ธรรมะวันพระ

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

วันนี้เป็นวันธรรมสวนะ แรม ๘ ค่ำเดือน ๔ ปีระกา ยังไม่ได้เปลี่ยนปีไปต้องสิ้นเดือนตรุษเสียก่อน ถึงจะเปลี่ยนปีไป ของวันเดือนปีผู้เกิดเดือน ๕ เป็นเดือน ๑ แต่สากลนิยมก็ ๑ มกราคม เปลี่ยนเป็นพุทธศักราช แต่ชวด ฉลู ขาล เถาะนี้ ๑๒ ราศีไปเปลี่ยนเอาเดือน ๔ สิ้นเดือนแปลว่าตรุษไปเปลี่ยนเอาขึ้นค่ำเดือน ๕ ถือหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเดือน ๕ เป็นเดือน ๑ เดือน ๔ เป็นการสิ้นปีที่เราทำบุญตรุษกันนั่นเอง คือสิ้นปีสิ้นเดือนของปีแล้ว ก็มาบำเพ็ญกุศลทำบุญตรุษกัน นี่ก็ใกล้เข้าไปแล้ว ใกล้จะสิ้นปีอีกแล้ว แต่สิ้น พ.ศ. นั่นน่ะ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ทีทผ่านแล้ว มันก็สิ้นแต่ พ.ศ. แต่ปี ๓๖ ที่จากปีระกามันก็ยังค้างอยู่ ก็ไปสิ้นเอาเดือน ๔ คือสิ้นเดือนนี้ ถึงจะเปลี่ยนจากระกาเป็นวอกต่อไป ถ้าใครเกิดก็ควรจะจดให้มันถูกต้อง มาคิดตามจะบวชมันก็ได้ง่ายขึ้น บางคนก็จดผิดมาเลย จดผิดจดถูกมาสับสนอลหม่านกันมากมาย และจะคิดกาลวันเดือนปีก็ยากอยู่

แต่วันนี้ก็เป็นวันธรรมสวนะ เป็นวันที่โยมมาฟังธรรมะมาฟังเทศน์ มาแสวงหาพระในวันธรรมสวนะ จึงต้องพร้อมเพียงกัน ต้องมาลงหมด ใครมาอยู่กรรมฐานที่ไหนต้องมาลงหมด ถึงได้รู้ว่าใครมาบ้างเท่าไรจะได้แผ่เมตตาให้ จะสอบอารมณ์ให้ ดูหน้าดูตาก่อนว่าทำได้แค่ไหน ถึงจะรู้เรื่องกันมาอยู่ร่วมกันวัดเดียวกันไม่รู้เรื่องกันได้ยังไง อย่างนี้ถือมากเป็นกรณีพิเศษด้วย เวลามาอยู่นี่เป็นเวาลา ๓๗ ปีแล้ว ก็ทำอย่างนี้ตลอดมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง วันพระมารวมกันหมด ฟังเทศน์ ฟังธรรม หยุดกิจกรรมอื่นหมด ถ้าวันหลังจากวันพระไปแล้วถึงจะเคร่องเครียดในการทำกรรมฐาน ถ้าวันพระหย่อนลงมาให้หยุด มาฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังเรื่องกรรมฐานสงสัยถามในการทำกรรมฐานอย่างนั้นต่างหาก แล้วอยู่ตามห้องกันไม่ต้องสอบอารมณ์ ใครไปสอบในห้อง ก็ยากอยู่ แต่ก็มาขึ้นกรรมฐาน มาตั้งสัจจะใหม่ จะได้ผล จะได้รู้ว่าองค์นี้มาจากไหน คนนี้มาจากไหน อยู่ที่ไหน อย่างไร จะได้รู้เข้าใจ บางคนผิดตั้งแต่ออกแขกแล้วก็ลิเกผิดเรื่องแล้ว เล่นจึงเอาดีไม่ได้ ดีไม่ได้ด้วยและได้ก็ไม่ดีด้วย ก็ขอฝากญาติโยมไว้ วันนี้เป็นวันฟังธรรมะ ธรรมบรรยาย จะพูดถึงเรื่องข้อต้นๆที่โยมมาใหม่ยังสงสัยทำไม่ได้ มาหลายเที่ยวแล้วก็ทำไม่ได้ เพราะว่าทำไม่จริง ทำไม่ได้ประโยชน์ เก็บอารมณ์ไม่ได้ ระงับใจไม่ได้ ตั้งสติไว้ไม่ได้ มันจึงไม่ได้ผล ไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด โปรดตั้งใจฟังธรรมบรรยายเกี่ยวกับกรรมฐานเบื้องต้นที่ท่านสนใจ โปรดตั้งใจฟังสืบไป ณ โอกาสบัดนี้

ขอเจริญพร…ทุกๆท่าน เรามาเจริญธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ ต้องอดทนนะ แต่ก่อนนี้อาตมากไม่เข้าใจเลย ไปทำธรรมกายหลวงพ่อสด ๖ เดือนไม่ได้เลย ไปได้ในรถ ไปได้ตอนเวทนา พอผ่านเวทนาได้ ได้แสงธรรมกายทันที อ๋อ…ได้เพราะอดทน เพราะฝืนใจ ถึงจะได้เจอธรรมมะ สมัยก่อน ๒๔๙๓ หรือ ๒๔๙๔ สองปีนี่แหละ ก็จำละเอียดไม่ได้ ไปอยู่วัดปากน้ำมา ๖ เดือนเต็ม ๖ เดือนไม่ได้อะไรเลย สัมมา อะระหัง ผู้หญิงซ้ายชายขวา เราก็สอนไว้ด้วย เพราะเราได้ธรรมกายมา เลยก็ไปได้ในรถเมล์ ต้องยืนขาสั่นพั่บๆๆๆเลยก็นั่งเจริญกุศลภาวนา บำเพ็ญจิตภาวนา มันได้ตอนเวทนานั่นเอง ขอฝากญาติโยมไว้เป็นข้อหนึ่ง สอง รู้กฎแห่งกรรมจากตัวเวทนา ไม่งั้นทำอีกหมื่นปีก็ไม่รู้ว่ากฎแห่งกรรมได้อะไร จะไม่ได้อะไรเลย ว่างไปว่างมานะ ตั้งใจจะไปสวรรค์ ไปนิพพนาน มันจะผิดหวังนะ นี่ตรงนี้ ต้องจี้ตรงนี้ก่อน บางคนทำไม่ได้ ทำคืนยังรุ่งเลย ไม่ได้อะไรเลย คืนยันรุ่งวันยันค่ำไม่ต้องกินเลยก็ได้ และไม่ได้อะไรเลย เพราะทำไม่ถูกต้องทำไม่มีจังหวะ ยืน… และไปเดิน… และมานั่ง และมานอน อิริยาบถนั้นต้องเท่ากัน ถ้าคืนยังรุ่ง นั่งคืนยังรุ่งก็ไม่นั่งก็ไม่นอนก็ไม่ไปเดินที่ไหน รับรองอีกร้อยปีก็ไม่ได้อะไรนะ คิดว่าต้องดีแน่ ดีได้ที่ไหน ไม่ได้อะไรเลย ต้องมัชฌิมาปฏิปทาปานกลาง ขอฝากไว้ อย่าให้มันตึงเกินไป มันจะขาด อย่าให้มันหย่อยเกินไป จิตมันจะเพิดพลาดแล้วมันก็เสียงไม่เพราะ

