ผู้ใหญ่…ก็ดื้อ

โดย ปราณี จันทรัตน์

เมื่อปี ๒๕๓๕ ดิฉันมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมะของพระเดชพระคุณ พระราชสุทธิญาณมงคม (ตั้งแต่ยังเป็นพระภาวนาวิสุทธิคุณ) หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ทั้งใกล้ไกลนิยมเรียกนามเดิมของท่าน

ดิฉันอ่านหนังสือ “กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ” ของหลวงพ่อ รู้สึกประทับใจตั้งแต่อ่านครั้งแรก เพราะหลวงพ่อมีวิธีสอนและเขียนได้อย่างดีเลิศ ดิฉันพยายามหยิบยืมเพื่อนๆมาอ่าน เล่มหนึ่งๆจะอ่านหลายครั้งชนิดอ่านแล้วอ่านอีกก็ยังประทับใจทั้งภาคกฎแห่งกรรมและธรรมปฏิบัติ ได้เข้าใจวิธีปฏิบัติและดำเนินชีวิตตามวิถีทางของชาวพุทธดียิ่งขึ้น เนื่องจากดิฉันบังเกิดความศรัทธาในการปฏับัติตามแนวการสอนของหลวงพ่อมากจึงได้ตั้งปณิธานเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งจะชวนสามีและลูกๆไปนมัสการหลวงพ่อให้ถึงวัดอัมพวันให้จงได้และตั้งใจไว้ว่าจะขอเข้าฝึกกรรมฐานที่วัดนี้ด้วย

ปี ๒๕๓๖ เพื่อนอาจรย์ท่านหนึ่งนำหนังสือสวดมนต์เล่มน้อยมาฝาก มีบทสวด พาหุง มหากาฯ ที่ต้องการด้วยดิฉันปลื้มใจมาก นำหนังสือเล่มนั้นมาไว้หัวนอน และสวดก่อนนอนบ่อยๆ ตามแต่โอกาส มีความรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้สวด

ปี ๒๕๓๗ เริ่มเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายบวช เขาบอกว่ายังไม่พร้อมบ้าง ตรงกับสอบบ้าง แต่รับปากว่าปีหน้าจะบวช

ปี ๒๕๓๘ ปีนี้ครบครัวของดิฉันทำบุญบ่อยมากเพราะเคยมีครู-อาจารย์ทักทายไว้ว่าอายุย่าง ๕๗ ปี ชะตาไม่สู้จะดี จะเจ็บไข้ได้ป่วย เสียเงินเสียทอง ก็เชื่อเพราะเรื่องที่ดูมาครั้งก่อนก็ตรงและถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะทำบุญตามปกติแล้ว มีที่จำได้แม่นยำคือ

  • ไถ่ชีวิต โค-กระบือ จากโรงฆ่าสัตว์ จ.อยุธยา ร่วมกับครอบครัวเพื่อนร่วมงาน จำนวน ๕ ตัว แต่ทุกตัวมีท้องหมดคงจะรวมเป็น ๑๐ ตัวทั้งลูกในท้อง
  • ไปทอดผ้าป่าสร้างฉัตรพระประธานให้วัดที่บ้านเกิดในจังหวัดสงขลา
  • บวชลูกชายที่วัดอัมพวัน (๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๘)
  • ทำบุญถวายอาหารเพลพระที่วัดอัมพวัน และถวายสังฆทานในคราวเดียวกัน ฯลฯ

การทำบุญทุกครั้งได้อุทิศแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณต่อชาติบ้านเมือง วิญญาณไม่มีญาติ ฯลฯ ได้ทำแล้วรู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะที่วัดอัมพวันได้อุทิศแผ่ส่วนกุศลให้เทวดา ทำแล้วรู้สึกปีติยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็ตาม “สัตว์โลกย่อมตกไปตามกรรม” เหมือนคำเทศนาของหลวงพ่อ แต่จะหนักหรือเบาขอท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาจากเรื่องที่จะอ่านต่อไปนี้ ดิฉันขอตั้งชื่อว่า “ผู้ใหญ่…ก็ดื้อ

เรื่องนี้ผู้เขียน เขียนจากความทรงจำเมื่อ ๒๔-๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๘ เมื่ออ่านแล้วท่านจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแท้แต่ใจของท่าน แต่ผู้เขียนขอความกรุณา อย่าไปทดลองหรือปฏิบัติเช่นผู้เขียนเลยเพราะบางท่านอาจไม่มีโชคหรือโอกาสมาเขียนหรือเล่าให้ผู้อื่นฟังก็เป็นได้

