หลวงพ่อผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ลูก

โดย สมพร แมลงภู่
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ
สถาบันราชภัฏนครศรีอยุธยา)
๑๖ เมษายน ๒๕๓๙

บทนำ

ข้อความที่บันทึกต่อไปนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้าที่เกิดจากการได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรรมฐานกับหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะตน ขอให้ท่านผู้มีสติปัญญาพิจารณาเอาเอง เพราะไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ข้าพเจ้าผู้มีความรู้น้อยไม่มีเจตนาอวดอุตริมนุสสธรรม แต่มีเจตนาจะบันทึกไว้เพื่อเป็นเครื่องบูชากพระคุณของหลวงพ่อ ที่ได้เมตตาช่วยให้ชีวิตหนึ่งได้อยู่สร้างความดีในโลกมนุษย์นี้ต่อไป โดยไม่ต้องไปเกิดใหม่ให้เสียเวลาพัฒนาการอีกหลายปีข้าพเจ้าขอน้อมกราบนมัสการบูชาพระคุณของหลวงพ่อพร้อมเครื่องสักการะนี้ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่มีจิตเป็นกุศล คุณแม่เคยนั่งวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่ยังเป็นสาว คุณพ่อมีความรู้ทางธรรมจากการได้บวชเรียนตามวิสัยของลูกผู้ชายสมัยเก่า และได้มีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อคำ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่ออายุครบ ๗๐ ปี ทั้งคุณพ่อและคุณแม่สวดมนต์เก่งมาก ท่านทั้งสองแผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าเสมอ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้พักอยู่กับท่าน มีโอกาสไปเยี่ยมท่านในเวลาที่หยุดงานเท่านั้น

ข้าพเจ้ามีความเจริญรุ่งเรื่องในการศึกษา และการปฏิบัติหน้าที่ราชการ มีความพอใจและมีความสุขกับงานที่ทำ แต่ข้าพเจ้ามีคำถาม ถามตนเองอยู่ประการหนึ่งว่า

พระนิพพานคืออะไร และจะไปพระนิพพานได้อย่างไร

เมื่อมีโอกาสไปตามวัดต่างๆก็จะเข้าไปกราบนมัสการถามพระคุณเจ้าทั้งหลายด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่อวดดีแต่ประการใดก็ได้รับคำตอบมาตามที่ท่านทราบแต่ข้าพเจ้ายังมองไม่เห็นทางอาศัยการอ่านหนังสือของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ (สวนโมกขพลาราม)ทำให้พอมีความรู้ประดับสติปัญญาบ้าง

จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ อาจารย์สุวภา ทศสิน และ อาจาย์มาลา วิรุณานนท์ ได้มาชวนข้าพเจ้าไป เรียนพระอภิธรรมมัตถสังคหะ มีทั้งหมด ๙ ปริจเฉท ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน และวิปัสสนากรรมฐาน ข้าพเจ้าจึงได้ทราบความหมายของพระนิพพานและมองเป็นทางที่จะดำเนินไปสู่พระนิพพานได้ มีความซาบซึ้งในปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ที่รู้แจ้งเห็นจริงน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

 

พบอุปัชชฌาย์อาจารย์

เมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาพระอภิธรรมจบพอสังเขปแล้วทราบถึงวิธีที่จะดำเนินไปสู่พระนิพพาน แต่ข้าพเจ้ามีความรู้เพียงปริยัติ ด้านปฏิบัติข้าพเจ้ายังไม่เคยได้สัมผัสเลย เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจว่า เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกมนุษย์นี้จะไม่พอเพียงต่อการปฏิบัติ เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานจึงตัดสินใจไม่ศึกษาพระอภิธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งต่อไปอีก ทั้งๆที่ข้าพเจ้าเองก็มีความสนใจอยู่มาก และตั้งจิตอธิษฐานขอให้พบครูอาจาย์ที่สามารถสอนวิปัสสนากรรมฐานให้ข้าพเจ้าบรรลุมรรคผลนิพพานได้

พอดีกับท่านอาจารย์ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ได้ชวนข้าพเจ้า และเพื่อนๆ มาวัดอัมพวัน ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๔ ข้าพเจ้ารู้สึกศรัทธาหลวงพ่อที่พูดถึงการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นทางไปสู่มรรค ผล นิพพาน จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและจะมาปฏิบัติในช่วงปิดภาคเรียน

วันที่มาวัดเพื่อปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรกตรงกับวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เพื่อนอาจารย์มาส่งหลายคน แต่ไม่พบหลวงพ่อ จึงได้กลับไปก่อน หลวงพ่อสั่งคนทางวัดให้บอกข้าพเจ้าเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ท่านกลับมาแล้วจะสอนกรรมฐานให้

วันนั้นหลวงพ่อกลับมาถึงวัดเที่ยงคืนพอดี ท่านให้ข้าพเจ้ารับศีล ๘ สมาทานพระกรรฐานและสอนวิธีปฏิบัติด้วยองค์หลวงพ่อเอง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน และการกำหนดทางอายตนะต่างๆ ข้าพเจ้ามีความประทับใจในการสอนของท่านมาก โดยเฉพาะการสอนเดินจงกรม ท่านเดินออกหน้าและให้ข้าพเจ้ามองเห็นการเคลื่อนไหวของขา และเท้าทั้งสองข้างในขณะที่เดินจงกรม

ท่านสอนนานเป็นชั่วโมงกว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามได้เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเดินจงกรม ต้องหัดยืนขาเดียวบนลำแข้งของตนเองให้ได้ ต่อจากนั้นท่านให้กลับไปปฏิบัติเองที่กุฏิกรรมฐาน วันนั้นมีข้าพเจ้ามาขอปฏิบัติธรรมเพียงคนเดียววันรุ่งขึ้นจึงมีลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดพระนอนจักรสีห์มาอีก ๑ คน รวมเป็น ๒ คน พักคนละกุฏิ

ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติมากเพราะหลวงพ่อเรียกสอบอารมณ์วันเว้นวัน เกรงว่าจะไม่มีอารมณ์มาส่งท่าน บางวันไม่มีอารมณ์ส่งท่านจริงๆ นึกว่าจะถูกดุแน่ แต่ท่านมีเมตตาเล่านิทานให้ฟังท่านเล่าถึงนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เคยเป็นคนปลูกหัวผักกาดขาย แต่เพราะมีสัจจะจึงทำให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเรียกชื่อท่านว่านายกรัฐมนตรีหัวผักกาด

ข้าพเจ้าได้รับการปลูกฝังเรื่องสัจจะมาตั้งแต่ต้น จนบัดนี้ หลวงพ่อก็ยังคงสอนเรื่องสัจจะ ท่านถือว่าสัจจะเป็นเรื่องสำคัญมากในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุมรรคผล

วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบสรีระของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสมากราบท่านขณะมีชีวิตอยู่ แต่เคยอ่านหนังสือของหลวงปู่เรื่อง จิต คือ พุทธะ เมื่อทราบท่านเรียนร้อยแล้วออกมาขึ้นรถที่หน้าวัด

ข้าพเจ้านั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนรถ ฉับพลันปรากฏเป็นร่างหลวงปู่ดุลย์ลอยมากนั่งอยู่บนอากาศตรงหน้าของข้าพเจ้าต่อจากนั้นปรากฏร่างของหลวงปู่แหวนลอยมานั่งคู่กัน ข้าพเจ้าก็ตั้งสติกำหนด เห็นหนอๆๆ พระภิกษุที่ลอยมาองค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อจรัญ องค์ที่ ๔ คือ หลวงปู่เทสก์ ท่านนั้งเรียงกันเป็นแถวทั้ง ๔ องค์