คำว่ามัชฌิมาปฏิปทาปานกลางนั่นคือ มรรคมีองค์ ๘ ทำความเข้าใจอย่างนั้น ถ้ามีมรรคมีองค์ ๘ มันจะมัชฌิมาปานกลาง ไม่ตึงไม่หย่อน เหมาะสม คำว่า ปานกลางคือเหมาะสม ตีความอย่างนั้นซิ ถ้าโยมไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดวินัย แต่ทำตัวไม่เหมาะสมมันเสียหายร้ายแรง แต่กฎหมายก็ทำโทษไม่ได้ วินัยทำโทษไม่ได้ก็จริง แต่ตัวเองไม่เหมาะสมเข้ากับใครเขาไม่ได้ ตรงนี้เสียหายมาก จะทำอะไรไม่สำเร็จ ทำอะไรไม่สำเร็จแน่นอน คิดว่าตัวดี ก็ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น บางคนทำไม่ได้ ให้สอนกัน สอนก็ไม่ถูกอีก นี่อย่างนี้เป็นต้น จะหย่อนเกินไปหรือก็ไม่ใช่ จำตึงเกินไปหรือก็ไม่ใช่ เพราะไม่รู้เรื่องทำไปก็ไม่รู้ราว ทำโดยไม่เข้าใจ ไม่รู้จักวาระจิต ไม่รู้จักวาระกฎแห่งกรรมของเขา ควรจะแก้ตรงไหน ควรจะเติมตรงไหน ควรจะผ่อนคลายตรงไหน มันมีมากมายเหลือเกิน ไม่ใช่อย่างเดียว มันต้องเชี่ยวชาญด้วย ต้องชำนาญการด้วย ต้องค่อยเป็นค่อยไป ตามหลักสูตร ตามภาคปฏิบัติของเขา อย่างนี้เป็นต้น

บางคนก็ไม่เข้าใจ ขอฝากเน้นไว้ก่อน รู้กฎแห่งกรรมจากเวทนา คนที่ผ่านได้จะต้องผ่านเวทนา แต่อาตมาไปได้ธรรมกายบนรถแมล์ ขาสั่นพั่บๆๆ ยืน ๒-๓ ชั่วโมง แล้วสะพานพุทธมันเสีย ตอนนั้นสะพานพุทธมีเปิดปิดกันได้ ในสมัยก่อนโน้นนะ สะพานมันเสีย รถก็ต้องไปรอกันอยู่หลายชั่วโมง และหาที่นั่งไม่ได้ เราต้องใช้ยืนตลอดตั้งแต่ตลาดพลูไป ลงเรือวัดปากน้ำ ๑ บาท เรือแจว แล้วไปขึ้นตลาดพลูเพื่อขึ้นรถเมล์เข้าไปในเมืองหลวงต่อไป เลยเราก็ดีใจเพิ่งไปได้ของจริงที่รถเมล์ คือต้องอดทน รู้เวทนา บางคนนั่งนิดเดียวเลิกแล้ว มันไม่ได้อะไรเลย คิดว่าอดทนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยนะ เลยก็มานั่งหลายคราวก็แค่นั้น กลับหนักกว่าเก่าอีก เพิ่มทิฏฐิมานะอีก ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงภาวะได้ มันก็สามารถจะเข้าจุดมุ่งหมาย อันทิฏฐิเพิ่มขึ้นเลยก็ไปตำหนิเรื่องกรรมฐานเพิ่มขึ้น ว่าทำไม่ได้อะไรเลยเดี๋ยวเอาอย่างโน้นละ เดี๋ยวพุทโธอีกแล้ว เดี๋ยวอะระหังอีกแล้ว เดี๋ยวอย่างโน้นมั่งมาผสมอย่างนี้บ้าง รับรองโยมอีกหมื่นปีก็ไม่ได้ผล อย่างใดอย่างหนึ่งให้มันได้ มันก็ไม่ได้ เลยก็มาผสมกันยุ่งไป เลยเรียกกว่าแกงป่าไปเลย แกงป่าไปเลยนะ ไม่มีหลักเกณฑ์นะ ไม่มีกฎเกณฑ์วิธีการ เรียกว่า แกงป่า อาหารป่า เลยก็ไม่อร่อย อร่อยสำหรับคนป่า คนแกล้มเหล้า คนกินเหล้านี่มีชอบอาหารป่า มันจะถูกคอของคนกินเหล้าแต่คนที่ไม่ดื่มสุรายาเมาจะไม่ชอบอาหารป่า จะชอบแต่อาหารที่เป็นประโยชน์แต่ร่างกายของเขา ที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง และราคาก็ไม่แพงด้วย เลยคนประเภทนี้ของอาหารป่าคือ มาดื่มสุรายาเมา มันก็ชอบอาหารป่าอย่างนั้น นี่มันคนละอย่างกันนะ มันจะไม่เหมือนกันแต่ประการใด

การเจริญกรรมฐานต้องการเข้าถึงพระพุทธเจ้า ต้องการจะเข้าถึงพระธรรมต้องการจะเข้าถึงพระสงฆ์องค์พระสาวก ถ้าคนมาทำทานสังฆทานอย่างนี้แล้วก็กลับไป แล้วก็มาถวายสังฆทานอีก มันไม่ถึงพระรัตนตรัย เข้าไม่ถึงพระพุทธศาสนาเลย เพียงแต่นับถือแบบปลอมรู้แต่ตำรับตำรา รู้แต่วิชาการของหลักศาสนาเท่านั้น แต่จิตใจไม่ถึงพระพุทธเจ้า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เจริญกุศลภาวนา และปฏิบัติกรรมฐานนี้ ต้องการให้จิตเข้าถึงพระพุทธเจ้ามาประทับไว้ที่ใจ ต้องการจะถึงพระธรรมที่เราปฏิบัติธรรมอยู่นั้น มีธรรมะประจำจิตประจำใจ ให้มีธรรมมะประจำจิต นั่นแหละให้มันถึงพระธรรม ปฏิบัติกรรมฐานต้องมีระบบ มีแบบ มีแผน ทำอะไรก็มีแปลน และความขยันหมั่นเพียร คือ รัตนตรัยแห่งพระสงฆ์ ผู้ประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว เป็นสุปฏิปันโน สอนคนอื่นได้อย่างดี พฤติกรรมแสดงออกให้คนอื่นเค้าเห็นได้ชัดเจน เค้าจะเห็นว่ารูปร่างสวย จิตใจก็รวยมีเมตตาจิตใจก็ปรารถนาดี มีแต่การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้ออารีต่อกันนั้นคือ รัตนตรัย แต่คนที่นั่งกรรมฐานได้ อาตมาไม่เชื่อหรอก ขี้เกียจไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเอาเหนือเอาใต้เลย ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่นักกรรมฐาน ปฏิบัติไม่ถึงรัตนตรัยเข้าถึงพระพุทธศาสนาไม่ได้ จะเป็นพระสงฆ์ องค์เณร องค์ชี ที่ไหนก็ตาม ถ้าเข้าถึงพระศาสนาด้วยกรรมฐาน ขยันไม่พักจะรับผิดชอบมากขึ้น จะรับผิดชอบมากขึ้น

คนที่เข้าถึงพระธรรมรัตนตรัยแล้ว หนึ่ง อยากจะศึกษาหาความรู้ต่อไป สอง ต้องการจะปฏิบัติให้ถึงขั้น ดันให้ถึงที่ ทำความดีถึงขั้น นี่ต้องการตรงนั้น สาม ต้องการปฏิสังขรณ์ มีอะไรหลุดตรงไหนในบ้านเรา หรือที่ไหนก็ส่วนรวม จะต้องปฏิสังขรณ์ ดูตรงนี้ซิ ถ้าไปว่าองค์นี้สำเร็จ องค์นั้นเป็นอาจารย์ ไม่เห็นทำตามข้อนี้ รับรองไม่ใช่ ได้แต่ตำราแต่ทำไม่ได้ ไม่มีคุณธรรม จะต้องปฏิบัติสังขรณ์ ปฏิสังขรณ์แล้วยังไม่พอ มีการปฏิสันถารด้วย มีการต้อนรับขับสู้ดูพองามมันจะเกิดตามสันดานของบุคคลได้กรรมฐาน อีกประการที่สี่เล่า จะมีปฏิภาณไหวพริบ แก้ปัญหาชีวิตในครอบครัวได้แถมจะแก้ปัญหาชีวิตนอกประเด็นนั้นได้ ถึงจะเรียกได้ว่า ได้กรรมฐานเบื้องต้น แต่ไม่สำเร็จนะ แต่ว่าได้กรรมฐานไว้ในใจปฏิบัติตลอดไปอย่างนี้เป็นต้น