ดิฉันเริ่มป่วยเป็นไข้หวัดตั้งแต่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๘ มีอาการไอมาก หมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งจ่ายยาให้มารับประทาน แต่อาการยังทรงๆ ทรุดๆ อยู่ อาการไข้ค่อยทุเลา แต่อาการไอไม่หาย โดยเฉพาะกลางคือไอ และปวดปัสสาวะบ่อย วันที่ ๒๑ มิถุนายน เปลี่ยนไปหาหมอในโรงพยาบาลอีกแห่ง คิดว่าเปลี่ยนหมดแล้วอาการจะดีขึ้น กลับเป็นมากกว่าเดิม คือมีอาการหืดหอบเพิ่มในเวากลางคืนอีก ถึงจะป่วยอย่างไรก็ยังคงไปสอนตามปกติ (เพราะมีความเห็นใจเพื่อนร่วมงานที่ต้องสอนแทนอาจารย์ลาคลอด ลาป่วยอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ถึง ๒ ท่าน และไม่สัมมนาอีก ๒ ท่านรวมเป็น ๔ ท่านอยู่แล้ว คิดว่าเราไม่ควรเพิ่มภาระอีก) ในเวลาจะไปทำงาน รับประทานยาระงับอาการไอและยาละลายเสมหะ ดิฉันปฏิบัติตามคำสั่งของหมอ กลางวันอาการต่างๆจึงไม่ค่อยมากนัก แต่พอตกกลางคืน ยาเท่าไรก็เอาไว้ไม่อยู่พอจะหลับก็ต้องไอและหืดหอบไม่ได้หลับนอน แม้จะเพลียและง่วงมากหลับไปสักชั่วโมงก็มีอันต้องตื่น เป็นอยู่อย่างนี้ ๔ วัน ๔ คืน ในเวลากลางคืนแม้จะสวดมนต์แล้วก็ยังไม่หลับ ในคอของดิฉันระคายเคืองเหมือนมีกรวดทรายอยู่เต็มคอรู้สึกทรมานมาก พยายามคิดว่าเราเคยทรมานสัตว์ หรือทำบาปหนักอะไรไว้ ก็คิดไม่ออก ถ้าเคยทำก็คงเป็นสมัยเป็นเด็กเล็กๆ เพราะซนเหมือนเด็กผู้ชาย

ป่วยอย่างเข้าวันที่ ๕ คือวันที่ ๒๔ มิถุนายน รู้สึกตัวว่าวันนี้มึนงงมาก เนื่องจากนอนไม่หลับมาถึง ๔ คืนแล้วหลังเลิกงานลูกชายไปรับกลับบ้าน รีบเช็ดแล้วเข้านอนเลย เพราะง่วงมากด้วยฤทธิ์ยาด้วย หลับไปประมาณ ๒ ชั่วโมง ลูกสาวมาเรียกให้ไปรับประทานอาหารเย็น เพราะเกือบ ๒ ทุ่มแล้ว คืนนั้นมีอาการไออย่างหนักอีก ไอเป็นระยะๆ ไม่ได้หลับอีกเพลียมาก