ต่อจากนั้นเห็นตัวข้าพเจ้าอยู่ในชุดขาว เดินเข่าประคองผ้าไตรไว้แนบอก เข้าไปหาอุปัชฌาย์เพื่อขออุปสมบท ข้าพเจ้าก็ตั้งสิตกำหนดเห็นหนอๆๆ และดูต่อไปว่าจะเข้าไปหาพระภิกษุรูปใด ปรากฏว่าข้าพเจ้าในชุดขาวเดินเข่าไปหาหลวงพ่อจรัญ ซึ่งนั่งอยู่องค์ที่ ๓ จากนั้นก็เห็นตัวเองห่มผ้าเหลืองเป็นพระภิกษุสงฆ์ แล้วหมุนตัวให้ดู และเห็นผ้าสีขาว และผ้าสีแดงซ้อนอยู่ภายในจีวร แลบออกมาให้เห็นเล็กน้อย แล้วภาพนั้นก็หายไป

ข้าพเจ้าเข้าใจทันที่ว่าหลวงปู่ดุลย์ท่านเมตตาบอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า มีใครบ้างที่เป็นครูอาจารย์สมควรจะระลึกถึงข้าพเจ้าเกือบสายเกินไปในโลกมนุษย์นี้ ได้พบหลวงปู่ดุลย์เมื่อท่านละสังขารไปแล้ว ได้พบหลวงปู่แหวนเมื่อท่านชราภาพมากแล้ว และนอนป่วยที่โรงพยาบาล โชคดีที่ทันหลวงพ่อจริญได้เมตตาอบรมสั่งสอน (ถ้าหลวงพ่อไม่กลับมาหลังจากคอหัก วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ก็คงไม่ได้พบท่าน) ได้มีโอกาสทำบุญ ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เทสก์บ้างเล็กน้อย แต่ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า เรานี้เป็นศิษย์มีครู และเมื่อทำความดีสิ่งใดจะน้อมถวายกุศลแด่ผู้มีพระคุณทั้ง ๔ ท่านนี้เสมอ

 

ได้รับความคุ้มครอง

ผลจากการที่ข้าพเจ้าได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องสัจจะอยู่เป็นประจำ ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนจริง ทำอะไรทำจริงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็ปฏิบัติจริง บางครั้งทำให้สมาธิล้ำหน้าสติมากเกินไป ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านอนกำหนด พองหนอ ยุบหนอ จนหลับไปนั้น มีความรู้สึกว่าต้วเองลอยสูงขึ้นข้างบน จะกลับก็กลับไม่ได้ แต่จะน้อมจิตไปดูที่ไหนได้ ข้าพเจ้าไม่อยากดู เพราะกลัวว่าจะไม่ได้กลับ จิตนึกถึงหลวงพ่อจรัญขอให้ช่วยลูกด้วย

ฉับพลันก็ปรากฏองค์หลวงพ่อครองกาสาวพัสตร์คาดอกอย่างเรียบร้อย มาขวางหน้าข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเหมือนตกลงมาจากที่สูงจนหูอื้อทั้งสองข้าง ลอยลิ่วๆลงมากระแทกกับร่างที่นอนอยู่ มีความรู้สึกที่ท้องพองยุบพอดี พอข้าพเจ้าจับพองยุบได้ก็ไม่ยอมให้จิตห่างจากพองยุบเลยกลัวว่าจะหลุดออกไปอีก และกำหนดไปจนกระทั่งลุกขึ้นทำกิจวัตรตามปกติ

 

การปฏิบัติธรรม

 ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยกำหนดสิตปัฏฐาน ๔ เป็นการกำหนดสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามอายตนะต่าง ๆ ทั่ง ๔ ฐาน คือฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต และ ฐานธรรม ต้องมีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ และมีสัจจะ จึงจะทำให้เกิดความอดทนในทุกขเวทนาต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้นทำให้จิตไม่ซัดส่าย ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย เมื่อทุกขเวทนาเกิด เป็นผลทำให้จิตมีสมาธิ เกิดปัญญา และเกิดความสงบในที่สุด

เมื่อศึกษาตามปริยัติดูเหมือนว่าการปฏิบัตินี้ง่ายเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ง่ายเลย เพราะคนเราโดยทั่วไปมีความเพียรน้อย ขาดความอดทน พ่ายแพ้ต่อมารที่มาขัดขวางบางคนก็มีกรรมมาตัดรอน ทำให้การปฏิบัติเสียกลางคัน

ข้าพเจ้าเองเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการปฏิบัติธรรมมาก ต้องอาศัยอุบายต่างๆ มากล่อมเกลาจิตให้อดทน นึกถึงว่าเป็นการสร้างความดีเพื่อใช้หนี้เขา เพราะเราไม่ทราบว่าได้ทำกรรมอะไรไว้ เมื่อยังไม่ทราบต้นเหตุของความทุกข์ ก็จะแผ่เมตตาให้ทั่วๆไป แต่ถ้าทราบสาเหตุแล้ว สามารถแผ่เจาะจงให้เจ้ากรรมนายเวรได้ทนที ทำให้กรรมนั้นสามารถอโหสิกรรมได้โดยเร็ว กรรมที่ได้รับการอโหสิแล้วจะดับสนิทไม่โผล่ออกมารบกวนให้ทุกข์กายทุกข์ใจอีกเลย

 วันที่ ๑๙-๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๖ หลวงพ่อจัดโครงการอบรมเป็นหมู่คณะเป็นครั้งแรก โดยเชิญอาจารย์จากวิทยาลัยครู ทั่วประเทศ อนุศาสนาจารย์ ทหาร ตำรวจ และบุคคลทั่วไปเข้ารับการอบรม ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมครั้งนี้ด้วยหลวงพ่อเมตตาให้การอบรมอย่างใกล้ชิด ท่านลงมาสอน ตอบข้อซักถาม และเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ฟังทุกวันตลอดการอบรมทั้ง ๗ วัน

ข้าเจ้าปฏิบัติธรรมด้วยความลำบากมาก รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก และร้อนระอุ ทุรนทุราย ทั้งๆที่นั่งอยู่ใต้พัดลม พอหายใจได้สักครั้งก็รู้สึกโล่ง และสัมผัสกับความเย็นจากพัดลมได้ หลวงพ่อท่านให้สติว่า

“อาจารย์สมพร ต้องสู้นะ ต้องอดทนนะ

ขนาดข้าศึกตั้ง ๕๐ คน ยังเคยสู้ได้เลย”

ข้าพเจ้าไม่เข้าในประโยคท้ายของหลวงพ่อ แต่ก็น้อมรับคำสอนมาปฏิบัติเพื่อใช้เตือนสติ

จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำหนดเวทนาอยู่นั้น ได้เห็นอีกมิติหนึ่งเป็นท้องทุ่ง มีการรบติดพันกัน แลเห็นข้าพเจ้าคนเดียว กำลังสู้รบกับข้าศึกกลุ่มหนึ่งประมาณ ๕๐ คน และเห็นหลวงพ่อเป็นทหาร ถือมีดดาบยาวรบอยู่อีกทางหนึ่ง แต่ค่อยๆรบถอยร่นมาอย่างรวดเร็วจนสามารถกันข้าพเจ้าออกจากสนามรบได้

เหตุการณ์ครั้งนั้นฝังใจข้าพเจ้าให้สำนึกในพระคุณของหลวงพ่อข้ามชาติมาจนบัดนี้ และยังผนวกกับพระคุณในชาตินี้อีก ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความกตัญญูต่อหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่งหากมีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณ ข้าพเจ้าจะรีบทำทันที

 

