พุทธคุณกับการปฏิบัติธรรม
ช่วยค้าขายได้

โดย ขจร ยศชนะ

ดิฉัน นางขจร ยศชนะ ปัจุบันอายุ ๓๑ ปี จบการศึกษาจากสถาบันแม่โจ้เทคโนโลยีการเกษตรเมื่อปี ๒๕๓๒ สาขาส่งเสริมการเกษตร คณะธุรกิจเกษตร พอจบมาแล้วก็ไม่ได้ทำงานตามที่เรียนมา แต่กลับมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายผ้า เนื่องจากคุณพ่อต้องมาเสียชีวิตไป และตัวดิฉันเองก็เป็นลูกสาวคนโต ต้องดูแลกิจการต่อจากคุณแม่ น้องๆทั้งสองคนต่างก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว

ดิฉันเริ่มงานตรงนี้โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ทำไปเรื่อยๆไม่สนใจอะไร แรกๆคุณแม่จะคอยช่วยและดูอยู่ห่างๆ พอท่านเห็นว่าจะไปได้ดี ท่านก็วางมือหมด เป็นเวลาประมาณปีกว่า คุณแม่ท่านก็โอนให้หมด ตอนแรกลงทุนไป ๕๐,๐๐๐ บาท

ถึงตอนนี้ดิฉันแต่งงานแล้ว สามีทำงานเกี่ยวกับการตกแต่งตามบริษัทต่างๆ ทิ้งให้ดิฉันทำคนเดียว ดิฉันเหนื่อยมาก เพราะคนงานเยอะมาก ตอนแรกก็เริ่มจากคนเย็บผ้า ๕-๖ คนเท่านั้น ต่อมาก็เพิ่มขึ้นจนถึง ๑๐ กว่าคน กิจการดีขึ้นจนถึงปี ๒๕๓๕ ดิฉันได้ปลูกบ้านพร้อมกับขยายกิจการไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปลายปี ๒๕๓๖ ได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่กิจการเริ่มลุ่มๆ ดอนๆ เงินหมุนไม่ค่อยทัน เพราะนำเงินไปปลูกบ้าน ซื้อรถเกือบหมด และตอนนั้นทางจังหวัดของดิฉัน มีการตั้งสมาคมฌาปนกิจขึ้น คือเราต้องหาคนไปเข้าสมาคม พอครบกำหนด ๓ เดือนแล้ว ถ้าคนที่เราพาไปเข้าสมาคมเกิดเสียชีวิต เราก็จะได้รับเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทเป็นเงินสงเคราะห์ช่วยทำศพ และถ้าตายก่อนครบกำหนด คือก่อน ๓ เดือน เงินที่เราซื้อเข้าสมาคมในตอนแรก ซึ่งประมาณ ๔๐๐-๑,๒๐๐ บาทต่อคน ตามอายุของคนที่เรานำเข้าสมาคมคืออายุน้อยก็ซื้อเข้า ๔๐๐ บาท ถ้าอายุมาก ๖๐-๗๐ ปีขึ้นไปก็ ๑,๐๐๐-๒,๐๐ บาท

ดิฉันนำคนเข้าสมาคมทั้งหมดเกือบ ๔๐๐ คน เพราะหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์ ๒๐ กว่าล้านบาท ดิฉันต้องใช้เงินในการซื้อเข้าสมาคมทั้งหมดเกือบสองแสนบาท แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังที่คิด เพราะสมาคมแต่ละสมาคมต่างก็ตั้งขึ้นมาโดยไม่ถูกกฎหมาย และคนที่ดิฉันนำไปเข้าสมาคมนั้นเกิดตายก่อนกำหนดบ้าง ดิฉันก็ต้องเสียเงินในการนำเข้าสมาคมไป

การนำคนเข้าสมาคมนั้นดิฉันจะคัดเอาคนที่มีอาการเกือบจะถึงขั้นแล้ว คือ เป็นเอดส์ เป็นมะเร็ง คนแก่สูงอายุ พอเห็นว่าคนนี้อาการอาจไม่ครบกำหนด ดิฉันก็จะซื้ออาหารยาบำรุงไปฝาก เพื่อให้ครบกำหนด แต่มันไม่เป็นแบบนี้คนเหล่านั้นเกิดตายก่อนกำหนด คนที่ไม่ตายก็ยังมีอยู่ จนทำให้ดิฉันเกิดความคิดที่แช่งเขาในใจว่าทำไม่ไม่ตายสักที พอตั้งสมาคมมาได้ประมาณ ๔ เดือน สมาคมเป็นอันล้ม ดิฉันก็ต้องสูญเงินไปทั้งหมด