รุ่งเช้าลูกสาวลูกชายคอยดูแลเรื่องอาหารและเช็ดตัวให้ วันนี้ดิฉันทุรนทุรายฟุ้งซ่าน ประกอบกับไอมาก และมีปัสสาวะไหลทุกครั้งที่ไอ ตกกลางคืนรู้สึกว่าในคอตรงหลอดลมเหมือนมีของเหนียวๆ หนืดๆ ติดอยู่ จึงทำให้มีอาการหอบหืด นอนตัวตรงไม่ได้ต้องนั่งพิงหัวเตียง ลูกชายเข้ามาดูจึงขอให้เขาสอนวิธีเข้าสมาธิตามแบบที่เขาเรียนมาเมื่อบวชอยู่ที่วัดอัมพวัน แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยเขาอธิบายว่า “อันตรายมากนะแม่ ลูกยังไม่เก่ง ถ้าไม่มีพระหรือผู้รู้วิธีอยู่ด้วยเดี๋ยวจะเตลิดไปกู่ไม่กลับ” แรกๆดิฉันก็เชื่อฟังเขา แต่ไอและหอบมากขึ้น ลองอ้อนวอนลูกอีกสองครั้ง และบอกเขาว่า “ ให้แค่แม่นอนหลับก็พอนะลูก” ลูกชายคงสงสารจึงยอมสอนให้ แต่ไม่ได้นั่งสมาธิ เป็นการนอนสมาธิ เพราะดิฉันเพลียมากแล้ว ก่อนทำสมาธิดิฉันสวดมนต์และปฏิบัติเช่นที่เคยสวดในวันอื่นๆ และไม่ลืมที่จะอธิษฐานให้หลวงพ่อคุ้มครองและรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย แล้วปฏิบัติตามที่ลูกชายสอน จนรู้สึกเริ่มจะเข้าสู่ภวังค์ เมื่อเขาเห็นดิฉันสงบลงก็เริ่มถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดิฉันตอบไม่ค่อยตรงคำถาม เพราะอยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ และรู้สึกว่าเขาแผ่เมตตาให้จึงตั้งใจทำสมาธิจิตต่ออีกนานนับชั่วโมง รู้สึกเหมือนมีลมเป่าเบาๆที่กระหม่อม ดิฉันเข้าใจว่าหลวงพ่อส่งกระแสจิตมาช่วยคุ้มครองรักษาให้ ต่อมาอีกสัก ๑๐ นาที ดิฉันไอมากจนแตกตื่นกันทั้งบ้าน ลูกสาว หลานสาว หลานชายมาดูอาการดิฉันไอเพราะระคายคอจนมีสิ่งหนืดๆ เหนียวๆ หลุดออกมาจากลำคอผสมกับน้ำลายเกือบครึ่งกระโถน จนกระทั่งมีเลือดสดๆออกมาด้วย ทั้งลูกชายและหลานชายซึ่งเคยรู้วิธีปฏิบัติกรรมฐานมาแล้วทั้งสองคน ถามดิฉันว่า “ที่บ้วนออกมาน่ะสีอะไรครับ” ดิฉันตอบว่า “ถามทำไม่ น้ำลายก็สีขาวนะซิ” ทั้งสองคนมองดูตากันด้วยสีหน้าผิดปกติ เพราะคิดว่าผู้ไม่หวังดีคงมาแฝงในตัวของดิฉันเข้าให้แล้ว ลูกชายจุดธูปเทียนบอกกล่าวและทดสอบดิฉัน ผลัดกันหมุนเวียนเดินเข้าเดินออกห้องนอนของดิฉันอยู่ตลอดเวลาจนเกือบ ๒ นาฬิกาขึ้นวันใหม่ สามีกลับจากธุระที่ต่างจังหวัดไม่ทันทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน เขาล้มตัวลงนอนก็หลับไปด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย

คืนนั้นลูกสาวลูกชายหลานชายนอนเฝ้าหน้าเตียงนอนนั่นเอง จนเวลา ๔.๓๐ นาฬิกาของวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๘ ดิฉันยังไม่หลับจึงลุกขึ้นนั่งบอกให้ลูกกๆและหลานชายเตรียมตัวไปหาหลวงพ่อวัดอัมพวันกัน (เพราะดิฉันรู้ตัวเองว่าแม้จะพยายามสวดพระพุทธคุณให้เลยอายุ ๑ จบ เพื่อให้เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ไม่อาจหลุดจากอาการเข้าสมาธิได้ พอสวดจวนจะครบก็จะมีอะไรมาสะดุดอยู่ตลอดเวลา) ให้ปลุกคุณพ่อด้วย สามีของดิฉันงัวเงียลุกขึ้นเห็นลูกๆ หลานๆ มานั่งล้อมอยู่จึงพูดประชดเอาว่า “เอ้า มานั่งเฝ้าผู้วิเศษกันหรือไง” ลูกชาย-หลานชายขยิบตาแล้วบอกว่า “แม่จะไปวัดอัมพวันให้หลวงพ่อรักษาให้ หาหมอมา ๒ โรงพยาบาลแล้วยังไม่หายคืนนี้เป็นมาก แม่กำลังเพลีย” สามีได้สติจึงปลอบว่า “ไปป่านนี้ไม่ได้หรอกยังดึกอยู่ไปถึงเช้า หลวงพ่อยังไม่ลงมารับแขกรอนานก็จะเหนื่อย หากเป็นมากพระสงฆ์อื่นๆจะตกใจเป็นบาปอีก” ดิฉันเงียบนั่งสงบจนถึงเวลา ๕ นาฬิกา ตัดสินใจเข้าห้องน้ำเช็ดตัว แต่งตัวนานเป็นชั่วโมง เสื้อผ้าตัวไหนๆก็ไม่ชอบรื้อจนกระจุยกระจาย ทั้งลูกทั้งพ่อผลัดกันเฝ้าดิฉันแล้วผลัดกันอาบน้ำแต่งตัว ดิฉันแต่งตัวเสร็จเดินลงชั้นล่างอย่างกระฉับกระเฉงเหมือนไม่ได้ป่วยไข้อะไร ขอน้ำหลานสาวมาดื่มเขาเอาน้ำเชื่อมมาทดสอบ (ตามคำสั่งลูกชาย) ดิฉันเอามาดมๆแล้วคืนไปเขาบอกว่า “น้ำเชื่อม” ดิฉันบอกว่า “รู้แล้ว คิดว่าฉันบ้ารึไง จะให้ดื่มน้ำเชื่อม” เขาหน้าเสียรีบเอาน้ำสุกมาให้ ดิฉันรีบๆรับประทานอาหารเช้านิดหน่อย แล้วเร่งลูกชายลูกสาว ตัวเองขึ้นไปนั่งในรถ เพราะไม่อยากให้ใครมาพบก่อนจะไปวัด ทั้งพ่อทั้งลูกรีบร้อนมากขึ้นรถเพราะกลัวดิฉันจะขับรถหนีไปวัดเอง ออกจากบ้านเกือบ ๗ นาฬิกาแล้ว