ใช้กรรมชาติปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ข้าพเจ้ามีอาการปวดศรีษะตลอดเวลาปวดตามเส้นประสาททั้งหมด ทั้งบริเวณขมับ ตลอดจนถึงรากฟัน รับประทานยาแก้ปวดก็ระงับได้ชั่วคราว ทาน้ำมันหม่องทำให้เปลี่ยนอารมณ์ชั่วครู่ จากปวด เป็นร้อน แล้วก็เย็น และกลับปวดเหมือนเดิมอีก ข้าพเจ้าจึงมีความคิดที่จะพึ่งตนเองโดยการตั้งสติกำหนดรู้ทุกขเวทนาไว้ ต้องอดทนอย่างที่สุดหน้าตาดำคร่ำเครียดเพราะขาดการพักผ่อน ผู้ที่พบเห็นได้แต่ซุบซิบกันว่า ปฏิบัติธรรมอย่างไรหน้าตาไม่ผ่องใสเลยสงสัยว่าจะปฏิบัติผิดทางเสียแล้วกระมัง

เช้ามืดวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านั่งเจริญกรรมฐานอยู่นั้นได้เห็นนิมิตเป็นฝูงสุนัขนับสิบตัว พอข้าพเจ้าเห็นก็จำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กข้าพเจ้าเคยใช้ไม้ตีสุนัขฝูงนี้ที่บริเวณศรีษะเนื่องจากแย่งอาหารกัน ทั้งๆที่ข้าพเจ้าได้แบ่งอาหารให้ได้กินกันครบทุกตัว ข้าพเจ้าทำกรรมไว้กับฝูงสุนัขเหล่านี้ โดยไม่ทราบเลยว่าเป็นบาปเป็นกรรม

เมื่อข้าพเจ้าทราบเหตุทำให้ข้าพเจ้าปวดศรีษะเช่นนี้แล้ว ทำให้มีกำลังใจ และมั่นใจที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่สุนัขเหล่านี้ ผลจากการกระทำดังกล่าวสุนัขฝูงนั้นได้ปรากฏให้เห็นขณะที่แผ่เมตตาทุกครั้ง แต่จำนวนของสุนัขลดลงไปเรื่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจ มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น

ในที่สุดข้าพเจ้าได้แผ่เมตตาให้กับสุนัขตัวสุดท้ายที่มากับสุนัขตัวนั้นด้วย ข้าพเจ้าจึงได้กลับมาเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสได้อีกวาระหนึ่ง

 

ใช้กรรมข้ามชาติ

ข้าพเจ้ามีจิตฝักใฝ่ในการปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด แต่งานราชการไม่เคยบกพร่อง และดูเหมือนว่าจะทำงานได้มากกว่าก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรมเสียอีก เพราะทำงานด้วยความมีสติ มีจิตจดจ่ออยู่กับงาน และมีพลังที่เกิดจากการปฏิบัติ ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย ทำงานได้ตลอดเวลา ข้าพเจ้ามีความสุขกับสภาพที่เป็นอยู่ ทั่งทางโลกและทางธรรม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง ข้าพเจ้ามีความสุขอยู่ได้ไม่นานเท่าไร ก็ต้องมาเสวยวิบากจากกรรมในอดีตชาติทั้งที่ข้าพเจ้าเองก็ยังระลึกไม่ได้

ในปลายเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๓๐ ข้าพเจ้าปวดที่บริเวณโคนขาต่อกับสะโพกด้านขวา ปวดมากจนเดินไม่ได้ต้องคลาน มีผู้มาเยี่ยมมากแต่ข้าพเจ้าส่งจิตออกนอกตัวไม่ได้เลยต้องตั้งสติไว้ตลอดเวลา เขาคุยกันสนุกสนานข้าพเจ้าก็ทราบแต่เราต้องสู้กับความปวด ความทรมานของร่างกายภายในจิตจึงไม่ออกมารับอารมณ์ภายนอก การปวดครั้งนี้ ปวดมากกว่าครั้งที่เคยปวดศีรษะ แต่อาศัยการตั้งสติกำหนดหนดกรรมฐานจึงทำให้ไม่ขาดใจตามไปเสียก่อน

มีท่านผู้รู้บอกว่าข้าพเจ้าป่วยมากแต่ยังไม่ถึงตายให้ตั้งจิตอธิษฐานทำบุญ ๔,๐๐๐ บาท ถ้าไม่หายให้เพิ่มเป็น ๔๐,๐๐๐ บาท และให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลหลวง ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานจิตขอนำเงินเข้ามูลนิธิของวัดอัมพวัน จำนวน ๔,๐๐๐ บาท พอจบคำอธิษฐานปรากฏว่า มีพลังสีดำลอยขึ้นมาจากบริเวณโคนขาขวาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็หายปวดทันที สักพักหนึ่งพลังสีดำนั้นก็ลอยลงมาอยู่ที่บริเวณเดิมอีก ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าอาการที่ป่วยอยู่ไม่ได้เกิดจากความเสื่อมของร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นมากเกี่ยวข้องด้วย จึงมีกำลังใจปฏิบัติธรรมและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเป็นประจำ

ข้าพเจ้าได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลภูมิพลอยู่หลายเดือน จนอาการทุเลาลงมาก จึงได้เดินทางมาวัดอัมพวันโดยความอนุเคาราะห์ของอาจารย์ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร เพื่อถวายปัจจัยเข้ามูลนิธิของวัดตามที่ได้อธิษฐานไว้ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑

อยู่ต่อมาอีกสัปดาห์เศษ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ในขณะที่เดินทางจากบ้านพักซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันกับที่ทำงาน ไปดูความเรียบร้อยที่โรงเรียนสาธิตฯก่อน แล้วไปลงชื่อทำงานทีหลัง รถจักรยานของข้าพเจ้าได้ชนกับรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ข้าพเจ้าตกจากรถ ก้นด้านขวากระแทกกับพื้นถนน มีความรู้สึกว่าถนนแข็งมาก ท่านอาจารย์สง่า อุปถัมภ์ เข้ามาจะฉุดให้ข้าพเจ้าลุกขึ้น แต่ข้าพเจ้าลุกไม่ได้จึงได้นั่งอยู่เฉยๆ พอดีมีรถเก๋งแล่นมาจอดและมีคนมา อุ้มข้าพเจ้าเข้าไปนอนในรถ เพื่อนำส่งโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา

ข้าพเจ้านอนหลับตากำหนดกรรมฐานตลอดเวาลา ไม่พูดกับใครเลย แต่ก็รับรู้ทุกอย่าง ทางห้องฉุกเฉินได้รักษาตามขั้นตอนจนกระทั่งส่งข้าพเจ้าขึ้นห้องพักผู้ป่วยต่อไป ต่อจากนั้นข้าพเจ้ากลายเป็นคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะกระดูกสันหลังยุบ ลุกนั่งไม่ได้ ต้องอยู่ในอิริยาบถนอนหงายแต่เพียงอย่างเดียว ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนอื่นแทบไม่ได้ เพราะจะกระเทือนถึงกระดูกสันหลังทั้งๆที่เป็นปกติดีทุกอย่าง รู้สึกสงสารตนเองเป็นที่สุด ต้องกลับกลายมาเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง

ผศ.กรีสุดา เฑียรทอง ได้ป้อนอาหารมื้อแรกให้ อาจารย์มาลา วิรุณานนท์ เป็นผู้ที่เฝ้าอย่างใกล้ชิด และติดต่อประสานงานทุกอย่างทั้งทางบ้านของข้าพเจ้าและโรงพยาบาล ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความสะดวกไปทุกด้าน

ท่านอาจารย์ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ได้กรุณาขับรถมาวัดอัมพวันเพื่อจะถวายรายงานหลวงพ่อเกี่ยวกับเคราะห์กรรมที่ข้าพเจ้าได้รับ ทั้งๆที่ขณะนั้นท่านอาจารย์ได้ลาออกจากราชการไปแล้ว เมื่อมาถึงวัดอัมพวัน ปรากฎว่าหลวงพ่อนั่งคอยอยู่พอดี และบอกว่า

