดำรงตำแหน่งเสนาธิการมณฑลทหารบกที่ ๔๒ ค่ายเสนาณรงค์ (คอหงส์) จังหวัดสงขลา หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ แล้ว เราแทบไม่ได้พบกันเลย การเลี้ยงรุ่นสังสรรค์สี่เหล่าแม้จะมีการจัดกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีโอกาสพบปะพูดคุยกันได้ทั่วถึงเท่าใดนัก จนกระทั่งเมื่อปลายปี ๓๘ ที่ผ่านมานี้เองเราทั้งสองได้พบกันโดยบังเอิญที่กรมราชองครักษ์ ภายในเขตพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เนื่องจากเข้าเวรราชองครักษ์ในวันเดียวกัน และทางเจ้าหน้าที่เขาจัดให้พักในห้องเดียวกัน จึงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย ด้วยต่างเป็นคนใฝ่กุศล คุยกันเท่าไรก็ไม่เบื่อ ไม่มีการขัดคอกันเลย วนไปวนมาก็มาเข้าเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องเวรเรื่องกรรม พันเอกพิชัยฯเล่าเรื่องในแนวกฎแห่งกรรมที่เขาประสบด้วยตนเองที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะนำมาเล่าต่ออยู่สองเรื่อง โดยเจ้าตัวยินยอมให้เปิดเผยเรื่องของเขาได้ แต่ดูไม่สู้จะเต็มใจนักที่จะบอกชื่อจริง ด้วยเกรงจะถูกคนที่ไม่เข้าใจครหาว่าเขาอยากเด่นอยากดัง หลังจากชักแม่น้ำหลายสายหว่านล้อมด้วยเหตุผลต่างๆ โดยเฉพาะความประสงค์ของหลวงพ่อที่ต้องการให้เรื่องในแนวกฎแห่งกรรมนี้มีหลักฐานชัดเจน เขาจึงยอมอนุญาติ พร้อมกับเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆให้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างละเอียด ดังจะนำมาถ่ายทอดต่อดังนี้

เรื่องแรกเกิดในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ขณะนั้นพันเอกพิชัยฯ อายุประมาณ ๑๒ ขวบ เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๓ โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เขาเป็นเด็กที่นิสัยซุกซนตามประสาเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ วันหนึ่งเขาแอบขโมยปืนลูกกรดของน้าเอาไปซุ่มยิ่งนกที่เกาะตามสายไฟฟ้า หลังจากการยิงนัดที่สามของเขาปรากฏว่ามีนกเอี้ยงตัวหนึ่งตกลงมา ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย มีรอยถลอกและเลือดไหล เขาเกิดความสงสารจึงหายาแดงมาใส่แผลที่ขานกตัวนั้นแล้วเอาผ้าพันแผลชนิดใสพันขาแล้วปล่อยนกเป็นอิสระไป พร้อมกับตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่คิดทำร้ายสัตว์ใดๆอีก

แม้จะเสียใจได้คิด ก็ไม่อาจหนีการติดตามของกฎแห่งกรรมได้ หลังจากการยิงนกจนขามันบาดเจ็บ ประมาณ ๑ เดือน เด็กชายพิชัยฯ (สมัยนั้น) ได้มีโอกาสชดใช้กรรมอย่างสาสมโดยในวันหนึ่งเขานั่งซ้อนหน้าจักรยานของเพื่อนพี่ชายคนหนึ่งซึ่งขี่เล่นแถวบริเวณข้างทางรถไฟใกล้สถานีสามเสน รถเกิดตกหลุมใหญ่จนล้อหน้าชำรุดเสียหาย ลวดซี่ล้อเส้นหนึ่งแทงทะลุข้อเท้าของเขาบริเวณใกล้ตาตุ่ม เขารู้สึกเจ็บปวดมากเพื่อนพี่ที่ไปด้วยช่วยกันอุ้มเขากลับบ้านมาให้คุณปู่ซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณทำการรักษา ใช้เวลาประมาณ ๑ สัปดาห์จึงหาย ที่น่าคิดก็คือจุดที่เขาถูกซี่ลวดล้อจักรยานแทงทะลุนั้นเป็นบริเวณเดียวกับข้อเท้านกตัวนั้นที่ถูกเขายิง ด้วยปืนลูกกรดเมื่อเดือนก่อน