ขณะนั่งรถออกจากบ้านไปได้สัก ๕๐๐ เมตร ดิฉันนั่งสวดมนต์พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และดิฉันพยายามสวดพระพุทธคุณจะให้ครบ ๕๘ จบ หูเริ่มยินเสียง คนพูด พระสวด สลับกันอยู่ตลอดเวลา และความถี่ในการซ้อนกันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไม่เป็นอันได้สวดมนต์เลย สักพักใหญ่ก็ลืมตาขึ้น เห็นว่ารถคันใหญ่ชนรถคันเล็ก เห็นศพคนเกลื่อน แล้วเห็นรถคันหนึ่งวิ่งมาจะชนรถที่ลูกชายขับอยู่ จึงคิดว่าตัวเราจะถึงฆาตเสียแล้วกระมัง ไม่สมควรจะให้ลูกๆและสามีมาตายด้วย จึงเปิดล็อคประตูรถและจะกระโดดออกนอกรถ เพื่อให้ทุกคนปลอดภัย แต่โชคดีที่ลูกสาวคว้าข้อมือไว้ทัน ทั้งลูกทั้งพ่อช่วยกันพูดห้ามว่า “ ทำอย่างนี้ไม่ได้ ลูกชายกำลังขับรถ เดี๋ยวจะต้องตายกันทั้งหมดนะ” ดิฉันก็สงบลง และสวดมนต์ต่ออีก ปรากฏเป็นตัวแมลงมาไต่ตอมตามตัว เข้าไปในเสื้อกางเกงที่นุ่ง ที่ตรงเท้ามีงูมาเลื้อยเคล้าแข้งเคล้าขา ใจก็คิดว่าคราวนี้ไม่ต้องมาหลอกลวงอีก ไม่ใช่ของจริงนะ กำลังคิดว่าเราจะทำอย่างไรดี กระโดดอีกดีไหม พลันสายตามก็มองไปเห็นวัวควายฝูงหนึ่งเข้า ตัวหนึ่งมองตาละห้อยเหมือนวันที่มันมองเราเพื่อขอให้ช่วยชีวิต ก็ได้สติว่าแม้แต่วัวควายยังรักชีวิต เราจำทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อหลับตาลงอีกคราวนี้มาในรูปใหม่ เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา คราวนี้หูอื้อหมด ทนไม่ไหว ลืมตาขึ้น มองป้ายบอกชื่อสถานที่ข้างทางว่าจวนจะถึงว่าเลยไปแล้ว (ความจริงตาคงเห็นไปเอง) นั่งลืมตามสวดมนต์อีกครูใหญ่เห็นป้ายบอกอีก ๕๐๐ เมตรจะถึงวัดอัมพวัน คราวนี้ไม่แน่ใจเพราะถูกหลอกมาเรื่อย ลูกชายเลี้ยวซ้ายเข้าวัดถามว่า “จะไปไหนนี่” ลูกชายบอก “ไปวัดอัมพวันหาหลวงพ่อไงล่ะแม่” คิดในใจว่าคราวนี้คงไม่ถูกหลอกอีกนะ รถจอดหน้าวัดเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกาเศษ ดิฉันไม่ฟังเสียงใครเดินอย่างรวดเร็วตรงไปกุฏิหลวงพ่อ มีคนเขาเห็นจำได้ว่าดิฉันมาวัดหลายครั้งแล้ว บอกว่า “หลวงพ่ออยู่บนหอฉัน มีญาติโยมมาถวายสังฆทาน” ดิฉันเดินตรงรี่ไปตามคำบอก ลูกชายลูกสาวและสามีตามไปติดๆ

โดยไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทำอย่างนั้น) ดิฉันเดินขึ้นบนหอฉัน เห็นหลวงพ่อนั่งเป็นประธานสงฆ์ ท่ามกลางญาติโยมมาทำบุญจำนวนมาก ดิฉันเดินตัวตรงแข็งทื่อเข้าไปหาหลวงพ่อ ลูกชายรีบเข้าไปกราบหลวงพ่อก่อนดิฉันและอธิบายกับหลวงพ่อว่า “คุณแม่ไม่สบายมากนอนไม่หลับมาหลายคืน เครียดมาก รบเร้าให้กระผมพามาหาหลวงพ่อครับผม” ลูกชายพูดไม่ทันเสร็จ ดิฉันเข้าไปกราบหลวงพ่อ ปากก็พูดว่า “ลูกมาให้หลวงพอด่า ลูกดื้อ…ดื้อ” พูดซ้ำซากอยู่ หลวงพ่อเมตตาเป่ากระหม่อมให้ครั้งหนึ่ง มีความรู้สึกในขณะนั้นว่าเย็นสบาย อาการต่างๆดีขึ้น แต่ดิฉันคงดื้อและพูดประโยคเดิม “ลูกมาให้หลวงพ่อด่า ลูกดื้อ…ดื้อ…” เห็นหลวงพ่อยิ้มกว้างขวาง (ลูกชายเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า เขามาอยู่วัดอัมพวัน ๔๒ วัน เคยเห็นหลวงพ่อยิ้มอย่างนี้ ๒ ครั้งเท่านั้นคือตอนพระและสามเณรมาฝึกกรรมฐาน หลวงพ่อท่านเทศน์ให้ฟังเรื่องขำ และเห็นครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ เพราะปกติหลวงพ่อจะเคร่งขรึม และยามยิ้มก็ยิ้มน้อยๆ เนื่องจากมีภารกิจมากมายที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์) และหลวงพ่อก็พูดว่า “เอ้าจะให้ด่าก็ด่า” แล้วก็เป่ากระหม่อมให้อีกที ครั้งนี้ดิฉันเห็นว่าลมที่เป่ามาคล้ายหมอกสีขาว มากระทบศรีษะของดิฉัน รู้สึกเย็นไปทั่วร่างกายดูเหมือนจะหายป่วยทันที ดิฉันรีบกราบเรียนหลวงพ่อต่อไปว่า “หลวงพ่อเจ้าคะนักเรียนที่โรงเรียนดื้อและเกเรหลายคน หลวงพ่อจะกรุณาไปเทศน์โปรดสักครั้ง ได้ไหมเจ้าคะ ลูกกลุ้มใจมาก…” ดิฉันยังพูดไม่ทันจบ หลวงพ่อก็พูดขึ้นก่อนว่า “จำไว้นะปีหน้าหลวงพ่อจะไปที่โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม บอกครู-นักเรียนด้วยว่าหลวงพ่อจะไป” ท่านพูดย้ำอีก ดิฉันเรียนท่านอีกว่า “ลูกจะขอเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ และเรื่องอื่นๆ ของหลวงพ่อเผยแพร่ให้คนเขารู้จักหลวงพ่อให้ทั่วโลกเลย” ท่านมองตาดิฉันแล้วพยักหน้า ดิฉันเผลอหลุดปากออกไปว่า “เอ๊ะ ทำไม่ง่ายจัง” (ดิฉันหมายถึงทำไม่หลวงพ่อทราบ ทั้งๆที่ดิฉันพูดยังไม่จบ แต่ลืมคิดไปว่าดิฉันเขียนใส่กระดาษแข็งใส่กระเป๋าถือ และบางเรื่องก็คิดไว้ในใจเท่านั้น และคิดได้ภายหลังว่าหลวงพ่อมี “เห็นหนอ” ท่านทราบตั้งแต่ดิฉันตั้งใจมาวัดและเดินแข็งทื่อเข้าไปแล้วนั่นเอง

หลวงพ่อสั่งลูกชายว่า “รีบพาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลโดยด่วนนะ เดี๋ยวนี้หลวงพ่อไม่มีเวลามากพอจะรักษาผู้ป่วยแล้ว และก่อนกลับให้ไปรับประทานอาหารที่ทางวัดจัดไว้ให้เสียก่อน” หลวงพ่อท่านล่วงรู้ว่าทุก ๆคนแทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเช้านั้น จึงเมตตาและห่วงใยทุกคน