ตอนนั้นดิฉันต้องออกจากบ้านทุกวัน เงินที่ค้าขายมาก็เอาไปใช้อย่างนี้หมด ไม่สนใจกิจการที่ทำอยู่ ปล่อยให้เด็กๆทำกันเอง ลูกค้ามาหาก็ไม่เจอ ในวันหนึ่งๆ ดิฉันต้องเสียเงินประมาณวันละ ๑๐,๐๐๐ บาท เพื่อช่วยเป็นเงินสงเคราะห์ในรายที่เขาตายก่อน คือรายละ ๕๐ บาท ดิฉันก็ส่งเงินไปเรื่อยๆ จนสมาคมล้ม เงินก็หมด กิจการก็แย่ลง เงินก็หมุนไม่ทัน ดิฉันหมดกำลังใจ เที่ยวไปตามบ้านเพื่อน ญาติพี่น้องกิจการที่ทิ้งให้เด็กๆดู การที่ดิฉันออกจากบ้านนี้แหละ จึงได้ไปพบหนังสือเล่มเก่าๆเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ที่บ้านคุณน้า เมื่อดิฉันอ่านดูก็รู้สึกแปลกๆ ไม่เหมือนที่อื่นและไม่รู้ด้วยว่าวัดนี้อยู่ตรงไหน แต่มีความตั้งใจว่า ต้องไปวัดนี้ให้ได้ และเข้าใจว่าหลวงพ่อคงมรณภาพแล้ว เพราะในหนังสือไม่ได้บอกว่า หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่

ดิฉันตั้งใจจะไปทำบุญโดยเดาเอาจากแผนที่ในหนังสือปี ๒๕๓๗ และเดินทางไปกับญาติพี่น้องและคนงาน และก็ได้พบหลวงพ่อ ดิฉันดีใจและเกิดความปลื้มปีติเป็นอย่างมากที่ทราบว่าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ จึงได้ซื้อเทป หนังสือ มาอ่าน มาฟัง และลองสวดมนต์ตามที่หนังสือเขาสอนไว้ คือ สวดบทพาหุงก่อน แล้วสวดพุทธคุณเท่าอายุเกินหนึ่ง และอธิษฐานให้กิจการดีขึ้นเรื่อยๆ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร เจ้าที่เจ้าทาง พญาช้างสาร และร้านของลูกค้าที่นำผ้าไปจำหน่าย ตลอดจนผู้ที่สวมใส่ กิจการก็ดีขึ้นตามลำดับ และนึกในใจว่าต้องหาทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดให้ได้ จนในที่สุดก็ได้มาปฏิบัติช่วงปลายปี ๒๕๓๘

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เหตุการณ์กลับเปลี่ยนอย่างมากคือจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนงานเมื่อก่อนที่เคยมีอยู่แค่ ๑๐-๑๕ คน ตอนนี้ขยายเป็นคนงานเข้ามาอยู่ในบ้านทั้งหมด ๖๐ กว่าคน และกระจายตามหมู่บ้านอีก ๗๐-๘๐ คน สามีที่เคยดื่มเหล้าเป็นประจำ ก็เริ่มมีความคิดที่อยากบวชและในที่สุดก็ได้บวชเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๘ และได้ลาสิกขาแล้ว

ตอนที่กิจการดิฉันกำลังจะล้ม เพราะดิฉันกำลังจะเลิกกิจการ โดยประการศขายบ้านพร้อมกิจการ ๕ ล้านกว่าบาทพอมีคนมาซื้อดิฉันก็ตั้งราคาขายใหม่เป็น ๗ ล้าน พอมีคนจะซื้ออีกดิฉันก็ตั้งราคาใหม่เป็น ๑๐ ล้าน คือเกิดควมเสียดายบ้าน กิจการ และกลัวว่าคนงานจะไม่มีงานทำ จนกระทั่งได้พบหลวงพ่อ และได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านกิจการก็เริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายออกไปเรื่อยๆ และตอนนี้ดิฉันเลิกล้มความคิดที่จะขายแล้ว

เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกเรื่องหนึ่งซึ่งได้เกิดกับสามีดิฉัน คือเขาได้เอารถจักรยานยนต์ออกไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ขากลับรถเสียหลักล้มลงข้างทาง ศีรษะฟาดกับพื้นเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดสมอง อยู่ในห้อง I.C.U. หมอบอกว่าให้ดิฉันทำใจไว้ครึ่งหนึ่งก่อน คือ ๕๐/๕๐ ดิฉันเกิดความกลัว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็นึกถึงหลวงพ่อ กลับมาก็นั่งสมาธิภาวนา สวดพุทธคุณ อธิษฐานจิตขอให้เขาแคล้วคลาดก็ดีขึ้นทั้งที่ผ่าตัดสมองถึงสองข้าง พอวันที่ ๕ ก็ออกจากห้อง I.C.U. ได้ สมองที่ได้รับความกระทบกระเทือนก็เกือบเป็นปกติ จำอะไรได้หมด ๑๖ วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้เลย หมอแปลกใจว่าทำไมอาการดีขึ้นรวดเร็วมากและไม่พิการทางสมองตามที่หมอคาดการณ์ไว้ และตอนนี้สามีดิฉันก็ได้กลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้านแล้ว

จากเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของดิฉันทั้งหมดดิฉันเกิดความรู้สึกว่า การสวดมนต์บทพุทธคุร พาหุง มหากาฯ และการปฏิบัติธรรมนี้สามารถช่วยเหลือได้ อย่างน้อยที่สุดทางด้านจิตใจของเรา จะเข้มแข็งขึ้น สบายขึ้น ไม่ฟุ้งซ่าน พอมีเหตุการณ์อะไรที่แย่มากๆ ก็จะทำให้ระลึกถึงหลวงพ่อก่อน และทุกๆอย่างก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