บางคนก็ไม่ได้ผล ไม่ได้อะไรเลย ไม่อยากจะเรียนต่อ ไม่อยากจะเรียนให้รู้ ไม่อยากจะดูให้จำ จะเป็นใครก็ตามถ้าเข้าหลักนี้ อยากเรียน อยากแสวงหาความรู้ต่อไป อีกประการที่สองปฏิบัติโดยต่อเนื่อง ปฏิบัติกรรมฐานโดยต่อเนื่องมีอารมณ์กรรมฐานตลอดเวลากาล ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ คือ พองหนอ ยุบหนอ อยู่แล้ว ก็มีสติติดตามไปเท่านั้น มันจะบอกออกมาชัดเจน จะปฏิสังขรณ์ เราจะอยู่บ้านหรืออยู่รถ น็อตมันจะหลุดมันก็ต้องซ่อม นี่เห็นไหมนี่คนมีคุณธรรม ส่วนคนที่ไร้คุณธรรมมันจะมักง่ายมักได้ อยู่บ้านบ้านหน้าต่างหลุดไปแล้ว กลอนหลุดไปแล้วมันยังอยู่ได้ ฝนก็รั่ว รั่วตรงนี้ มันก็เลื่อนไปตรงโน้น พอรั่วตรงโน้นมันก็เลื่อนไปที่อื่นต่อไป เลยรั่วหมดบ้านเลยไม่ต้องอยู่เลยทิ้งบ้านไปเลยนะ คนประเภทนี้ไม่ใช่นักกรรมฐาน ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีธรรมะ จะอยู่โบสถ์หรือศาลารั่วก็ช่างมันประไรเล่า ข้าไม่ต้องซ่อม ถ้าคนมีคุณธรรมอยากจะซ่อมอยากจะปฏิสังขรณ์ก่อนอยากไปทำให้มีสวยงาม อยากจะทำให้เรียบร้อย นี่ดูตรงนี่นะ ดูตรงนี้ได้ผล นี่ปฏิสังขรณ์ แล้วก็คนนั้นก็อยากจะปฏิสันถาร ใครจะไปมาหาสู่ก็รับประทานอาหาร ช่วยเหลือกัน อีกประการที่สี่ปฏิภาณไหวพริบ กรรมฐานนั่นเป็นคนมีไหวพริบดี คล่องตัวดี ไปไหนคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็ว ถูกต้อง เป็นธรรม ใจก็ซื่อ มือก็สะอาด ทำอะไรเฉียบขาดเป็นธรรม นี่คือกรรมฐาน มีไหวพริบดี แก้ไขปัญหาให้ลูกได้ แก้ไขปัญหาในครอบครัวได้ สามีแก้ไขปัญหาให้ภรรยาได้ ภรรยาให้เกียรติสามีเพิ่มขึ้น ก็แก้ไขปัญหาให้สามีได้ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมประจำจิต ร่วมปฏิสังขรณ์ในบ้านของตนในครอบครัวให้รุ่งเรือง เจริญวัฒนาสถาพร นี่คือกรรมฐาน จะเป็นประโยชน์มาก ถ้าคนขี้เกียจนั่งหลับตาไม่เอาไหน รับรองไม่ใช่กรรมฐานตามคำสอนพระพุทธเจ้า นั่งคืนยันรุ่งเลย ไม่ได้อะไรเลย นั่งหลับหูหลับตาจะไปสวรรค์ตะบัน จะไปนิพพานก็มนุษย์สมบัติก็ไม่มี บ้านก็รั่ว บ้านก็จะพังแล้ว ไม่ได้ดูบ้านเลยนะ สังขารก็ไม่ดี สุขภาพก็ไม่ดี เป็นโรคมะเร็งแล้ว และยังจะไปนั่งตรงนั่นแหละ ต้องปฏิสังขรณ์ คือ ปฏิสันถาร คือ กรรมฐานปฏิภาณ ตั้งสติไว้เดี๋ยวโรคมันก็หาย เพราะเราเป็นรังเชื้อโรคให้อาศัย โรคอาศัยตัวเราใช่ไหม เรายังหนุ่มยังสาวยังมองไม่เห็นนะ พอหมดกำลังวังชา เฒ่าชะแรแก่ชราโรคมันจะแทรกซ้อน จะตายไวขึ้นมา นี่อยู่ตรงนี้แต่ใจเราเข้มแข็ง มีกำหนดจติ มีสติสัมปชัญญะ โรคก็หนีไปได้นะโรคกายก็หายโรคใจก็ไม่มี ท่านจะมีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญในชีวิตของท่าน ในครอบครัวอย่างดียิ่ง จะไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่สร้างปัญหาอีกต่อไปแล้ว อย่างนี้ซิ เราสังเกตพระก็ได้ สังเกตพระ องค์ไหนมีคุณธรรม ท่านจะทำกิจวัตรไม่พัก จะไม่ขาดเลยในการสวดมนต์ไหว้พระ อนุโมทนาจะไม่ขาด จะออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจนแล้ว นี่ดูตรงนี้อย่างหนึ่งไม่ต้องไปว่าอะไรหรอก ดูตรงนี้

ถ้าโยมมาเจริญกรรมฐาน เดินจงกรมได้สติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายยืน กายเดิน กายนั่ง กายนอน กำหนดจิตมีสติไว้ในการฝึก เดินให้ช้า ไปไหนก็เดินจงกรมไปด้วย อย่างให้มันเสียเวลา อย่างให้เวลาเป็นหมันเลย จะเดินไปไหนก็เดินอย่างเร็วๆ แล้วเวลาจะมานั่งฝึกก็เดินช้า อย่างนี้น่าเสียเวลา ตอนเดินไปห้องน้ำก็เดินจงกรมไปด้วยไม่ได้หรือ ตั้งสติเก็บหน่วยกิตเข้าใจเครื่องคอมพิวเตอร์ไปด้วย รับรองหน่วยกิตก็จะเต็มที่ จะได้ความดีในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วความดีก็จะประทับ บันทึกที่เสียง บันทึกจิตใจไว้เป็นตัวหนังสือ ในลมหายใจเข้าออกของโยม จะได้ประโยชน์มากตรงนี้น่าทำมาก ขอฝากไว้ น่าทำนะ แต่แล้วก็ไม่ทำ มัวไปเดินกรีดกรายกัน โยมจะเสียอารมณ์นะ อารมณ์มันเสียไปแล้วก็จะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เหมือนตุ่มใส่น้ำ ไปเหนื่อยเปล่าแล้วตุ่มมันรั่ว น้ำมันก็ไหลรั่วจากตุ่มไป และน้ำก็จะไม่เหลืออยู่แล้วทำอะไรก็จะไม่ได้ผล จะไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใดนี่อย่างนี้