นับแต่นั้นเป็นต้นมา พันแอกพิชัยฯไม่เคยคิดสร้างบาปสร้างเวรใดๆอีกเลย ทั้งยังทำบุญตักบาตรอยู่เป็นนิจ ปัจจุบันเขารับราชการอยู่ที่จังหวัดสงขลาดังที่เล่าไว้แล้วตอนต้น โดยมิได้นำครอบครัวไปอยู่ด้วย เพราะติดภาระเรื่องหน้าที่การงานของภรรยาและการศึกษาของบุตรทางกรุงเทพฯ ทุกเช้าเขาจะตื่นขึ้นหุงหาอาหารเองเพื่อใส่บาตรเป็นประจำ เขาเป็นผู้ที่มีความขยันขันแข็งและทุ่มเทกายใจให้กับงานในหน้าที่อย่างหาตัวจับได้ยาก มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการมากพอสมควรข้อดีที่เห็นได้ชัดของเขาก็คือการเป็นคนมีสุขภาพจิตดี มีอัธยาศัยไม่ตรีในการสนทนาพาทีใครคุยด้วยจะรู้สึกสบายใจมาก เพราะเขาเป็นคนไม่เครียด ไม่ชอบขัดคอใคร จึงมีแต่เรื่องสดชื่นมาเล่าสู่กันฟัง เล่ามาถึงตอนนี้ คงชวนให้ท่านผู้อ่านคิดไปว่าเรื่องบุญกรรมของพันเอกพิชัยฯ ลงเอยกันไปแล้วใช่ไหมครับ อันที่จริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งน่าตื่นเต้นไม่น้อยเพราะมีความรุนแรงกว่าเรื่องแรกมาก

เหตุการณ์ครั้งหลังนี้เกิดในปลายปี ๒๕๑๗ ขณะที่พันเอกพิชัยฯมียศร้อยโท รับราชการอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีในตำแหน่งผู้บังคับหมวด วันหนึ่งเขาได้รับคำสั่งให้นำกำลังประมาณหนึ่งกองร้อย ขึ้นไปบนภูพานน้อย อ.นาแก จ.นครพนม เพื่อปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่อิทธิพลนั้น กองร้อยของเขาต้องเดินเท้าจาก อ.นาแก เป็นเวลาถึง ๒ วัน ระหว่างทางพบสุนัขชาวบ้านตัวหนึ่งเดินตามกำลังทหารของเขามาด้วย ทหารทุกคนรักมัน และเลี้ยงดูกันตามอัตภาพ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองร้อยไปโดยปริยาย ไปไหนไปด้วยตลอดและมักจะเดินนำหน้าเสียด้วย จนเดินทางถึงที่หมายซึ่งอยู่บนยอดดอยในเวลาต่อมายึดครองพื้นที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่บนนั้น การส่งกำลังบำรุงจากหน่วยแม่ทำได้ทางเดียวคือการหย่อนจากเฮลิคอปเตอร์ช่วงไหนอากาศปิดก็รับเสบียงทางอากาศไม่ได้ ต้องช่วยตัวเองกันไปตามยถากรรม

ต่อมาประมาณวันที่ ๖ มากราคม ๒๕๑๘ สภาพอากาศปิดสนิท เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถนำเสบียงมาส่งได้ตามกำหนด ส่วนที่มีอยู่เริ่มร่อยหรอลงจนเกือบไม่เหลือแล้วทหารต้องประทังชีวิตตนด้วยการนำเอาหยวกกล้วยมาทำอาหารเมื่อทนอดอยากไม่ไหวรองผู้บังคับหมวดจึงขออนุญาตนำทหารจำนวนหนึ่งลงไปยิงวัวไม่มีเจ้าของที่บริเวณเชิงเขา ซึ่งใกล้กับหมู่บ้านที่สืบทราบมาแล้วว่าชาวบ้านเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เกือบทั้งหมด ร้อยโทพิชัยฯในฐานะผู้นำทหารประมาณร้อยคนต้องใช้ความคิดอย่างหนัก เขาอยู่บนทางสองแพร่งที่เลือกเดินยาก ระหว่างความอยู่รอดของผู้ใต้บังคับบัญชากับเรื่อบบาปบุญคุณโทษ เขาใช้เวลาตรึกตรองอยู่นานพอสมควร เพราะเคยตั้งใจมั่นไว้แล้วว่าจะไม่สร้างบาปสร้างเวรอะไรอีก โดยเฉพาะการพรากชีวิตสัตว์ใหญ่เช่นนี้ ลำพังส่วนตัวเขาเองคงไม่ต้องคิดหนัก เขาไม่มีวันมีส่วนร่วมด้วยอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อหวนคิดถึงความอดอยากหิวโหยของทหารทั้งกองร้อย ภัยใกล้ตัวจากฝ่ายตรงข้ามซึ่งต้องการทั้งแรงกายแรงใจที่เข้มแข็งเข้าต่อสู่ สภาพอากาศซึ่งไม่รู้ว่าท้องฟ้าจะเปิดให้เฮลิคอปเตอร์นำเสบียงมาส่งได้เมื่อใด เขาจึงไม่มีเวลาคิดนานนัก