ดิฉันกับครอบครัวไปรับประทานอาหารตามที่หลวงพ่อสั่ง ดิฉันทางได้ไม่มากก็รู้สึกตื้อๆ ดื่มน้ำเสร็จ คนอื่นๆยังคงรับประทานไม่เสร็จ ดิฉันรีบลุกขึ้นเดินขึ้นหอฉัน นั่งลงตรงหน้าชานใก้ลบันไดทางจะขึ้นลงหอฉัน สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือสวดมนต์เล่มน้อย ของใครก็ไม่ทราบ หยิบมาเปิดอ่านสวดบท “พาหุง มหากาฯ” พอดีหูได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงไพเราะมาก คิดว่าไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนในชีวิตได้ ยินเสียงเหมือนระฆังวงเดือนเล็กๆดังกรุ๋งกริ๋ง คิดในใจว่าเทพเทวดาที่สถิตอยู่ที่วัดอัมพวันคงบรรเลงต้อนรับ (เพราะเมื่อคราวมาถวายภัตตาหารเพลและถวายสังฆทาง เมื่อกลางเดือนมิถุนายน นอกจากดิฉันจะอุทิศส่วนการกุศลตามปกติที่เคยปฏิบัติ ดิฉันได้อุทิศส่วนกุศลถวายเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและวิญญาณที่อยู่ในวัดนี้ด้วย) ท่านเมตตาเห็นว่าเจ็บป่วยจึงมาให้พรดิฉันเป็นแน่ ดิฉันฟังดนตรีอันแสนเสนาะสลับกับเสียงพระสวดธรรมจักรฯ จนเพลินไป พยายามจะสวดพระพุทธคุณให้เท่าอายุบวกหนึ่งให้ได้ แต่ไม่สำเร็จเพราะจะมีสิ่งรบกวนอยู่ตลอดเวลา ลงจากหอฉันตรงไปกุฏิหลวงพ่อ พอเข้าไปในกุฏิได้ยินเสียผู้หญิง ๒ คนคุยกัน หันไปมองหน้าตาก็ไม่เหมือนคนธรรมดา เขาบุ้ยใบ้มาที่ดิฉันแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้ยังมีบุญนะที่มาวัดอัมพวันได้วันนี้ คงหายป่วยเร็วๆนี้ล่ะ” และผู้หญิงอีกคนพูดว่า “ใช่ ไม่งั้นคงจะป่วยนานหน่อย คงลำบากกันแย่เลย” ดิฉันได้ยินอย่างนั้น ที่แรกตั้งใจจะมากราบพระรูปสมเด็จพระปิยะฯ แล้วจะกลับ คงจะต้องรอให้หลวงพ่อกลับจากหอฉันก่อนดีกว่า สามีกับลูกๆอ้อนวอนให้กลับก็ไม่ยอมกลับท่าเดียว พระผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ๒ รูป ซึ่งคอยดูแลภายในกุฎิหลวงพ่อรูปหนึ่งเอาน้ำมนต์หลวงพ่อมาให้ ๑ ขวด อีกรูปนึ่งมาเตือนสติว่า “โยมทำใจดีๆนะ ให้รับไปรักษาตัวจะได้หายเร็วๆนะโยมนะ” ลูกชายก็ปลอบว่า “กลับไปรักษาที่กรุงเทพฯ ตามที่หลวงพ่อสั่ง แม่อย่าดื้อกับหลวงพ่อนะ หลวงพ่อสั่งลูกให้พาแม่ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลยนะแม่นะ” ทั้งพ่อทั้งลูกอ้อนวอนกันหลายยกจะไม่ยอมกลับท่าเดียว ส่วนลูกสาวใจไม่ดีเอาแต่ร้องไห้ จนสุดท้ายรั้งกันไปขึ้นรถจนได้ ทุกคนค่อยโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

ขึ้นรถแล้วดิฉันหันไปไหว้พระพุทธรูปหน้ากุฎิของหลวงพ่อและอธิษฐานขอให้พระคุ้มครองและขอบารมีหลวงพ่อจรัญได้แผ่เมตตาให้ดิฉันและครอบครัวกลับถึงกรุงเทพฯโดยปลอดภัยและแล้วสมดังคำอธิษฐานทันที เพราะพอรถเคลื่อนออกจากวัดดิฉันรู้สึกเย็นสบาย ตรงศีรษะมีลมเย็นเป่าอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เคลิ้มกำลังจะหลับจะมีเสียงปลุก (ซึ่งคนอื่นๆภายในรถไม่ได้ยิน เมื่อสอบถามภายหลัง) ดังกุกๆ