กายานุปัสสนาสติปัฏฐานข้อหนึ่ง ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถเหลียวซ้ายแลขวา นั่นคือรูป เรียกว่ากาย แปลว่ารูป รูปน่ะแปลว่า ผันแปรกลับกลอกหลอกลวงได้ โยกย้ายแล้วคลอนแคลนได้ ต้องตั้งสติไว้ที่รูปนั้น รูปนั้นจะเป็นรูปอะไร รูปออกเดิน รูปคู้แขนเหยียดขา เราก็ตั้งสติไว้ เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นผลงานให้เรามีสติในการยักย้าย โยกคลอน ในการเปลี่ยนแปลงภาวะ เรียกว่า ตัวนาม แห่งการกำหนดจิต มีทั้งรูป มีทั้งนาม กายจะเดินหรือกายจะนั่ง มีสติไหม มี ผูกไว้ที่จิต กำหนดรู้ นั่นคือตัวนามแปรสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตให้มีปัญญาให้เกินขึ้นแก่ตัวเอง นี่ถึงจะเรียกว่ากรรมฐาน ไม่ใช่นึกจะวิ่งก็วิ่ง นึกจะเดินก็เดิน ไม่มีกำหนดจิต โยมอีกร้อยปีก็ไม่ได้ผล มาฝึกก็ไม่ได้ผลเอามาใช้เป็นกิจประจำวันได้ทุกวัน เพราะจิตมันต้องคิดอยู่แล้ว จิตมันต้องยักย้ายในเรื่องสภาวรูป จิตมันก็ต้องกำหนดจิต ให้กายเคลื่อนย้าย จิตมันเป็นหัวหน้า จิตมันต้องกำหนด ให้กายเคลื่อนย้าย จิตมันเป็นหัวหน้า จิตมันเป็นการนำกายนั้นก็ทำตามจิตที่สั่ง ถ้าจิตมันไม่ดี ขาดสติ มันก็สั่งไม่ดีกายก็เคลื่อนย้ายไม่มีมารยาทขาดศีล ขาดปกติไป ไม่สวยไม่น่ารักแต่ประการใด แล้วเราก็ยืนหนอ… ๕ ครั้ง นี้ ก็ คือ กายานุปัสสนา มีทั้งรูปทั้งนาม ยืน… หนอ… อะไรยืน รูปยืน กายยืน สติมันบอกกับจิตว่า ยืนอย่างนี้ มโนภาพเรียกว่านาม ถ้าเรามีสัมปชัญญะร่วมด้วย ความรู้ที่สติมันมีกับจิตตามทันเมื่อใด ตามจิตทันเมื่อใดเรียกว่า นามธรรม ถ้าไม่มีสติตามจิตได้ จะเรียกว่านามเฉยๆเท่านั้น จะเรียกว่าธรรมะด้วยไม่ได้

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตไว้ได้ มันจะไม่ออกไปนอกขอบเขตนี้แล้ว เรียกว่า นามธรรม รูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์อยู่ขณะยืนหนอ… ๕ ครั้ง นี่ซิตรงนี้ทำให้ได้ซิบางคนนี้อาตมาถามดู ทำไม่ได้เลยหรือ ไปเอาสวรรค์นิพพานอะไรกัน ตรงนี้ยังทำไม่ได้เลย สติมันจะอยู่กับจิต ถ้าอยู่ไม่ได้ โยมจะแยกรูปแยกนามไม่ได้ จะไม่ได้ผล และไหนล่ะจะไปได้ญาณ ๑๖ แค่ญาณเบื้องต้นยังทำไม่ได้แล้ว แยกรูปแยกนามไม่ได้ ถามว่า ยืนหนอ… อะไรยืน อะไรกำหนด รูปอยู่ตรงไหน นามอยู่ตรงไหน จะตอบกันไม่ถูกนะ จะตอบไม่ถูกเพราะทำไม่ได้ ถ้าทำได้ โยมจะตอบถูกเป็นเสียเดียวกันหมด อ๋อ นามนี่คือจิต มันคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เป็นเวลานาน เหมือนเทปบันทึกเสียง นี่แหละจิต แต่ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีความรู้ เรียกว่า จิตนามเฉยๆ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวรู้ทั่ว รู้กิริยามารยาทของเรา แสดงออกดีหรือชั่ว มันเรียกว่า นามธรรม มีธรรมะประจำ นามคือจิต เข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงพระพุทธเจ้า ตรงนี้แหละนอกเหนือจากนั้นจะเข้าไม่ถึงเลยนะ จะไม่ได้อะไร เดี๋ยวจะว่า ญาณฉันขึ้นหรือยัง แม่ชีญาณขึ้นหรือยัง ท่านจะผิดหวังกลับไปบ้านอย่างน่าใจหาย จะไม่ได้อะไรเลย เอาไปทำตลอดชีวิตนะ

กลับไปบ้านก็กำหนดอย่างนี้แหละ จะเดินจะเหินไปไหนก็สติมี รับรองมีนามธรรม มีรูปธรรม เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ในครอบครัวมาก ไม่ไปสู่อบาย นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คงไม่เกินในภูมินั้นแน่ เพราะเรามีสติสัมปชัญญะอยู่ พองหนอ…ยุบหนอ… หายใจเข้าท้องก็พอง หายใจออกก็ต้องยุบ บางคนเอาไปรวมไว้ที่ลิ้นปี่ได้หรือ คนละเรื่องกันนี้ทำผิดอีกนี่ ทำผิดมาอีกแล้ว พองหนอ ยุบหนอ มันพองอยู่ตรงไหน ก็กำหนดตรงนั้น ถ้าหากว่ามัน งูบมากมาย แก้ไม่หาย ทำไงก็แก้ไม่ได้ มันงูบเรื่อย ถีนมินธะเข้าครอบงำ ก็กดลงไปใต้สะดือ ๒ นิ้ว กำหนดรู้หนอ… รู้ที่ใต้สะดือโน่น มันถึงจะหาย คิดทั่วไปหรือโกรธนี่ ที่ลิ้นปี่ นี่คนละเรื่องกันบางคนฟังผิด ไปเลยพองหนออยู่ที่ลิ้นปี่นั่นเอง พองหนอ…ยุบหนอ… มันอยู่ตรงนั้นเมื่อไร มันอยู่ที่ท้องนะ มันอยู่ที่ท้องนะ ทำให้มันถูกต้องหน่อย ทำอะไรอย่างทำโดยสงสัยนะ และโยมจะไม่ได้อะไรขึ้นมา จะเสียเวลากาลที่มานั่งกรรมฐานกันอย่างนี้เป็นต้น