หลังจากต่อสู้กับความว้าวุ่นใจอยู่พักใหญ่ เขาจำต้องตัดสินใจอนุญาตให้รองผู้บังคับหมวดนำกำลังลงไปฆ่าวัวที่เชิงเขา โดยมีข้อแม้ว่าให้จัดคนยิงที่มีความแม่นปืน เพื่อจะได้ไม่ต้องยิงซ้ำหลายนัดให้วัวต้องเจ็บปวดทรมารเกินไป และอนุญาตให้ฆ่าได้เพียงตัวเดียว แล้วชำแหละเนื้อให้เรียบร้อย ก่อนนำขึ้นมาบนดอย รองผู้บังคับหมวดรับคำสั่ง นำกำลังหนึ่งหมู่รบรวม ๙ นายลงไปเชิงเขา คัดเลือกสิบเอกคนหนึ่งเป็นพลแม่นปืนเตรียมทำหน้าที่เพชฌฆาต ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาเสียงปืนก็ดังขึ้น ร้อยโทพิชัยฯ มองเห็นฝูงวัววิ่งแตกตื่นหนีตายด้วยความรู้สึกซึมเสร้าหดหู่ใจ วัวตัวหนึ่งล้มลงทราบภายหลังว่าถูกยิงที่ขาซ้าย อีกราวสองชั่วโมงหลังจากนั้นชุดล่าวัวทั้งหมดกลับขึ้นฐานปฏิบัติการบนดอยด้วยความปลอดภัย พร้อมกับเนื้อวัวสดที่ชำแหละเรียบร้อย ประกอบอาหารเลี้ยงคนทั้งกองร้อยต่อไปได้อีกไม่น้อยกว่าสองวัน โชคดีที่ไม่ต้องทำบาปซ้ำอีก เพราะวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าเปิด เฮลิคปเตอร์สามารถนำเสบียงมาส่งได้ตามปกติ

ต่อมาในคืนวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๑๘ ผู้ก่อการร้ายได้เข้าโจมตีกองร้อยของเขา โดยยิงปืนขึ้นมาบนฐานที่มั่นจากทางทิศตะวันตก เขาสั่งให้ยิงโต้ตอบกลับไป ประมาณ ๑๐ นาทีเสียงปืนจึงสงบลง เช้าวันรุ่งขึ้น (๑๒ มกราคม ๒๕๑๘) กำลังทหารส่วนหนึ่งของเขาจำเป็นต้องลงไปเอาน้ำที่บริเวณเชิงเขา เขาทราบดีว่าการที่ฝ่ายตรงข้ามยิงปืนมาจากทางทิศตะวันตกในคืนที่ผ่านมานั้นน่าจะเป็นกลลวง โดยผู้ก่อการร้ายมักจะแอบลอบวางกับระเบิดไว้ทางด้านตรงกันข้าม (ตะวันออก) ของฐานปฏิบัติการของกองร้อยเขา เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเพื่อเป็นขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ร้อยโทพิชัยฯจึงเป็นผู้นำกำลังประมาณ ๑๐ นาย ลงไปเอาน้ำด้วยตนเอง โดยเดินนำหน้าพร้อมกับสุนัขประจำกองร้อยที่ติดสอยห้อยตามกันมาเขาแต่งกายชุดพร้อมรบมีปืนเอ็ม ๑๖ เป็นอาวุธ ขณะเดินลงเขามีอยู่สองครั้งที่เขาเสียหลักเพราะเหยียบก้อนหินพลาดแต่ไม่ถึงกับล้ม คล้ายจะเป็นลางบอกเหตุร้ายเหมือนกัน เขาเองรู้สึกว้าวุ่นใจไม่เป็นเช่นปกติ ทั้งที่ความเป็นทหารอาชีพของเขาได้สอนเขาตลอดมาไม่ให้ไหวหวั่นกับสถานการณ์ใดๆโดยเฉพาะเมื่อต้องนำกำลังทหารเข้าฝ่าฟันอันตราย แต่ในครั้งนั้นเขากลับรำพึงในใจว่า “เราจะได้เดินกลับขึ้นดอยอีกหรือไม่หนอ”