รถจากวัดอัมพวันเข้ากรุงเทพฯ โชคดีขากลับรถไม่ติดและดิฉันไม่ละพยายามที่จะสวดบทพระพุทธคุณให้ครบตามตั้งใจ เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่ถอนจากสมาธิตั้งแต่คืนวันที่ ๒๔ มิถุนายน จนขณะนั้นเวลาเลย ๑๔ นาฬิกาของวันที่ ๒๕ มิถุนายน แม้จะพยายามกี่เที่ยวดิฉันก็ทำไม่สำเร็จจนกระทั่งลูกชายขับรถเข้าฝั่งธนฯ นั่งมองๆข้างทาง ถามลูกชายว่า “จะพาแม่ไปโรงพยาบาลไหน” พ่อตอบแทนว่า “ไปโรงพยาบาลธนบุรีไงแม่” ดิฉันก็เงียบจนรถจอดสนิทที่หน้าห้องฉุกเฉิน สามีกับลูกสาวขนาบข้างพาดิฉันไปห้องตรวจ

ที่โรงพยาบาลธนบุรีมีเหตุการณ์ประหลาดอีก เพาะขณะที่นั่งรอพบหมอ ดิฉันมองพยาบาล และผู้คนที่ขวักไขว่บางคน ไม่ใช่คนธรรมดา เหมือนเทพ เหมือนเทพธิดา ดูโทรทัศน์ภาพที่เกิดในจอเป็นเรื่องราวสมัยก่อน ฟังแล้วจับความไม่ค่อยได้ จนกระทั่งพยาบาลมาเรียกให้เข้าไปพบหมอก็อีกนั่นแหละเพราะไม่ใช่หมอทั่วไป ดิฉันเห็นเป็นเทพ จนกระทั่งหมอสั่งให้เป็นคนไข้ใน สามีและลูกๆเลือกให้อยู่ห้อง V.I.P. โดยให้เหตุผลว่าเมื่อป่วยก็ควรรักษาตัวในที่ที่น่าอยู่และสบายที่สุดจะได้หายเร็วๆ คงจะถูกของเขา และตอนนั้นเมื่อขึ้นนอนบนเตียงคนไข้แล้ว ดิฉันไม่รับรู้อะไรแล้ว เพราะกำลังจะไปท่องแดนมหัศจรรย์ดังนี้ค่ะ

ดิฉันรู้สึกว่าขณะนั้นกำลังต่อสู้กับความตาย เพราะรู้สึกว่าจิตมันวูบลงๆ ดิ่งลงไปๆอย่างรวดเร็วขึ้นจนหายใจไม่ออก ได้ยินเสียงรองเท้าจำนวนยี่สิบสามสิบคู่ดังกุกๆ กักๆ จนสับสนไปหมด เสียงถี่ขึ้นๆ และซ้อนๆกัน เสียงบุรุษพยาบาลเข็นเตียงดังกึกก้อง เสียงหมอ พยาบาล ผู้ช่วยหมอ พยาบาล ผู้ช่วยหมอกำลังช่วยชีวิตของดิฉัน ตะโกนสั่งงานยกตัวดิฉันขึ้นเตียง และเหมือนสลบไป เงียบไปสักครู่ ได้ยินเสียงหมอเข้ามาดูน้ำเกลือ มาจับชีพจน พยาบาลบอกว่าหมดหวัง กำลังจะสิ้นแล้ว ได้ยินเสียงลูกสาวร้องไห้ ส่วนลูกชายกับพ่อเขาก็สะอื้น อยากจะบอกว่ายังไม่เป็นอะไร ก็ไม่อาจเปล่งเสียงได้ และแล้วเหมือนวิญญาณหลุดออกไปจากร่าง ล่องลอยไปไกล ระหว่างทางเห็นภาพต่างๆผ่านไปรวดเร็วมากเหมือนฉายภาพยนตร์อย่างเร็วๆดิฉันพบหลายคนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก เห็นแม่บุญธรรม (ท่านเสียไปเมื่อปีกลาย) ได้ยินเสียงตะโกนว่าหายเร็วๆนะลูก ดิฉันไม่ทันรับคำก็ผ่านไป เห็นครูบาอาจารย์ และท่านอื่นให้พรและขอบใจที่ทำบุญไปให้ ทุกภาพเร็วมากแทบจะดูไม่ทัน (แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นที่ไม่ดีเลย ดิฉันเข้าใจว่าหลวงพ่อคงไม่ต้องการให้เห็นมากกว่า เกรงว่าจะทำให้จิตใจเศร้าหมอง เพราะกำลังป่วยอยู่) และแล้วตัวดิฉันก็กลับมาที่โรงพยาบาลธนบุรีอีกครั้ง คราวนี้มีการจัดงานศพ มีเสียงพระสวดอภิธรรม มีการเลี้ยงพระ เลี้ยงคนที่มาในงาน เห็นลูกสาวคนโตกลับมากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น จะบอกว่าแม่ยังไม่ตายก็พูดไม่ได้