ถ้ามันสั่นไม่หาย ถ้ามันประหงกไม่หาย โงกหน้าโงกหลัง เดี๋ยวประหงกตรงนั้น เดี๋ยวขนลุกขนพองสยองเกล้าไม่หาย แก้ยังไง กำหนดตัวตรงรู้หนอ เอาจิตปักไว้ใต้สะดือ ๒ นิ้ว ปักแล้วกดลึกๆ       รับรองหยุดทันที ไม่ใช่ลิ้นปี่แล้ว มันคนละเรื่องกัน ถ้ากดลงไปได้นะ บางทีคน พองหนอยุบหนอมันก็ลงไปเรื่อยเลย จนศีรษะลงพื้นไปเลย ลงพื้นไปเลย ต้องแก้ ต้องตั้งตัวตรงกำหนด รู้หนอ… รู้หนอ… รู้หนอ… ไม่หายเหรอ ถ้ากำหนดลิ้นปี่ไม่หาย กดไปใต้สะดือเลย รู้หนอกำหนดแรงๆจะหายทันที จะไม่งูบอีกต่อไป พองหนอยุบหนอ พองูบไปแล้วเห็นแสงเห็นสี คิดว่าสำเร็จแล้ว สำเร็จพระโสดาแล้ว อะไรกันนักหนา แค่งูบไปหน่อยก็สำเร็จกันหมดทุกคนน่ะซิ ที่งูบไปน่ะมีเหตุ ๒ อย่าง งูบไปด้วยแรงสมาธิหนึ่ง สมาธิขาดสติมันจะงูบลงแรง สัปหงกโงกลงไปเลยนี่ สมาธิดี ขาดสติ หรืออีกนัยหนึ่งงูบไปตอนไหน งูบไปตอนหลับ มันหลับถึงจะงูบหรอก บางคนนั่งน้ำลายไหลยืดเลย พองหนอ… ยุบหนอ… น้ำลายไหลยืดลงไปเลย แล้วก็ก้มลงไปเรื่อยเลย ญาณขึ้นแล้ว ครูเค้าบอก ครูเค้าบอกญาณขึ้นแล้ว ยายคนนี้ญาณขึ้นแล้ว ก้มน้ำลายลงไปกองที่กระดานเลย แล้วก็ไปสะกิดขึ้นมา อ้อ รู้หนอๆ โอ้โฮ ครูว่าไง บอกญาณมาแล้ว ได้สำเร็จธรรมวิเศษแล้ว มันจะมากไป นั่งหลับแท้ๆ บางคนขวาอย่างหนอ ซ้ายย่างหนอไป ยืนหลับแล้วยืนงูบ เป็นไง ครูเค้าถาม เลยคนนั้นบอกมันงูบเลย เห็นแสงแวบ งูบเห็นแสงแวบ โอ๊ย ได้โสดาแล้ว โสดาอะไรกันมันหลับ เดินจงกรมยังหลับเลย ขวาย่างหนอ… ซ้ายย่างหนอ… ขวาย่างหนอ… งูบลงไป บางทียืน โอ้โห ครูมาบอกอาตมาแล้ว หลวงพ่อเข้าผละไปแล้ว ยืนเข้าผละเราก็ไปตรวจดู โยม ตกใจเลย เป็นไง ฉันหลับไป! แล้วก็ฝันถึงแฟนที่บ้าน ผละอะไรล่ะ

อันนี้ไม่มีความเข้าใจในการปฏิบัติมาก จึงได้ไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ นี่หลับไปแล้วนะ ที่ว่าให้กดลงไปใต้สะดือ ๒ นิ้ว น่ะ หมายความว่า สั่น ตัวสั่น ตัวสั่น ขอพองสยองเกล้า กำหนดตรงนี้ไม่หาย ต้องถอนหายใจใหม่ พองหนอ… ยุบหนอ… มันยังสั่นอีก บางคนประนมมือจะสวดมนต์ นี่สั่นแล้ว อะไรปีติ มีสมาธิดีแต่ขาดสติ มันจะเกิดปีติ นี่ อารมณ์นี่คล้ายๆ มันบางหลือเกินนะ คนใจอ่อน อารมณ์บาง ใครกระทบอะไรไม่ได้ไปกับเค้าเลย คนประเภทนี้สตินะ ไม่มีสติยึดครองในจิตใจเลย ใจก็หวั่นไหว ใจก็เป็นครรลอง ที่อ่อนไหว ใครพูดยังไงก็เชื่อง่าย คนประเภทนี้ โง่ ขาดสติ ใจอ่อน ผีเข้าเจ้าสิงเก่ง ไม่ช้าก็ผีเข้าทรงหรอก เดี๋ยวก็ไปรับขันธ์กันหรอก รับขันธ์ห้า พระพรหมมาเข้าทรงแล้ว หนักเข้าพระอินทร์เข้าทรงเสียแล้ว โอ๊ย พระอินทร์ท่านจะลงมาทำไม ไปอยู่บนสวรรค์ไม่ดีหรือทำไมมาเข้าทรง มีที่ไหน นี่เมื่อสองวันมาที่นี่ หลวงพ่อคะ ลูกสาวฉันพระอินทร์มาเข้าแล้ว เออแน่เลยลูกสาวแกมีบุญมากนะ ถึงกับพระอินทร์มาเข้า ไม่ใช่เลย นี่แหละพวกนี้ ๖๐% นะโยม อะไร ๖๐% อะไร โรคประสาทกินนะ ๖๐% พระองพระอินทร์ที่ไหน มันจะมากไปแล้วมั้ง พวกขาดสติมาก ไปสวดภาณยักษ์ พระก็เริ่มสวด วี้ดว้าดๆ ร้องกันส่วนมากเป็นโยมผู้หญิง ใจอ่อนเลือดลมไม่ดี ลมเพลมพัด ร้องลั่นไปหมด พระก็แน่เลย พระก็เอาหญ้าคาฟาดหัวเลย แล้วเอาข่ามาไล่ ออกไปๆ พระก็เหมือนกันเลย ๖๐% เหมือนกัน ทำไม ๖๐% จะมาเอามาตีหัวเราทำไม เดี๋ยวนี้พระและฆราวาสสเป็คเดียวกัน จะมาสวดภาณยักษ์ก็ร้องโอ๊อ๊าๆ ยักษ์ร้องพวกดิ้นกันเป็นแถวหมด นั่นแหละคนลมเพลมพัด เลือดลมไม่ดี จิตใจไม่คงที่คงวาไม่มีมั่นคงในจิตใจเลย คนนี้เจ้าเข้าทรงเก่ง ผีซ้ำด้ามพลอยข้อเท็จจริงไม่ใช่เจ้าแท้หรอก มันก็เจ้าปลอม ผีก็ปลอม เรียกคนเป็นลมเพลมพัด เลือดลมไม่ดีนั่นเอง มิใช่เรื่องอื่นแต่ประการใด จิตไม่ตั้งอยู่ในความปกติจึงเป็นเช่นนั้น

ขอฝากพวกนักปฏิบัติกรรมฐานไว้ด้วย ทำอะไรทำจริงๆหน่อยได้ไหม นี่แหละถ้ามันสั่นทนไม่ไหวหรือขนลุกขนพองอยากจะโจนอยากจะหนี อย่าหนี ครูต้องควบคุมโดยใกล้ชิด กำหนดจิต แล้วก็ให้แข็งแรง ปักจิตอย่างแรงที่ใต้สะดือ ๒ นิ้ว มันจะหายสั่นทันทีนะ ต้องทำให้มันถูกเรื่องหน่อย ถ้าเวลาพองหนอ ยุบหนอ มันพองตรงไหนให้กำหนดตรงนั้นบางคนบอกว่า โยม พองหนอ ยุบหนอ ตรงไหน ตรงลิ้นปี่ตรงนี้ได้หรือ ถ้าลองหายใจยาวซิ ตรงนี้ลิ้นปี่มันพองไหมล่ะ ทำไมทำอย่างงั้นเล่า ท้องพองก็ทำที่ท้อง อย่างนั้น ถ้าหากว่ามันสั่นทนไม่ไหว ก็กดลงไปใต้สะดือ ๒ นิ้ว อยู่แน่ๆ หยุดสั่นเลยนะ ตั้งสติไว้ให้มั่นคง รับรองขนหัวลุกชันหรือสยองโดยอำนาจปีติ มันจะหายไปทันที่ สติดี ปัญญาก็เกิด คนนั้นจิตใจเข็มแข็ง มันจะได้ต่อสู้กับเหตุการณ์ต่อไปในอนาคตวันข้างหน้า อย่างนี้อย่างหนึ่ง นี่แหละ นักกรรมฐานทำให้ได้พองหนอ ยุบหนอ กับยืนหนอ ๕ ครั้งนี่ และเดินจงกรมอย่างไปหลับตา อย่างไปมองดูยาวๆ ดูที่เท้า อาตมาสอนคนดื้อเหลือเกิน และอย่างไปสอนกันไปดูโน่น ดูที่เท้าตั้งสติฝึกถ้าฝึกได้แล้วไม่ต้องไปดูที่เท้าหรอก จะไปไหนสติมันก็จะอยู่ที่เท้า ตาไปมองดูอื่นก็ได้ แต่การฝึกเบื้องต้น ขอให้เชื่อครูหน่อย ต้องเอาจิตปักไว้ที่เท้า มันจะปวดหัวไหล่ มันจะปวดคอ ก็กำหนดจิต กำหนดเวทนาก่อนให้มันได้ แล้วมันก็จะมาพร้อมกันหมด อิริยาบถต่างๆมันก็จะมาพร้อมกัน เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องกำหนด บางคนบอกว่าปวดหัว ปวดหัวมาก กำหนดหรือเปล่า… เปล่า แล้วมันจะได้เรื่องอะไรล่ะ บางทีมาอยู่ ๗ วัน บอกหลวงพ่อคะ หนูปวดหัวเต็มที่เลย ไม่หาย หนูกำหนดปวดหรือเปล่า เปล่า เหลว ไม่ได้อะไรเลย