เหลือระยะอีกประมาณ ๑๒๐ เมตร ก่อนถึงเชิงเขาเจ้าสุนัขเพื่อนยามยากตัวนั้นนึกอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ ออกวิ่งนำหน้าไปยังบ่อน้ำ มันอยู่ห่างจากหน้าขบวนในราว ๑๐-๒๐ เมตร เห็นจะได้ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นบริเวณที่สุนัขวิ่งผ่าน ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ร่างของมันแหลกเหลวไปในพริบตา ร้อยโทพิชัยฯยกปืนเอ็ม ๑๖ ขึ้นประทับยิงไปข้างหน้าด้วยความเคยชิน ขณะเดียวกันกับที่นายสิบและพลทหารที่เดินตามหลังติดกับเขาก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจว่าถูกสะเก็ดระเบิด แถวทหารหยุดเดินโดยอัตโนมัติ ทุกคนลงนั่นยองๆ แต่ไม่แตกแถว ปืนทุกกระบอกถูกประทับเล็งไปในทิศทางต่างๆ รอบแถวทหารที่นั่งอยู่ เขาสั่งให้นายสิบเสนารักษ์ที่อยู่ท้ายแถวขึ้นมาปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บทั้งสองราย พร้อมกับนึกฉงนใจว่าสะเก็ดระเบิดผ่านเขาซึ่งอยู่หน้าสุดไปถูกนายสิบและพลทหารที่อยู่ข้างหลังเขาได้อย่างไรแต่ครั้นก้มมองดูขาตัวเองก็พบว่า ขากางเกงด้านซ้ายแดงฉานไปด้วยเลือดตั้งแต่บริเวณโคนขาลงไป มีรูฉีกขาด ๒-๓ แห่งแต่ยังหาแผลที่ขาตัวเองไม่พบ พยายามจะฉีกรอยขาดบนขากางเกงให้กว้างขึ้นแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจใช้ดาบปลายปืนตัดขากางเกงจนขาดและเห็นชัดเจนว่ามีแผลเป็นรูลึก ๓ แห่งบนขาซ้ายของตน สองแห่งแรกอยู่บริเวณต้นขาแนวเฉียงขึ้นโดยไม่ผ่านกระดูก อีกแผลหนึ่งอยู่ที่ข้อเท้าซ้ายใกล้ตาตุ่มมีสะเก็ดระเบิดฝังอยู่ ขณะนั้นยังอยู่ในอาการชาจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ร้อยโทพิชัยฯเรียกนายสิบพยาบาลมาทำแผลพร้อมกับส่งวิทยุขอเฮลิคอปเตอร์มารับคนเจ็บบอนยอดเขาขณะเดียวกันก็สั่งให้ทหารทำแคร่หามผู้บาดเจ็บทั้งหมดกลับฐานที่ตั้ง

ประมาณสองชั่วโมงต่อมาเฮบิคอปเตอร์ก็เดินทางมาถึงฐานบนยอดดอยภูพานน้อย นำคนเจ็บทั้งสามส่งโรงพยาบาลสนามในจังหวัดสกลนครภายในครึ่งชั่วโมง พลตรีเปรม ติณสูลานนท์ (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ ๒ ท่านได้กรุณามารับคนเจ็บด้วยตนเองถึงเฮลิคอปเตอร์ พร้อมทั้งคล้องเหรียญพิทักษ์เสรีชนให้กับผู้กล้าหาญทั้งสามท่านทั้งที่ยังนอนอยู่บนเปลหามคนป่วย ช่วยให้ทุกคนมีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม ลืมคิดเรื่องเจ็บเรื่องตายกันไปทีเดียว