“กำลังคอยอยู่ ดร.ไม่มาสักที่ วันนี้มีงาน ๓ งาน ต้องบอกงดไป เพราะทราบล่วงหน้าแล้วว่าอาจารย์สมพรจะต้องประสบเคราะห์กรรมในวันนี้ เนื่องจากรรมตามมาทันพอดีแต่ก็ช่วยให้ไม่ต้องไปโดนรถชนข้างนอกที่มีรถพลุกพล่านและมีผู้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที”

ในตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อได้ไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลพร้อมกับ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร และแม่ชีสะอาด ทองคำเจริญ ข้าพเจ้าตื้นตันใจเป็นที่สุด จนสุดที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ หลวงพ่อบอกว่า “ร้องไห้ทำไม เรื่องขี้ผง”

ท่านพูดแล้วก็หยิบขวดน้ำมันมนต์จากย่าม ส่งให้แม่ชีสะอาด เป็นคนทาที่กระดูกสันหลังของข้าพเจ้า ท่านต้องบอกตำแหน่งให้ทา เพราะแม่ชีสะอาดทาไม่ถูก เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีรอยฟกช้ำดำเขียว ไม่มีบาดแผลแต่ประการใด

ท่านให้น้ำมันมนต์ขวดนั้นไว้สำหรับทา และรับประทานวันละ ๑ ช้อนชาก่อนนอน ให้หยอดลงคอไปแลยไม่ให้ถูกลิ้นท่านเมตตาสอนวิธีรับประทานน้ำมันมนต์อย่างละเอียด เพราะท่านทราบดีว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ศรัทธาเรื่องน้ำมันมนต์เลย ที่ข้าพเจ้าเคยนำมาจากวัดเนื่องจากคุณแม่ของข้าพเจ้าขอร้องให้นำไปให้เท่านั้น

ข้าพเจ้านอนเป็นเด็กอยู่ที่โรงพยาบาล ๒ สัปดาห์ ทางโรงพยาบาลให้กลับบ้านได้ เพราะไม่ต้องรักษาอะไร เพียงแต่รอให้กระดูกงอกมาต่อกันเองเท่านั้น ข้าพเจ้านึกถึงผู้ป่วยที่ต้องนอนท่าเดียวนานๆ ผลข้างเคียงตามมาคือเป็นแผล ยากแก่การรักษา และจะออกจากโรงพยาบาลต้องนอนเปล ขอรถโรงพยาบาลไปส่ง ติดต่อขอพยาบาลคุมรถ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกเท่าไรก็ยังไม่ทราบ นึกแล้วก็ลำบากใจเหลือเกิน

พอดีคุณหมอ นพ.ประสงค์ โอนพรัตน์พิบูลย์ มาเยี่ยมไข้ในตอนเช้า ได้นำเสื้อเกราะมาให้ข้าพเจ้าลองใส่ และบอกว่ามีอยู่เพียงตัวเดียว เป็นตัวเล็กไม่มีใครใส่ได้ ปรากฏว่าข้าพเจ้าใส่ได้พอดี คุณหมอให้ลุกเดินได้เลย สิ่งที่ปริวิตกทั้งหลายหายไปหมดสิ้น

วันนั้นในตอนสายท่านอาจารย์ดาวเรือง เรืองมณี ไปเยี่ยม เลยได้โอกาสรับข้าพเจ้าออกจากโรงพยาบาล ข้าพเจ้าเดินไปขึ้นรถเหมือนคนปกติ ไม่ยุ่งยากลำบากอย่างที่คิดไว้แต่ประการใด ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้ายังไม่ได้เข้าโรงพยาบาลอีกเลย

สิ่งที่เหลือเชื่อที่เกิดกับข้าพเจ้านี้ คงไม่ใช่เกิดจากเหตุบังเอิญ หรือบุญของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะบุญบารมีของหลวงพ่อที่แผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าไม่ต้องลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่ทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน

เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ค้างอยู่เสร็จทันปิดภาคเรียนพอดีทั้งๆที่ป่วย แต่ข้าพเจ้าใส่เสื้อเกราะแล้วเหมือนคนไม่ป่วย เพียงแต่ว่าหยิบของหนักไม่ได้เท่านั้น การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถช้าเหมือนเก็กหัดเดิน ถ้าเป็นคนที่เคยเอาแต่ใจตนเองจะทนสภาพนี้ไม่ได้

แต่ข้าพเจ้ากลับมองเห็นเป็นกรรมฐานไปหมด สภาวะเหมือนกันทุกประการ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ หยิบหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอ ดื่มหนอ นึกถึงคุณของการที่ได้เคยปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นึกถึงพระคุณของหลวงพ่อที่ได้เมตตาสั่งสอนให้จิตเกาะอยู่กับพระกรรมฐาน จึงทำให้ข้าพเจ้าทนได้และยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าต้องเป็นอัมพาตอย่างแน่นอน เพราะกระดูกสันหลังเคลื่อนเนื่องจากอิริยาบถไม่เสมอกัน

หลังจากป่วยได้ ๑ เดือน ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ได้พาข้าพเจ้ามีที่วัดอัมพวันเพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านมองมาที่ข้าพเจ้าด้วยสาตาที่บ่งบอกถึงความสงสารเป็นที่สุด จนทำให้ข้าพเจ้าคิดในใจว่า “ตัวเราน่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่หลังหัก แต่ไม่ปวดสักนิดเดียวมีแต่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น”

ท่านได้ชวนข้าพเจ้ามาพักที่วัดหลังจากปิดภาพเรียนแล้วข้าพเจ้ายังไม่รับปากท่าน เพราะตั้งใจจะไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก่อน มาอยู่วัดขณะที่ช่วยตัวเองไม่ได้ก็ลำบาก

ก่อนที่ท่านจะขึ้นกุฏิชั้นบน ท่านได้พูดอีกว่า ข้าพเจ้าจะต้องรับกรรมหนักอีก ดร.กิ่งแก้วยังเมตตาเบี่ยงเบนคำถามว่า “เป็นคนในครอบครัวของอาจารย์สมพร ใช่ไหมคะหลวงพ่อ”

ท่านบอกว่า “ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เป็นตัวอาจารย์สมพรเอง” ทุกคนฟังแล้วก็สงสารข้าพเจ้าไปตามๆกัน

ในวันนั้นระหว่างที่คอยหลวงพ่อลงมาโปรด ได้มีโอกาสสนทนากับผู้ใหญ่ช่วย พลอยโพธิ์ อยู่ที่จังหวัดลพบุรี ท่านมานมัสการหลวงพ่อพอดี ช่วงหนึ่งของการสนทนาท่านบอกว่า

“อาจารย์โชคดีมาก ที่หลวงพ่อรับรักษาให้ ผมเคยพาลูกบ้านคนหนึ่งตกจากหลังคาลงมากระแทกพื้น กระดูกสันหลังโค้งงอ ดิ้นร้องโอยๆ เพราะปวดมาก พอหามเข้ามาภายในกุฏิของหลวงพ่อ อาการปวดหายเป็นปลิดทิ้งไปเลยหลวงพ่อท่านเก่งเรื่องนี้มาก”

ข้าพเจ้าฟังแล้วจึงนำได้ว่าตัวเองหลังหักแต่ไม่เคยเจ็บปวดเลย เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อที่ช่วยข้าพเจ้าแน่ๆ ถ้าผู้ใหญ่ช่วย พลอยโพธิ์ไม่พูดแล้ว ข้าพเจ้าคงโง่คิดไปอีกนานว่าหลังหักไม่มีอาการเจ็บปวดแต่ประการใด แต่หลวงพ่อไม่เคยพูดถึงเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้เลย และท่านคงจะพิจารณาแล้วว่าถ้าข้าพเจ้าต้องมาทุกข์ทรมานเพราะปวดที่กระดูกอีก คงจะทนไม่ได้ และขาดใจตายอย่างแน่นอน