ถ้าปวด ก็กำหนด ปวดหนอ… ปวดหนอ… ปวดหนอ… ปวดหนักก็กำหนดหนัก ไม่ต้องกินยามัน ลองมันดูซิ หนักขึ้นมันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะได้รู้ว่าปวดหัวน่ะไปเคาะหัวปลามา แล้วได้ไปทำบาปตรงไหน เดี๋ยวมันจะบอก มันปวดหัวนี่ หมดรักษาไม่ได้ คล้ายๆปวดมาตั้งแต่นานแล้ว ไม่ใช่มาปวดตอนนั่งกรรมฐาน เลยจะได้รู้เวรกรรมบ้าง ต้องรู้จักเวทนา ปวดขามากก็กำหนดไป ตั้งสติไว้ เป็นตายร้ายดีก็ตั้งสติไว้ เดี๋ยวมันจะบอกเอง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วเวทนาอาศัยรูปเกิด มันมีรูปอยู่มันจึงเป็นเวทนา สังขารปรุงแต่งมันถึงจะปวด ถ้าหากไม่มีรูปอยู่ ไม่มีกาย มักจะปวดได้ยังไงมันต้องมีกายประกอบด้วย นาม และก็ปรุงแต่งขึ้นมา มันจึงปวด เช่น นั่งอยู่เฉยๆ ไม่พลิกเลย มันก็ต้องปวดหัวเข่า ปวดก้น ปวดขา อะไรทำนองนี้เป็นต้น ตั้งสติไว้ซิ นี่มันจะต้องปรุงแต่งอย่างนี้ มันถึงปวดขึ้นมา ตั้งใจกำหนด ตั้งสติไว้ มันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป รูปนามก็จะแยกออกไปเวทนาก็แยกออกไป เราจะไม่ปวด อุปาทานก็ไม่ไปยึดอีกต่อไป อุปาทานมันยึดเป็นการศึกษาว่าปวดหนอ… ปวดหนอ… ปวดหนอ… นี่ยึด ต้องการศึกษา ต้องการจะเรียนรู้เวทนาจะได้อดทนต่อไป พอรู้จริงเข้า ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระไตรลักษณ์เกิด เรียกว่า วิปัสสนา มันจะเกิดมาแต่ภายหลัง ไม่ใช่กำหนดกันส่งเดชสองข้อๆ ปวดหนอ แล้วก็เลิกเลย ใช้ได้เหรอ ใช้ไม่ได้เลยเอาปวดท้องเป็นโรคลำไส้ กำหนดไปซิ เป็นตายร้ายดีกำหนดไป ตั้งสติ โรคปวดท้องหายไปเลย หายไปเลย จะได้รู้ว่ากรรมอะไร อะไรอย่างงี้เป็นต้น

อาตมามาปวดท้องเมื่อสมัยก่อน ๒๕๐๐ โน้น ไส้เน่าเป็นโรคลำไส้อย่างแรง หมอต้องตัดทิ้ง เราก็หนีหมอมา แล้วเราก็กินยาและก็นั่งกำหนดๆๆไปให้ตาย เลยก็หายไป โรคลำไส้หายไปเลย แล้วก็รู้สำนึกกรรมได้ เมื่อตอนเด็กไปตอนไก่ ไปจับเค้ามาได้ก็ผ่าเอาๆ เจาะข้างๆแล้วเอาไส้ตัด และเย็บ ตายหมดทั้งคอกเลย ไก่ที่บ้านอาตมา ๒๐ ตัว ไม่มีเหลือเลย แม่ด่าแหลกเลย เลยก็ไส้อีกตัวหนึ่งมันก็เน่ามาตายดิ้นแด็กๆๆๆ ไส้เราจึงเน่ามาจนบัดนี้ ขอฝากไว้ด้วยอย่างลืมกฏแห่งกรรมนะ ที่ทำอะไรไว้ต้องมาประสบการณ์กับโยมทุกคน หนีไม่พ้นแน่ๆ นับประสาอะไร อาตมายังหนีไม่พ้นแล้ว พระพุทธเจ้าของเราก็ยังหนีไม่พ้นกรรม ยังต้องเสวยพระชาติเป็นโคบาล ก็ยังมารับกรรม ไม่ให้วัวกินน้ำ ให้ไปกินน้ำใสๆ ท่านยังต้องอดน้ำลำบากใจ นี่ก็เช่นเดียวกันนับประสาอะไรปุถุชนธรรมดา แค่พระพุทธเจ้ายังต้องมีเวรมีกรรม ต้องใช้เวรใช้กรรมทั้งนั้น นับประสาอะไรคนธรรมดาแบบเราเล่า นั่นขอฝากไว้ด้วย ปวดตรงไหนก็กำหนดไปตายให้มันตาย มันจะได้รู้ความอดทน ว่าอดทนอย่างไร และหนักเข้า มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจึงจะเป็นวิปัสสนารูปนามขันธ์ห้า มันจึงแยกกันได้ ตอนนี้ไปแยกเอาหนังสือมาอ่านได้หรือ ถ้าแยกได้ มันคนละเรื่องกัน คนเรียนอภิธรรมจึงปฏิบัติกรรมฐานไม่ค่อยได้ มันคอยคิดล่วงหน้าว่า อ๋อ ญาณที่หนึ่งมาแล้ว ญาณสองมาแล้ว มันท่องได้ ญาณ ๑๖ ก็เป็นอย่างนี้ เลยก็เป็นวิปัสสนึก ส่วนมากคนเรียนพระอภิธรรมจบพระอภิธรรมเอกนั่งกรรมฐานไม่ค่อยได้ ได้เป็นวิปัสสนึกหมด นึกเอาตามตัวหนังสือว่ามันได้จริง คนที่ไม่รู้อะไรเสียเลยทั้งหมดนี่ได้ง่าย ได้จริงเสียด้วย ได้แล้วมาอ่านหนังสือตรงเป้าเลย ตรงหนังสือนั่นเอง