ข้อที่นับว่าน่าวิเคราะห์วิจัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ในแง่กฏแห่งกรรม มีอยู่หลายประการที่น่าทึ่งมากก็คือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสามคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าวัวเมื่อ ๕-๖ วันก่อน (๖ มกราคม ๒๕๑๘) กล่าวคือ ร้อยโทพิชัยฯเป็นผู้สั่งฆ่าสิบเอกคนที่อยู่ถัดจากเขาเป็นนักแม่นปืนผู้ลงมือฆ่า พลทหารคนถัดไปเป็นเพียงผู้เดียวที่รับภาระในการชำแหละเอาชิ้นส่วนต่างๆของวัวมาเป็นอาหารกันตายของคนทั้งกองร้อย สำหรับลักษณะการบาดเจ็บของแต่ละคนสรุปได้ว่า ร้อยโทพิชัยณโดนสะเก็ดระเบิดเป็นคนแรกที่โคนขาซ้ายเฉียงเข้าแนวท้อง แถมยังถูกสะเก็ดระเบิดอีกชิ้นหนึ่งฝังบริเวณข้อเท้าใกล้ตาตุ่ม ต้องผ่าตัดคว้านกระดูกในภายหลังจึงนำเศษเหล็กออกได้ สะเก็ดระเบิดชิ้นแรกที่เข้าโคนขาของร้อยโทพิชัยฯ ผ่านเลยมาเข้าท้องสิบเอกนักแม่นปืน แล้วทะลุไปถูกศีรษะของพลทหารที่ชำแหละวัว นับได้ว่าสะเก็ดระเบิดชิ้นเดียวลงโทษคนทั้งสามคน…เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าวันตัวนั้นเท่านั้น… โดยร้อยโทพิชัยฯผู้สั่งการโดนหนักกว่าคนอื่นเพราะได้ของแถมฝังในอีกหนึ่งชิ้นที่บริเวณข้อเท้า ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ได้รับโทษานุโทษหนักเบาลดหลั่นกันลงไปตามความผิด นี่แหละสมกับคำที่หลวงพ่อจรัญพร่ำบอกพวกเราอยู่เสมอว่า เหนือฟ้าแม้จะมีฟ้า แต่ไม่มีอะไรอยู่เหนือกฏแห่งกรรมไปได้นี่ขนาดทำด้วยความจำใจเพราะจำเป็น มิได้มีเจตนาจะก่อกรรมทำเข็ญด้วยความคึกคะนองหรือสนองกิเลสตัณหาของตนแต่ประการใด ข้อน่าคิดอีกประการหนึ่งก็คือการที่สุนัขตัวนั้นออกวิ่งแซงหน้าเข้ารับเคราะห์แทนทหาร คล้ายจะเป็นการทดแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูกันมา โดยเฉพาะกับร้อยโทพิชัยฯซึ่งเดินนำแถวอยู่ ถ้าหากเขาเป็นคนเหยียบกับระเบิดเองแล้ว คงจะไม่เหลือชีวิตมาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เราฟังแน่