 

กรรมซ้ำเติม

ในกลางเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าได้มาพักที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ทุกคนช่วยเหลือข้าพเจ้าเป็นอย่างดี เพราะข้าพเจ้ายังช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ จึงได้เห็นว่าความรับผิดชอบของเราสูงมาก ทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง เมื่อป่วยแล้วต้องอาศัยคนทำแทน ไม่น้อยกว่า ๕ คน นึกถึงคุณค่าของชีวิตที่มีอยู่แล้วภูมิใจมาก

มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าแขนข้างซ้ายชา ไม่มีความรู้สึกทั้งแขน จึงขอร้องให้คุณแม่ช่วยบีบแขนให้ ก็ยังไม่มีความรู้สึก คุณแม่ได้ทาน้ำมันมนต์ของหลวงพอที่ให้ไว้ และนวดแขนให้ข้าพเจ้า ปรากฏว่าเลือดได้วิ่งไปเลี้ยงลำแขน และเลยไปถึงปลายนิ้ว จนรู้สึกแปล๊บๆ ไปทั้งมือ สักพักหนึ่งความรู้สึกที่แขนก็เป็นปกติ

อาการที่เกิดขึ้นนี้เป็นอาการของอัมพาต ถ้าแก้ไขไม่ทันข้าพเจ้าต้องเป็นอัมพาตที่แขนข้างซ้าย ขณะที่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ข้าพเจ้าขาดน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อไม่ได้เสียแล้ว นอกจากจะรับประทานทุกวัน ยังช่วยยามคับขันเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย

ต่อจากนั้นมาข้าพเจ้าก็คอยนวดจับเส้นที่ตึง เป็นการรักษาด้วยตนเอง ไม่ต้องรบกวนคนรอบข้างมากนัก วันหนึ่งก็พบว่า บริเวณใต้แขนเยื้องไปทางหน้าอกข้างซ้าย มีเนื้อผิดปกติเป็นแผ่นแข็งติดกับกระดูก และมีเป็นก้อนแข็งเคลื่อนที่ได้แต่ไม่อาการเจ็บปวดแต่ประการใด พี่สาวของข้าพเจ้าได้พาไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๓๑ เมื่อคุณหมอตรวจแล้วก็นัดข้าพเจ้าไปผ่าตัด ในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๑

 

นิมิตเตือนความตาย

เมื่อกลับจากโรงพยาบาลรามาธิบดีแล้ว ข้าพเจ้ามีความกังวลเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่อยากไปวัด ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะอยู่บ้านจนถึงสงกรานต์ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑ จึงจะมาอยู่ที่วัด ระหว่างอยู่ที่บ้านมีนิมิตเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้ามากมาย เป็นนิมิตเกี่ยวกับการเผชิญภัยในอีกมิติหนึ่ง จะขอยกตัวอย่างบางเรื่องพอเป็นอุทาหรณ์ ดังนี้

คืนวันหนึ่งข้าพเจ้ารู้สึกไปว่า ตัวข้าพเจ้าเองนั่งประนมมืออยู่บนรถในขบวนแห่ มีผู้คนมากมายทั้งในขบวนแห่ และสองข้างทาง ข้าพเจ้าได้ยินเขาประกาศชื่อ ซึ่งไม่ใช่ชื่อข้าพเจ้าแต่คล้ายกัน มีความรู้สึกตัวว่าไม่ใช่เรา จึงกระโดดออกมาจากขบวนแห่ มีเทพธิดาองค์หนึ่งเข้ามาบอกข้าพเจ้าว่าให้รีบหนีมีคนมาตามจับตัว พอพูดขาดคำ ข้าพเจ้ายังไม่ทันหนี ก็ถูกจับตัวเสียก่อนพร้อมกับเทพธิดาองค์นั้น

ต่อจากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าได้นั่งอยู่กลางเรือลำเล็กๆมีคนพายหัวและท้าย เรือแล่นอยู่กลางสระบัวหลวง ซึ่งออกดอกบานสะพรั่ง ทำให้ข้าพเจ้าระลึกได้ว่า เคยบูชาพระด้วยดอกบัวและเคยปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงละวางอารมณ์จากภาพนอกมากำหนดรู้ พองหนอ ยุบหนอ ที่หน้าท้อง

กำหนดเพียงไม่กี่ครั้งปรากฏว่ามีแสงสว่างสีขาวนวลออกมาจากหน้าอกของข้าพเจ้า คนที่พายเรือทั้งสองเห็นแสงสว่างก็ตกใจ ทิ้งพาย และบอกว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมได้สูงกว่าพวกเขาอีก และแสงสว่างสีขาวนวลเหมือนกับของหลวงปู่เทสก์เลยต่อจากนั้นข้าพเจ้ากลับมามีความรู้สึกที่ท้องพองยุบ ที่นอนกำหนดจนหลับไป ข้าพเจ้ากลับมาสู่ร่างได้ด้วยอำนาจบุญกุศลจากการบูชาพระ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และบุญบารมีของครูอาจารย์โดยแท้

ในตอนกลางวันวันหนึ่งขณะที่นอนพักอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นซองจดหมายลอยมา เป็นลายมือของหลวงพ่อ จ่าหน้าซองถึงตัวของท่านเองว่า

พระครูภาวนาวิสุทธิ์
วัดอัมพวัน
สิงห์บุรี

แลเห็นจดหมายเขียนด้วยหมีกสีดำ มีใจความว่า

นมัสการท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์

ได้จัดเตรียมยาไว้ให้ อาจารย์สมพร แมลงภู่ เรียบร้อยแล้ว นิมนต์ท่านไปรับได้
ข้าพเจ้าก็แปลกใจว่าทำไมเห็นไปอย่างนั้น ทำให้ใจไม่ดีอยากมาวัดโดยเร็ว จึงเปลี่ยนจากวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑ มาเป็นวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๓๑ ซึ่งตรงกับวันพระพอดี

เมื่อข้าพเจ้ากลับจากวัดไปบ้านในปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๑ คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ในคืนวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๓๑ คุณแม่เปิดประตูออกไปทำธุระนอกบ้าน เสร็จธุระแล้วเปิดประตูเข้าบ้าน พอจะปิดประตู ก็มีแรงดึงประตูออกไป คุณแม่ก็ดึงประตูเข้ามา แต่แรงดึงข้างนอกมากกว่าคุณคุณแม่จึงปล่อยประตู

เมื่อประตูเปิดกว้างออกไป คุณแม่เห็นยมทูตเดินเข้ามาในบ้าน เข้าไปมองในมุ้งที่กางอยู่ข้างนอกห้อง และเข้าห้องต่างๆ จนถึงห้องนอนของข้าพเจ้า ออกจากห้องแล้วเดินออกไปทางหน้าต่างซึ่งเปิดอยู่

ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็ยกมือขึ้นสาธุ นึกถึงพระคุณของหลวงพ่อที่แผ่เมตตาให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจไปวัดก่อนวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑ มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าคงไม่มีโอกาสได้อยู่ในโลกมนุษย์นี้อีกต่อไป

 

สร้างบุญกุศลเพิ่ม

เมื่อมาอยู่วัดข้าพเจ้าได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลทั้งๆที่ยังป่วยอยู่ เปลี่ยนพฤติกรรมจากนอนพัก มาเป็นนั่งเขียนหนังสือนอนฟังเทปเพื่อคัดเลือกเทปมาถอดคำบรรยายนำลงหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติเล่ม ๒ ตอนหัวค่ำและกลางคืนจะปฏิบัติกรรมฐาน