ถ้าคนรู้หนังสือและก็อวดรู้ อวดดี รับรองว่านั่งกรรมฐานไม่ได้ผล ไม่ได้ผล เช่นมหาเปรียญนี่เขาเรียนกันแปดเก้าประโยค มานั่งกรรมฐานไม่ได้ผลหรอก ถ้าไม่มีศรัทธาไม่ได้อะไรเลยนะ ถ้ามีศรัทธาเชื่อมั่นก็ดีทั้ง ปริยัติศาสนา ปฏิบัติ ศาสนา ปฏิเวธศาสนา มันก็เกิดขึ้น ๓ ทาง ถ้าอย่างเราคนบ้านนอกคอกนา หรือคนปุถุชนธรรมดา ไม่ได้ศึกษาหาความรู้จากวิชาศาสนา ไม่รู้อะไรเลย ยิ่งทำยิ่งดีมาก นี่แหละมันจะผุดขึ้นมาเอง มันจะได้ของจริงด้วย เลยไม่รู้อะไรเสียเลยดีกว่ารู้อะไรนะ พอรู้อะไรมันคอยจะนึก เป็นวิปัสสนึก คิดว่าตัวทำได้ตามหนังสือที่เรียนมา เลยก็ไม่ได้อะไรเกิดขึ้นอย่างนี้เป็นต้น อันนี้มีความหมายเรื่องการปฏิบัติเบื้องต้น ขอฝากไว้เดินจงกรมเดินให้ช้าเหมือนคนจะตายนะ แล้วดูปลายเท้าด้วย อาตมาสังเกตโยมไม่ค่อยเชื่ออาตมาเลย ไม่เคยดูปลายเท้า ดูโน่นแล้วครูก็สอนนั่นดูทางโน้น จะได้ไม่ปวดคอ ต่อไปไม่ได้ผลนะ ตามใจนะ จะเชื่อใครก็ตามใจ เราสอนกันนี่ต้องดูตรงนั้น ตั้งสติไว้ตรงนั้น พอตั้งสติได้แล้วก็ไม่ต้องดูมันยังไม่ได้นะซิถึงสอนให้ ถ้าทำได้แล้ว ยืนหนอ ๕ ครั้งยังทำไม่ได้

ถ้าทำได้แล้วยืนหนอ ๕ ครั้ง เห็นหนอจะได้รู้ว่าคนนี้นิสัยไม่ดี คนนี้นิสัยใช้ไม่ได้ ไม่ควรคบค้าสมาคม มันจะบอกออกมาชัดเจน แต่เราจะพูดทำไมให้โง่ พูดไปก็ขัดใจเขา ทำเราเบาราคา ทำอะไรขัดนัยน์ตา เดี๋ยวลดราคางานเราเอง ไม่ได้เกิดประโยชน์นะ เนี่ยพูดไปขัดในเขาทั้งนั้น แต่มีเหตุผลไปพูดให้โง่ทำไม ต้องนิ่งเสียดีกว่า โง่บ่เป็นบ่เป็นใหญ่ ก็โง่ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่เรารู้แล้ว เข้าใจแล้วว่ายายคนนี้นิสัยไม่ดี คนนี้กำลังมีชู้ คนนี้กำลังนอกลูกนอกทาง กำลังโกงพี่โกงน้องกำลังโกงพ่อแม่ด้วย มันจะบอกออกมาชัดเจน แต่เราจะไม่ผสมผสานกับเขาคนประเภทนี้ เสียเวลาที่จะต้องผสมผสานจะเป็นเพื่อเขาแบบอันธพาลเช่นดังกล่าวมา ก็ไม่ควรจะคบค้าสมาคมดีต่อไป ก็เป็นหมดเรื่องไป ไม่ต้องมีการมาว่าร้าย ใส่ร้ายป้ายสีกัน ก็ออกมาเป็น ปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ได้เฉพาะตน รู้ได้ด้วยจำเพราะคนที่สนใจ นี่แหละการกำหนดนี่สำคัญมาก พองหนอ ยุบหนอ ถ้าทำได้คล่องแคล่วเลย ทำอะไรว่องไวหมด ที่เราทำต้องการช้า ต้องการจะฝึกให้มีสติ คนหุนหันพลันแล่นใจร้อนน่ะไม่มีสติน่ะ ลืมโน่นลืมนี่บ้าบอคอแตกตลอดรายการไม่มีความจริงเลย ขอฝากไว้ คนเราถ้าใจเย็น ทำอะไรมันเห็นปัญญา ทำอะไรช้าไว้ก็ช้าจะได้พร้าสองเล่มงาม ทำอะไรด่วนได้มิใคร่ดี จะสร้างความดีในสังคมก็ยาก ใจร้อน ใจรน ทนไม่ไหว ไปไหนก็ลืมโน่น ลืมนี่ ลืมนั่น จะไปหาใครก็ไม่มีใจเอาอะไรไปฝากเขาเพราะไม่มีปัญญาจะไปฝากเขา มันจะออกมาอย่างงี้เป็นต้นโยมจะได้มีความเข้าใจในการปฏิบัติด้วย นี่ปฏิบัติตรงนี้เอาก่อน แต่เวลามันงูบลงไป พองเป็นยุบ ยุบเป็นพอง รู้หนอเพราะมันผ่านไปแล้วต้องกำหนดรู้ คิด ต้องกำหนด โกรธนี่ต้องกำหนด เวทนากำหนด ไม่หายว่าไป เดี๋ยวมันก็ค่อยเป็นค่อยไปน่ะ เดี๋ยวก็อดทนได้ เพื่อต้องการความอดทนก่อน

พระพุทธเจ้าบอกขันติบารมี การเจิรญกรรมฐานขันติบารมี ได้ขันติก่อน มีความอดทนมากมาย ทนต่อความตรากตรำได้ ทนต่อความตรากตรำยังไม่พอ ทนต่อความที่เราต้องทนลำบาก และตรากตรำ ทนต่อความเจ็บใจในสังคมได้ เขาจะด่าจะว่ายังไง จะไม่สนใจในคำด่าของเขา มันก็เกิดขึ้นกับตัวเรา นี่อดทนได้แล้ว แต่เราไม่อดทน ปวดเมื่อยเลิกเลย ทำอะไรก็เลิกเลย รับรองอีก ๔๐๐ ปีก็ไม่ได้ผล จะไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด และจะไม่รู้กฎแห่งกรรมนะเดี๋ยวจะว่ารำลึกชาติไม่เห็นแล้วมิได้ ก็ลองทำให้ถึงซิ รำลึกตัวเองได้เมื่อปีก่อน เล่นการพนันเมื่อปีที่แล้วเสียเงิน เมื่อปีก่อนไปเที่ยวเสีย ไม่ได้สร้างตัวเลย มันจะคิดยอย่างนั้น รำลึกชาติของตัวเอง และต่อไปข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างงี้ต่อไป จะรักลูก รักเมีย รักผัว รักครอบครัวต่อไป ดูลูกดูหลานให้มั่นคงต่อไป มันจะออกมาด้วยการรำลึกชาติ ถึงอันดับสองนี่นึกถึงบุพการี อันดับสามรำลึกชาติปางก่อนเราเคยเกิดเป็นใคร เป็นทหารที่ตาคลีโน่น แล้วก็โดนบอมบ์ตายไปเกิดที่หล่มสักโน่น เดี๋ยวนี้เป็นดอกเตอร์อยู่สหรัฐอเมริกา ต้องรำลึกอย่างนั้นซิ ไม่ใช่รำลึกแบบว่าฉันเป็นผัวแก แกเป็นเมียข้า มันถึงได้วุ่นวายกันในสังคม ไม่ใช่รำลึกอย่างนั้น ต้องรำลึกเหตุการณ์ทุกชีวิตได้ ที่มีผ่านมาแล้วและนี่จะเป็นไปต่อไปในอนาคต