อันที่จริงแล้วเรื่องของพันเอกพิชัย ครุฑเวโช เพื่อนรักนักรบของกระผมผู้พบกฎแห่งกรรมตามทันอย่างรวดเร็วดังที่เล่ามานี้ น่าจะจบการเล่าลงได้ไว้เพียงนี้นะครับ แต่นึกเสียดายที่ยังมีเกร็ดชวนเล่าต่ออีกเล็กน้อย ถึงกฎแห่งกรรมที่ยังไม่สิ้นของเขา อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เดียวกันนั้นคือตอนที่เขาถูกหามจากเฮลิคอปเตอร์เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลสนาม ณ จังหวัดสกลนครนั้น แพทย์สนามบอกเขาด้วยน้ำเสียงผิดหวังระคนความเสียใจว่า “ยาชาหมด” ขอไปแล้วยังไม่ได้รับเพิ่มเติม ทั้งสามคนจึงถูกเย็บแผลสดๆกันโดยทั่วหน้า คงเหมือนกับวัวตัวนั้นที่โดนชำแหละสดๆ นั่นแหละ เพื่อนพิชัยของกระผมบอกว่ามันเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวแสนทรมานมากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยพบพานมานอนกัดฟันบิดตัวไปมาโดยไม่กล้าร้องเพราะกลัวเสียฟอร์ม ที่สำคัญก็คือ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ ซึ่งดำรงยศพลตรี ในตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ ๒ ในขณะนั้นกำลังปลอบขวัญพวกเขาด้วยการลูบศีรษะคนเจ็บอยู่เกือบตลอดเวลา ทั้งซาบซึ้งตรึงใจในความเมตตาปรานีของท่านทั้งไว้ศักดิ์ในฐานะผู้นำทหารกว่าร้อยนาย ทำให้จำต้องกล้ำกลืนเสียงครวญครางจากความเจ็บปวดรวดร้าวไว้ภายใน

วันรุ่งขึ้นร้อยโทพิชัยฯ ถูกนำส่งโรงพยาบาลทหารในจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดที่ข้อเท้าออก ใช้เวลาพักฟื้นหลังจากนั้นอีกประมาณ ๓ เดือนจึงหายเกือบปกติ โชคดีที่ไม่ถึงขั้นพิกลพิการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเพื่อนของกระผมเล่าว่า เขาสาปส่งการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะทำเองหรือสั่งให้ผู้อื่นทำแทนไม่เอาด้วยทั้งนั้น มุ่งแต่ประกอบกุศลกรรม ตักบาตรทุกเช้า ทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอยู่เป็นนิจ ไม่ใส่ใจว่าเขาจะเป็นใครและจะได้อะไรตอบแทนหรือไม่ ทุกวันพระ พันเอกพิชัยฯมักจะถือศีลแปดพร้อมทั้งทำวัตรเช้าเย็น และสวดมนต์มาโดยตลอด ต่อเนื่องกันมาเกือบสิบปีแล้ว ทั้งยังตั้งปณิธานไว้ว่าจะยึดถือแนวทางปฏิบัตินี้ตลอดไป

สุดท้ายนี้กระผมในฐานะผู้เก็บเรื่องของเพื่อนรักมาเล่าต่อ ขอขอบพระคุณ พันเอก (พิเศษ) พิชัย ครุฑเวโช เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ ๔๒ ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ที่เพื่อนกรุณาอนุญาตให้นำเรื่องราวต่างๆ โดยละเอียดมาลงพิมพ์ในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๐ นี้ ทั้งที่ไม่สู้จะเต็มใจนักในเบื้องต้นที่จะให้ระบุชื่อจริง ด้วยเกรงผู้ที่ไม่เข้าใจจะหาว่าเขาอยากเด่นอยากดัง แต่ด้วยเหตุผลแวดล้อมต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อกระผมอ้างนโยบายของหลวงพ่อจรัญว่า ต้องการเน้นความน่าเชื่อถือของเรื่องราวต่างๆ ที่นำมาลงพิมพ์ในหนังสือชุดนี้ ทุกเรื่องควรมีหลักฐานและที่มาอย่างชัดเจน ประกอบกับความเชื่อร่วมกันที่ว่า ผู้ที่สนใจอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้ มักเป็นผู้ที่มีจิตใจใฝ่กุศลและมองคนในแง่ดี คงไม่มีผลสะท้อนในทางลบกลับไปสู่เขาอย่างแน่นอนกระผลเชื่อมั่นว่าด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและส่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บารมีของหลวงพ่อจรัญ ที่เพื่อนผู้นี้ของกระผมเคารพศรัทธา รวมทั้งอานิสงส์แห่งกุศลกรรมทั้งหลายที่เขาได้เพียรสร้างอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลานับสิบปีที่ผ่านมาจะร่วมกันเป็นพลวปัจจัยดลบันดาลให้ พันเอก (พิเศษ) พิชัย ครุฑเวโช ตลอดจนครอบครัวและญาติมิตร ประสบแต่ความสุขมั่นคงรุ่งเรืองในพุทธธรรมสัมมาปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาอันพึงมีพึงได้ทุกประการตลอดไป