หลวงพ่อได้ให้ข้าพเจ้ารับประทานน้ำมันมนต์ และฟ้าทะลายโจร เช้า ๕ เม็ด เย็น ๕ เม็ด หมุนแขนวันละ ๑๐๐ ครั้ง หลังตื่นนอนตอนเช้า กว่าข้าพเจ้าจะหมุนครบต้องให้เวลาถึง ๒ ชั่วโมง หลวงพ่อเมตตาแสดงการหมุนให้ดู โดยชูแขนทั้งสองข้างเหนือศรีษะ กำมือแล้วค่อยๆหมุนไปข้างหลังจนครบวงจร ถือว่าหมุนได้ ๑ ครั้ง ท่านบอกว่าวิธีนี้ท่านใช้มาได้ผลตอนท่านคอหัก และขาหัก ใครจะนำไปใช้ก็ได้

กิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้าคือ ตอนกลางวันทำงานหัวค่ำเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ตื่นนอนตี ๒ หมุนแขน ๑๐๐ ครั้งเสร็จตี ๔ เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ถึง ๖ โมงเช้า พักหลังสักเล็กน้อยแล้วจึงออกไปรับประทานอาหารร่วมกับแม่ใหญ่ (แม่สุ่ม ทองยิ่ง) และ คุณน้าฉ่ำชื่น แสงฉาย ท่านทั้งสองดูแลข้าพเจ้าเป็นอย่างดี และเมตตาตอบคำถามของข้าพเจ้าทุกวัน เนื่องจากข้าพเจ้าได้พบสภาวะต่างๆ รวมทั้งนิมิตมากมาย ท่านทั้งสองเป็นผู้ผ่านมาก่อนจึงไขข้องใจของข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดียิ่ง ใคร่ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้

 

บันทึกหลักฐาน

ในระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่วัด ในวันพระข้าพเจ้าจะหยุดงานทั้งหมด ให้เวลากับการปฏิบัติเพียงอย่างเดียว ทั้งกลางวันและกลางคืน ตามตารางการปฏิบัติธรรมของวัดร่วมกับผู้ที่มาปฏิบัติซึ่งมีมากนัก

ระหว่างที่ปฏิบัติอยู่นั่นมีความรู้สึกว่า มีผู้มาถ่ายรูปทุกอิริยาบถของข้าพเจ้า ทั้งขณะที่เดิน ยืน นั่ง เมื่อเริ่มต้นเปลี่ยนอิริยาบถก็จะถูกบันทึกภาพไว้ทุกครั้ง

เมื่อหมดแวลาปฏิบัติแล้ว ได้ถามผู้ที่อยู่บริเวณนั้นว่ามีใครมาถ่ายรูปหรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีใครมาถ่ายเลยและคนที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกันก็บอกว่าไม่เห็นใครมาถ่าย

ข้าพเจ้าจึงรับรู้ว่า ที่รู้สึกเหมือนมีผู้บันทึกภาพการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าไว้นี้ เป็นอีกมิติหนึ่งที่บันทึกความดีของข้าพเจ้าที่ได้กระทำแล้ว และได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเพื่อใช้อ้างอิงว่า ข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการพิจาณาให้อยู่ในโลกมนุษย์ได้ต่อไปหรือไม่

 

หลวงพ่อรักษาโรค

หลวงพ่อนอกจากจะมีเมตตาให้รับประทานน้ำมันมนต์และยาฟ้าทะลายโจรรักษาโรคแล้ว ข้าพเจ้ายังทราบด้วยตนเองอีกว่า ขณะที่ข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานในตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด ท่านจะส่งพลังจิตมารักษาโรคด้วย โดยสัมผัสพลังอุ่นได้บริเวณที่ป่วย ในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน มีอะไรเกิดขึ้นก็กำหนด จิตเป็นกุศลตลอดเวลาการปฏิบัติจึงสามารถทราบได้

ข้าพเจ้าอยู่วัดนานถึง ๗ สัปดาห์ หลวงพ่อบอกให้ถอดเสื้อเกราะออกได้ ข้าพเจ้ายังไม่กล้าถอดนึกในใจว่าอยากไปเอ็กซเรย์ดูก่อน ท่านบอกว่า กระดูกงอกออกมาติดกันแล้วไม่ต้องไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลหรอก หลวงพ่อเอ็กซเรย์ให้แล้ว และเนื้อที่เป็นก้อนแข็งก็สลายเป็นเนื้อปกติหมดแล้ว แต่ยังมีการอักเสบอยู่บ้าง ท่านบอกว่า ฟ้าทะลายโจรนี้ดี สามารถรักษาการอักเสบในน้ำเหลืองได้ ข้าพเจ้ารับประทานน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อและฟ้าทะลายโจรลงไปเรื่อยๆ ท่านจึงบอกให้หยุดรับประทานได้

ข้าพเจ้าไม่ได้ไปผ่าตัดตามที่หมอนัด พี่สาวของข้าพเจ้าจะมารับตัวไปก่อนถึงวันผ่าตัด แต่ข้าพเจ้าหาหลวงพ่อไม่พบผู้ใหญ่ในวัดบอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่อนุญาติอย่าเพิ่งออกจากวัดไปนะ ข้าพเจ้าจึงตัวสินใจไม่ไปผ่าตัด

ต่อมาภายหลังท่านบอกข้าพเจ้าว่า ถ้าไปผ่าตัดป่านี้ก็คงเป็นขี้เถ้าไปแล้ว เพราะการอักเสบที่หน้าอกเป็นอาการป่วยขั้นสุดท้ายมีโอกาสหายน้อยมาก เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแต่ที่ข้าพเจ้ารอดมาได้เพราะมีจิตเป็นกุศล

 

ระลึกกรรม

เมื่อพักรักษาตัวอยู่ที่วัด หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วจะมีเวลาพักผ่อนสักระยะหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านอนหลับตา กำหนดพอหนอ ยุบหนอ ไปด้วยเห็นนิมิตเป็นบริเวณท้องทุ่งมีบึงใหญ่ มีชายคนหนึ่งนุ่งกางเกงขาก๊วย ใส่เสื้อม่อฮ่อม มีผ้าขาวม้าคาดอยู่บนศรีษะกำลังก้มสุ่มปลา

ข้าพเจ้าตั้งสติกำหนดเห็นหนอๆๆ ก็เห็นเขาหันหน้ามาข้างหลังมามองข้าพเจ้าพอดีด้วยแววตาที่อาฆาต ชายผู้นี้ถูกสับหลังด้วยขวาน และมีมีดปักอยู่ที่บริเวณโคนขาด้านขวาต่อกับสะโพก ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกันกับที่ข้าพเจ้ากระดูกสันหลังยุบและปวดที่โคนขาพอดี

ข้าพเจ้ารู้แก่ใจว่า ท่านผู้นี้เองที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร อันเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องรับทุกข์ทรมารอยู่บัดนี้ แต่กรรมที่ข้าพเจ้าได้รับยังน้อยกว่าที่เขาได้รับ จากนั้นข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาเจาะจง ให้เขาเสมอ และจะเห็นหน้าเขาทุกครั้งขณะที่แผ่เมตตาให้

ตอนบ่ายข้าพเจ้าเดินไปทำธุระทางกุฏิของหลวงพ่อ ท่านรับแขกอยู่ชั้นล่างพอดี เลยเข้าไปกราบท่าน ท่านมองหน้าข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นว่า

“อาจารย์สมพร อยากรู้ไหมว่าทำกรรมอะไรไว้ถึงได้เป็นอย่างนี้”

ข้าพเจ้าตอบท่านไปว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ท่านยิ้มและไม่พูดว่ากระไร

 