อดีตเป็นความฝัน ปัจจุบันความจริง อนาคตไม่แน่นอน ต้องปัจจุบันนี้ให้ได้ก่อน ปัจจุบันรวมไว้ได้มากอดีตจะทำไมไม่รู้ อนาคตทำไม่จะไม่เข้าใจ ต้องรวมปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันไม่ได้อะไร อดีตก็ความฝัน อนาคตไม่แน่นอน ทำอะไรก็ไม่ได้ผล หละหลวมเหลาะแหละเหลวไหล ทำมาหากินก็ไม่ขึ้น ทำอะไรก็ไม่ฟื้นคืนขึ้นมา ลงทุนไปก็ขาดทุน ค้าขายก็ขาดทุน นี่ตรงนี้น่าคิดเหลือเกินนะ ลงทุนมันให้ได้กำไรซิเหมือนเราทำกรรมฐานให้มันได้บุญได้กุศล ให้ได้ผลคือชีวิตและจะได้แก้ไขปัญหา อย่าไปสร้างปัญหาในครอบครัว อย่างไปสร้างปัญหาให้สังคม อย่างไปสร้างปัญหาให้ลูกหลานเลยขอฝากไว้ในวันนี้โดยทั่วหน้ากัน จึงจะมีประโยชน์มาก

วันพระเราถือมา ๓๗ ปีแล้ว ต้องลงมาพร้อมกัน เราแสดงธรรมตลอดมา พ้นจากป่วยอาพาธหนัก หรือมีกิจการต้องไปประชุมคณะสงฆ์หรือไปต่างประเทศเสียก่อนเท่านั้นเอง ไม่งั้นจะไม่ขาดเลยนะ จะไม่ขาดหรอก อย่าให้ขาด ทำอะไรให้เสมอต้นเสมอปลายหน่อยนะ โยมจะได้รวย ก็ทำอะไรไม่เสมอต้นเสมอปลาย รวยไม่ได้ แล้วดีไม่ได้เลย เอาบันทึกจดไว้ได้ คนเราจะดีได้ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ทำอะไรก็ให้เป็นนิจ สร้างผลงานให้เป็นนิจสถิตผลงาน สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อนค่อยแผ่เมตตานี่ตายตัวแล้ว รับรองได้ผลอย่างสมคาดปรารถนา ทำอะไรผลุบเข้าผลุบออกเป็นเต่า รับรองดีไม่ได้ เวลาไม่ได้แยงกันมันก็ผลุบเข้าซะ แยงกันทีไรมันโผล่หัวทุกที พวกเต่าใช้ไม่ได้ เฝ้ากอบัวต่อไปเถอะ ภุมรินนี่บินมาจากดงดอน เคล้าคลึงเกสรสวัสดีมีชัย แล้วก็เกสรก็ไม่ช้ำ บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นด้วย พวกเต่ามันก็ใต้กอบัวดูแลไปอย่างนั้นเอง นี่เป็นที่น่าเสียดายมาก คนเราจึงเอาดีไม่ได้ใกล้เกลือมันกินด่าง มันกินน้ำค้างแบบจิ้งหรีด แหมลามาฟังเสียงจิ้งหรีดมีนกินน้ำค้างลาเค้าพูดยังงั้น โง่ด้วยกันทั้งคู่ ขอฝากไว้กินน้ำค้างกลางใบหญ้า จึงมีส่งเสียงจี๊ดๆๆขึ้มา ลามันชอบ จึงมาถ้าจิ้งหรีดว่ากินอะไรเสียงเพราะนัก นี่ขอฝากไว้ไปตีความ ไปคิดเอาเองนะ จะได้ผลประการใดไม่ว่ากัน

สุดท้ายนี้ก็อนุโมทนาสาธุการแก่พวกญาติ ญาติธรรมที่มานั่งกรรมฐานเรียกว่า ญาติธรรม สัมมาปฏิบัติในหน้าที่สร้างกุศลบุญราศรี จะเป็นหนุ่มเป็นสาวขอให้เอาไป เอาไปดีกว่าอย่างอื่น บวชแทนคุณแม่ได้ ค่าน้ำนมแม่ได้คือโยมผู้หญิง สามารถจะปฏิบัติไตรสิกขา ๓ ได้ครบ ไม่ต้องไปรังเกียจกัน แล้วจะไม่มองเห็นอื่น ได้ผลอย่างศีล สมาธิ ปัญญา จะคิดถึงแม่ ค่าป้อนน้ำนมให้แม่ ถ้าแม่ตายจากโลกไปแล้วจะได้ไปสวรรค์ จะไม่ลงนรกอีกต่อไป เหมือนหญิงสองร่างนางสองชาติ ก็ขึ้นจากนรกได้ก็เพราะกรรมฐานนะ ขอฝากไว้ แทนคุณพ่อแม่ได้ โยมไม่ต้องเสียใจ เป็นผู้หญิงดีกว่ามาบวชนุ่งเหลืองแล้วไม่ทำปฏิบัติ และรับรองได้เลยจะแทนคุณน้ำนมแม่ได้ยังไง ถ้าปฏิบัตกรรมฐานได้จะรู้น้ำคุณ น้ำพระคุณของแม่น้ำใจของพ่อ รู้แน่ๆคือตัวเรา หัวใจของพ่อน้ำเลือดน้ำเหลืองของแม่ สร้างความดีเด่นเห็นชัดขึ้นมา นั่นแหละใช้ค่าน้ำนมแม่ได้ โยมเป็นสาวเป็นแส้ หรือเป็นคนแก่ผู้สูงอายุ พ่อแม่ล้มหายตายจากไปแล้วทุกคนด้วยก็ตาม สามารถจะติดตามผลไปช่วยแม่ที่ตกนรกได้ ไปช่วยพ่อที่ลงนรกได้ พ่อแม่ยังเจ็บระทวยป่วยไข้ ก็ขอให้หายวันหายคืนฟื้นคืนมาอยู่กับลูกหลานต่อไป เป็นการสวัสดีมีชัยในโลกมนุษย์ต่อไปเถิดประเสริฐที่สุด จากการเจริญวิปัสสนาสูงสุด ผู้ใดไม่มีบุญผู้นั้นจะไม่เจริญพระกรรมฐาน ผู้นั้นไร้บุญ ชอบทำแต่สังฆทาน ถ้าคนไหนมีบุญวาสนาจะเจริญพระกรรมฐานเป็นสำหรับของผู้มีบุญเขา ถ้าคนที่ไร้บุญวาสนาจะไม่มีโอกาสจะมาเจริญวิปัสสนากรรมฐานเลย เพราะสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้วก็ขอสุดท้ายนี้

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายผู้ใคร่ธรรมญาติธรรมทั้งหลาย ผู้สนใจปฏิบัติธรรมะเป็นการทดแทนน้ำนมของแม่ได้ ข้าวป้อนที่แม่ป้อนมา ที่พ่อหาเลี้ยงมามีทั้งน้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่คนเดียวกันคือพ่อแม่ของราอยู่ในตัวโยมทุกคน ขอให้สร้างกุศลเท่านั้นเอง ปฏิบัติกรรมฐานให้ได้รับผล ได้ส่งผลให้พ่อแม่ได้ พ่อแม่ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภาพ จะได้มาปรารภรับส่วนบุญกุศล นี่ได้สูงสุดตรงนี้ คือการเจริญพระกรรมฐานดีที่สุดแล้ว ขอให้ตั้งใจทำ จะกลับไปบ้าน ขอให้สวัสดีมีชัย และติดตามผลเอาไปต่อเนื่องโดยแก้ปัญหาในครอบครัว แก่ปัญหาในสังคม แก้ปัญหาให้ลูกหลาน อย่าไปสร้างปัญหาอีกต่อไปเลย กรรมฐานแปลว่า สร้างกิจกรรม ไม่ใช่สร้างปัญหา กรรมฐานแปลว่า แก้ไขปัญหา จะไม่มีการสร้างปัญหาให้ใครเดือดร้อนอีกต่อไปแล้วจะสร้างแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรของทุกท่านโดยทั่วหน้ากัน ขอทุกท่านจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดขอให้สมมาตปรารถนาด้วยกันทุกๆท่าน ณ โอกาสบัดนี้