จนถึงวาระที่จะเผาศพ เขาจับตัวดิฉันใส่ในเตาเผา ยังไม่อยากถูกเผาเพราะยังไม่ตาย ก็รวบรวมกำลังทั้งหมดจับประตูเตาเผาไว้แน่น และโวยวายเล็กน้อย (ตอนหลังสามีเล่าให้ฟังว่าไปจับมือพยาบาลไว้แน่นตอนเขาจะพิมพ์นิ้วหัวแม่มือเพื่อรับรองการรักษาในโรงพยาบาล) และค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นเล็กน้อย มองไปทางขวามือเห็นเทพธิดาพยาบาลกำลังนั่งเฝ้าและแผ่เมตตาให้อยู่ มองไปที่ด้านหัวเตียงเห็นสามีดูด้วยความห่วงใย มองปลายเตียงเห็นลูกสาวลูกชายและหลานชายดูแลอาการอยู่ ขณะนั้นจะเป็นเวลาเท่าไรก็เหลือจะเดา ลูกชายมาจับตัวถามว่า “แม่หิวไหม กินข้าวหน่อยนะเดี๋ยวเขาจะมาเก็บสำรับ” จึงรู้ว่าเย็นมากแล้ว ลูกสาวป้อนข้าวให้เคี้ยวๆไปหน่อยหนึ่ง กลืนไม่ลงเพราะเจ็บคอมาก ดูตัวเองแล้วเห็นสายระโยงระยางเต็มไปหมด ก็คิดว่าเรายังไม่ตาย ยังไม่ถูกเผาหลานชายก็คะยั้นคะยอให้ดื่มโน่นดื่มนี่บ้างในตอนกลางคืนค่อยมีแรงขึ้น ดิฉันหลับตาต่อแต่ก็ไม่หลับ หัวหูมึนไปหมดแต่อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่รู้สึกตัว พบว่าลมเย็นที่เป่าอยู่ที่ศีรษะ คงมีอยู่ตลอดเวลา ดิฉันทราบว่าหลวงพ่อแผ่เมตตามารักษาคุ้มครองดิฉันตลอดระยะทางที่ไปโรงพยาบาลและตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล แม้ท่านจะไม่รับรักษาที่วัดก็ตาม

และคืนวันที่ ๒๕ มิถุนายน เวลาประมาณเลยเที่ยงคืนไปไม่กี่นาที ขณะที่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยและอาจเผลอหลับไป เป็นโอกาสให้ดิฉันสวดมนต์จบและสวดพระพุทธคุณได้ครบ ๕๘ จบ ดิฉันก็รู้สึกตัวทันที่ว่าตัวเองหลุดพ้น และถอนจากสมาธิได้จริงๆ คือรู้สติและสามารถพูดได้อย่างปกติ ไม่ทำอะไรต่อต้าน หรือคิดต่อต้านคำพูดของใครอีก ถามว่าหิวก็จะบอกตรงตามความเป็นจริง เมื่อลูกชายตื่นขึ้นมาจับตัวดู ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” ก็บอกว่า “ดีแล้ว รู้สึกตัวแล้ว” ดูสีหน้าลูกเห็นเขาโล่งใจ ดิฉันเองหลับสนิทจนรุ่งเช้า

รักษาตัวอยู่ครั้งนี้เป็นเวลา ๗ วัน ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณพระราชสุทธิญาณมงคล ที่ได้กรุณาแผ่เมตตาส่งบารมีมาคุ้มครองให้ได้มีชีวิตอยู่อย่างปกติ หากไม่ได้บารมีหลวงพ่อแล้วดิฉันอาจกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปเสียแล้ว และไม่มีโอกาสมาเขียนเรื่องให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องประหลาดนี้

ปราณี จันทรัตน์
๖๖/๔๑ ถนนพระปิ่นเกล้า-นครชัยศรี
แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน
กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๗๐
โทร.๘๘๔๐๑๐๕,๘๘๔๐๑๐๖