กรรมที่อโหสิ

มนุษย์เราที่เกิดมานี้ เวียนว่ายตายเกิดกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ทำกรรมอะไรไว้บ้าง ที่ระลึกได้ก็มี ระลึกไม่ได้ก็มี เจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ต้องชดใช้กรรมทั้งนั้นรับใช้หนักเบาประการใดขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ได้เจริญภาวนาไว้เป็นนิจ และอธิษฐานจิตเป็นประจำ กรรมบางอย่างอาจอโหสิกันไปเลยก็ได้

ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติมาก กำนหดเวลาไว้ ๗ วัน อาการปวด ทุกขเวทนาต่างๆ ตามที่เคยปวดและที่กระดูกสันหลังเบามาก ในวันสุดท้ายของการปฏิบัติ จิตใจไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจากเวทนาเลย

พอหมดเวลาปฏิบัติในตอนเย็น แม่ใหญ่ได้เรียกข้าพเจ้าไปพบแล้วบอกว่า อย่าเพิ่งกลับบ้านให้อยู่ต่ออีก ๓ วัน เจ้ากรรมนายเวรชื่อนายคง ที่ข้าพเจ้าได้เคยทำกรรมกับเขาไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เข้ามาบอกว่าให้ข้าพเจ้าแผ่เมตตาให้เขาคนเดียวตลอด ๓ วัน เขาจะอโหสิกรรมให้ เขาจะไปเกิดใหม่แล้ว

ข้าพเจ้ารับฟังด้วยความเคารพ ระลึกไม่ได้เลยว่าทำกรรมอะไรมานานกว่า ๖๐๐ ปี แต่รีบทำธุระ ฝากฝังภารกิจที่จะต้องกระทำให้เพื่อนช่วยดำเนินการแทนจนเป็นที่เรียบร้อย ขอขอบคุณ ผศ.กรีสุดา เฑียรทอง และ อ.พรทิพย์ ชูศักดิ์ ที่ให้ความอนุเคราะห์ในครั้งนี้

ข้าพเจ้าได้อยู่ต่ออีก ๓ วัน โดยไม่มีความกังวล ห่วงใยสิ่งใดเลย ทั้งๆที่ไม่ทราบว่า ทำบาปทำกรรมอะไรไว้กับนายคงแต่ก็ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และอุทิศส่วนกุศลให้นายคงคนเดียว

ความมหัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ตลอดการปฏิบัติ ๓ วันหลัง เป็นการปฏิบัติธรรมต่อเนื่องกัน ทำให้จิตได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี มีศรัทธาเต็มเปี่ยม มีความเพียรไม่ย่อท้อ มีสติและสมาธิกำกับจิตตลอดเวลา ทำให้เกิดพลังส่งผลให้ข้าพเจ้าไม่มีนิวรณ์อันใด จิตตื่นอยู่ตลอด สามารถกำหนดทางอายตนะต่างๆ ได้ทัน

การหลับนอนไม่จำเป็นสำหรับข้าพเจ้า ตลอดเวลา ๓ วัน ข้าพเจ้าใช้อิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง โดยไม่ต้องฝืนใจเลยเป็นไปเองตามธรรมชาติ

ข้าพเจ้าสังเกตว่า การเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเพียงบันไดให้จิตเกาะเท่านั้น ไม่ว่าจะทำงานสิ่งใด มีสติรู้เท่าทันตลอดเวลาจิตไม่ออกไปนอกตัวเลย

ข้าพเจ้าปฏิบัติรวมกลุ่มตามระเบียบของวัด ในช่วงพักข้าพเจ้าจะปฏิบัติต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักในกุฏิกรรมฐาน เวลาทำกิจธุระส่วนตัวก็กำหนดได้ทันตลอด

จิตของข้าพเจ้ามีความผ่องใสมาก นึกถึงคำแปลของคำว่า “พุทธ” ที่แปลว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับสภาวะของ “ผู้ตื่น” มาแล้ว มีความสุขจริงๆ และเข้าใจหลวงพ่อได้ทันที่ว่า ทำไมท่านถึงไม่นอน ท่านทำงานได้ตลอดเวลาเพราะจิตของท่านเข้าถึงสภาวะ “ผู้ตื่น” แล้วนั่นเอง

ในวันแรกของการอุทิศส่วนกุศลให้นายคง ข้าพเจ้าเห็นอาณาบริเวณคูคลองสมัยกรุงศรีอยุธยา มีผู้คนมากมาย เห็นภาพตัดขวางของหลุมสี่เหลี่ยมใหญ่ แล้วมีคนถูกผลักลงหลุมลอยเคว้งคว้าง ไม่สามารถช่วยตนเองได้ ข้าพเจ้าเข้าใจทันทีว่าได้ทำบาปกรรมอะไรไว้กับนายคง

ในวันที่สองข้าพเจ้าเห็นพระภิกษุ ๓ องค์ แต่ละองค์อยู่ในรูปวงกลม ลอยอยู่เหนือปากหลุม เรียงตามลำดับคือหลวงพ่อจรัญ พระครูภาวนานุกูล (ชูชัย อริโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี) และหลวงปู่แหวน แลเห็นคนที่ถูกผลักลงหลุม ลอยขึ้นมาจากก้นกลุมซึ่งลึกมากลอยขึ้นมาเหมือนถูกดูดขึ้น จากพ้นปากหลุม

วันสุดท้ายเป็นวันพระ ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติอุทิศส่วนสุกศลให้นายคงเต็มที่ ขออธิษฐานจิตให้เขาไปเกิดที่ดี มีเสื้อผ้าใส่สวยๆ หรือเป็นเทวดาไปเลย ข้าพเจ้านึกถึงบุญที่เคยได้ถวายผ้าไตรกับหลวงปู่เทสก์ แล้วอุทิศผลบุญให้

เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติต่อเนื่องกันมาจนถึงตี ๓ จึงตั้งใจแผ่เมตตาให้เขา พอเริ่ม สัพเพ สัตตา… ก็ปรากฎภาพเป็นอีกมิติหนึ่ง ซึ่งกว้างไกลสุดสายตา ปรากฏร่างของยมทูตนุ่งผ้าเตี่ยวสีแดง โพกศรีษะสีแดง มือถือหอก มาอนุโมทนาบุญและขอลาข้าพเจ้าและทุกอณูในอวกาศมีมือแบรับส่วนกุศลนับไม่ถ้วน เป็นสีทองสุดสายตา ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงข้อความในพระไตรปิฏกที่เคยอ่านว่า เทวดาแสนโกฏิจักรวาลมาฟังธรรมพระพุทธเจ้า เคยคิดว่าท่านจะมาเบียดกันอยู่ได้อย่างไร แต่บัดนี้หายสงสัยแล้ว และนายคงไปเกิดที่ใดก็ไม่สงสัย

ในโรงอุโบสถหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว หลวงพ่อจะเทศน์ให้ญาติโยมฟัง วันนี้ (๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๑) หลวงพ่อจะเทศน์เรื่องลำดับญาณ ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วมีความซาบซึ้งมากรู้สึกว่าตรงกับสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก มีความเข้าเป็นอย่างดี

เมื่อออกจากโรงอุโบสถแล้วข้าพเจ้าไปช่วยงานที่กุฏิของหลวงพ่อ ท่านยังเมตตาถามอีกว่า

“อาจารย์สมพร ฟังเทศน์แล้วชื่นใจไหม”

ข้าพเจ้าจึงก้มกราบท่านด้วยความสำนึกในพระคุณอย่างสูงสุด

 

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ในระยะหลังข้าพเจ้ามีภารกิจการงานมาก อาศัยการกำหนดจิตให้สติอยู่กับงานที่ทำ และอาศัยการบูชาพระสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา และแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล เป็นประจำ พอมีโอกาสว่างจะมาปฏิบัติธรรมและช่วยเหลืองานที่วัดทันที เป็นการสร้างกุศลให้กับตนเองและเป็นการตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ

บางครั้งข้าพเจ้ามักเข้าข้างตนเองว่า งานยังค้างอยู่มากควรทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปปฏิบัติธรรมทีหลัง แต่ก็มีอันทำให้ข้าพเจ้าอยู่ไม่ได้ต้องกลับมาวัดปฏิบัติธรรมก่อนเสมอ

ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้าพเจ้าป่วยมาก รู้สึกตัวว่าหมดพลังไปเลย อาศัยการกำหนดจิตทำให้หล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ต่อมาได้ ข้าพเจ้ายังมีภารกิจติดพันอยู่ ยังมาวัดไม่ได้ นึกไว้ว่างานเบาบางลงแล้วจะมาปฏิบัติธรรมที่วัด แต่ทำไม่ได้ตามที่คิด เพราะมีนิมิตเตือนให้ข้าพเจ้าเรื่องปฏิบัติธรรมทันที

ในคืนวันพระกลางเดือนมีนาคม ๒๕๓๙ ขณะที่ข้าพเจ้านอนหลับอยู่นั้น จิตได้สัมผัสกับอีกมิติหนึ่ง มองเห็นท่อเหล็กอยู่ไกลมาก และจำพุ่งมาทางข้าพเจ้า มีความรู้สึกว่าจะมากั้นข้าพเจ้าไว้ จึงคิดว่าถ้าก้าวหนีเพียงก้าวเดียวก็จะพ้น แต่ยังไม่ทันจะก้าวขา ท่อเหล็กก็มากั้นเสียก่อน ยังสัมผัสไอร้อนของท่อเหล็กได้ ตรงปลายเป็นขวานอันใหญ่มาก และเห็นโดยไม่ต้องมองว่า ข้างหลังมีคนยืนคุมอยู่หนึ่งคน

ข้าพเจ้าไม่ตกใจและไม่รู้สึกกลัว แต่รับรู้ว่าเราหนีไม่ได้แล้ว จึงยกมือขึ้นประนม ยืนสวดมนต์ อิติปิ โส ภควา….สวดได้ไม่เท่าไร ท่อเหล็กก็หดตัวกลับไป ข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นจึงนั่งเจริญกรรมฐาน แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลและตั้งใจว่าจะรีบมาปฏิบัติธรรมทันทีที่มาได้ จากนั้นก็เอนหลังพักผ่อน ก่อนที่จิตจะขึ้นวิถีในตอนเช้า ยังมองเห็นท่อเหล็กอยู่ไกลลิบๆ กำลังหดตัวกลับไป

ข้าพเจ้าได้ปรารภเรื่องนี้กับท่าน พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน ท่านบอกว่า เป็นนิมติเตือนเร่งให้ปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้นกว่านี้ มิฉะนั้นจะต้องได้รับโทษตามกฏแห่งกรรมที่ทำไว้ ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ได้นี้ เพราะได้ปฏิบัติธรรม แสดงให้เก็นได้ชัดว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

เมื่อมีโอกาสถวายรายงานหลวงพ่อ ท่านรับฟังด้วยความตั้งใจ และบอกว่า “ไม่เป็นไร ยังไม่ตายหรอก”

ข้าพเจ้าก้มกราบงามๆ ๓ ครั้ง ด้วยความสำนึกในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

 

บทส่งท้าย

ข้าพเจ้ามีอากาสเข้าปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจไว้ในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ การปฏิบัติครั้งนี้ สติดีมาก จิตมีสมาธิ ปราศจากนิมิตใดๆตลอดเวลา ๗ วันที่เจริญพระกรรมฐาน ในเดือนเมษายนข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาวัดอีกปรากฏว่ายังรักษาจิตได้เหมือนเดิม เมื่อธรรมะผุดขึ้นมาสอนจิตจะสงบยิ่งขึ้น จิตได้เข้าไปพบความจริงของชีวิตแล้ว ไม่มีอะไรแน่นอนนอกจากธรรมประจำจิต ทำให้จิตรู้แจ้งเห็นจริงดังที่กล่าวแล้ว

ขอฝากท่านผู้ที่คิดจะปฏิบัติเองโดยอ่านจากหนังสือว่าของให้ท่านสละเวลาขอรับพระกรรมฐานจากครูอาจารย์ก่อนเพื่อขอบารมีของครูอาจารย์คุ้มครอง เพราะในการปฏิบัติธรรมนั้น อาจพบอุปสรรคสิ่งกีดขวางมากมาย อาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาตัดรอนการสร้างความดีของเรา ถ้าสติปัญญา และกำลังของเราไม่พอจะแก้ไขได้แล้ว จะทำให้เราแพ้ภัย ปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย อีกประการหนึ่งครูอาจารย์ท่านมีประสบการณ์สูงกว่า ย่อมมองเห็นวิธีที่จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้

และขอฝากผู้ที่เห็นแก่ได้ทั้งหลายที่ไม่ยอมปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตนเอง ชอบเที่ยวถามท่านผู้รู้ว่า ตอนเองมีกรรมอะไรจะได้ใช้ให้หมดไป ขอเรียนว่าไม่เป็นผลดีต่อผู้ถามเลยมีแต่จะทำให้ตัวเองเกิดอุปาทานในสิ่งที่ตนไม่รู้จริงอีกด้วยและแก้กรรมไม่ได้ เพราะกรรมที่จะอโหสิกันนั้นต้องรู้ได้โดยผ่านเวทนาไม่ใช่สมาธิ ต้องชดใช้กรรมกันก่อน แต่จะรับกรรมหนักหรือเบานั้นขึ้นอยู่กับบุญกุศลของตนเองที่ได้เจริญขึ้นมากน้อยเพียงใด

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณวัดอัมพวัน อันเป็นแหล่งให้ข้าพเจ้าได้สร้างความดี บุคลากรที่อำนวยความสะดวกทุกท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล คุณแม่สุ่ม ทองยิ่ง และคุณน้าฉ่ำชื่น แสงฉาย ที่เมตตาอบรมสั่งสอนให้ที่พักพิง สัปปายะทุกด้าน ทำให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัย ได้มีโอกาสฝึกสติ จนสามารถระลึกถึงกรรมทำให้มีจิตใจอ่อนโยน ยอมรับใช้กรรมโดยดุษณีภาพ และอโหสิกรรมต่อกัน

และขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ ทั้งที่เอ่ยนามหรือไม่ได้เอ่ยนามก็ดี โดยเฉพาะท่าน อาจารย์ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ที่ให้ความเมตตาพาไปพบครูอาจารย์ และให้ความอุปถัมภ์ค้ำจุนมาโดยตลอด จนกระทั่งข้าพเจ้าพึ่งตนเองได้

หลวงพ่อได้ให้ชีวิตใหม่ เป็นชีวิตที่มีกุศลธรรมประจำจิต ไม่ใจดำ อำมหิต เหี้ยมโหด ดุร้าย ฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้จำตายอีกต่อไปแล้ว ชีวิตนี้มีแต่จะสร้างความดี มีความปรารถนาให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้เดินทางมายาวนาน ไกลแสนไกล ผ่านชีวิตมามาก มีความปรารถนาจะยุติการเดินทางเสียที ข้าพเจ้าได้พบทางที่จะยุติแล้ว แต่ขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเองว่าจะดำเนินต่อไปได้เป็นผลสำเร็จหรือไม่ ผู้มีพระคุณทุกท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางและสนับสนุนช่วยเหลือประมาณ ๒๐% เท่านั้น อีก ๘๐% เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องดำเนินไปด้วยตนเอง

ดังพุทธภาษิตที่ว่า

อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั่นแล