แผ่เมตตาข้ามทวีป
ตอนที่ ๑ แผ่เมตตาพยุงเครื่องบิน
โดย พระนรินทร์ สุภากาโร
เมื่อเช้าวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๗ หลวงพ่อได้เรียกอาตมาขึ้นไปพบบนกุฏิ ท่านสั่งว่าวันนี้อธิบดีกรมศาสนา นายจำเริญ เสกธีระ จะมากราบนมัสการขอศีลขอพร และธรรมะ เพื่อเป็นมิ่งขวัญมงคลของชีวิต ในโอกาสที่ท่านจะเกษียณอายุราชการ อาตมารับคำสั่งหลวงพ่อ แล้วลงมาเตรียมการต้อนรับที่อาคารรุจิรวงศ์ ท่านอธิบดีฯ และคณะได้เดินทางมาถึงวัดอัมพวันเมื่อเวลาใกล้เที่ยง
![](http://www.amphawan.net/wp-content/uploads/2019/06/lok9_7-600x349.jpg)
อดีตอธิบดีกรมศาสนา คุณจำเริญ เสกธีระ (ขวามือของหลวงพ่อ) และคณะ
![](http://www.amphawan.net/wp-content/uploads/2019/06/lok9_8-600x394.jpg)
หลวงพ่อกับคณะที่ร่วมเดินทางไปยุโรป
หลังจากรับประทานอาหาร และพักผ่อนที่อาคารรุจิรวงศ์ได้สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อท่านก็เข้ามาสนทนาด้วย ในวันนั้นอาตมาจำได้ว่าคณะของท่านอธิบดีมี คุณบุญเกิด เสกธีระ ภรรยาของท่าน, คุณฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร (หัวหน้าฝ่ายบูรณะและพัฒนาวัด กรมการศาสนา), คุณอำนาจ บัวศิริ และโยมผู้หญิงวัยกลางคนสองท่าน ได้เข้ามากราบและสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ หลวงพ่อได้กล่าวถึงความหลังเมื่อท่านได้ไปยุโรป ๕ ประเทศกับท่านอธิบดีฯ เมื่อวันที่ ๑๔ – ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ว่า
หลวงพ่อได้เดินทางไปยุโรป ตามมติของมหาเถรสมาคมที่ให้ท่านร่วมเดินทางไปศึกษาข้อมูลความเป็นไปได้ในการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ในประเทศในทวีปยุโรป ๕ ประเทศ อันได้แก่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอังกฤษ โดยการเดินทางในครั้งนี้ มีพระธรรมราชานุวัตรเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายสงฆ์ และท่านอธิบดีกรมการศาสนา นายจำเริญ เสกธีระ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายฆราวาส
หลวงพ่อสนทนากับท่านอธิบดีฯ ถึงตอนหนึ่งที่ทำให้อาตมาสนใจและตั้งใจฟังอย่างมาก หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อตอนที่ท่านจะกลับจากยุโรป วันนั้นท่านขึ้นเครื่องบินโดยสารจากสนามบิน HEATHROW กรุงลอนดอน เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยเครื่องบินโดยสาร CX 705 ในตอนบ่ายสี่โมงของวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๖
ท่านเล่าต่อไปว่าในคืนนั้นขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่คณะที่ไปกับหลวงพ่อส่วนมากก็หลับพักผ่อน เพราะเพลียจากการเดินทาง ท่านก็สังเกตเห็นว่ามีน้ำหยดลงจากเพดานห้อง โดยน้ำหยดลงใส่ศีรษะ ดร.ชลันกร และคุณถวิล หลวงพ่อท่านเห็นสภาพว่าท่ามันจะไม่ดีแน่ เพราะเคยมีประสบการณ์จากครั้งที่ท่านเดินทางไปประเทศจีน เครื่องบินโดยสารที่ท่านนั่งไปในครั้งนั้นก็มีเหตุการณ์น้ำจากแอร์รั่วลงมาเช่นครั้งนี้ แต่ในครั้งนั้นเครื่องบินลงจอดทัน แต่ในเดือนต่อมาเครื่องบินลำนั้นก็ประสบอุบัติเหตุตกลงด้วยสาเหตุแอร์รั่วจนได้ หลวงพ่อจึงสำรวมจิตนั่งบริกรรมแผ่เมตตา
ท่านเล่าให้อธิบดีฟังต่อไปว่า ในวันนั้นอาตมาต้องนั่งบริกรรมเพื่อช่วยพยุงเครื่องบินเอาไว้ ท่านกะว่าหากบริกรรมแล้ว ภายใน ๒๐ นาที น้ำจากแอร์ยังไม่หยุดไหล ก็คงต้องถวายชีวิตท่านและคนในเครื่องกว่า ๔๐๐ ชีวิตไว้บนท้องฟ้าแล้ว
เมื่อกลับมาถึงวัดอัมพวัน หลวงพ่อก็อาพาธหนักมากเป็นเวลาถึง ๓ เดือน สาเหตุเพราะการสูญเสียพลังงานทางจิตจากการแผ่เมตตาในครั้งนั้นนั่นเอง (ในพรรษา ปี ๒๕๓๖ หลวงพ่ออาพาธหนักมาก ภายหลังแพทย์ถึงตรวจพบว่าท่านอาพาธเป็นโรคไข้ไทฟอยในเม็ดเลือด)
อาตมาฟังท่านเล่าด้วยความตื่นเต้น และเห็นว่าท่านอธิบดี และคณะที่มากับท่านในวันนั้น ซึ่งมี คุณอำนาจ และ คุณฉวีรัตน์ ได้เดินทางไปกับหลวงพ่อและท่านอธิบดีในครั้งนั้น ต่างก็ยืนยันว่าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทำให้อาตมามีความสนใจในเรื่องนี้มาก ได้ติดตามเรื่องมาจนกระทั่งทราบว่า วันที่ เกิดเหตุการณ์บนเครื่องบินนั้น คนที่นั่งอยู่ใกล้หลวงพ่อมากที่สุดคือ โยมตรีรัตน์ ภาสเวคิน และคนที่ติดตามหลวงพ่ออย่างใกล้ชิดและจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ บนเครื่องบินได้เป็นอย่างดี คือ โยมสุนีย์ พันธสุภร อาตมาจึงไปขอสัมภาษณ์โยมทั้งสองได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้อาตมาฟังว่า…
จดไว้นะ ๒๐ นาที
โดย ตรีรัตน์ ภาสเวคิน
ในระหว่างวันที่ ๑๔ – ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๖ กรมการศาสนาได้นิมนต์หลวงพ่อจรัญไปราชการยังประเทศในทวีปยุโรป ทำให้ผมได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อจรัญไปยุโรปด้วย การที่ได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อไปยุโรปนั้น ถือว่าเป็นบุญเพราะได้ประสบการณ์แปลกใหม่ และเรื่องที่ประทับใจกระผมมากที่สุดในการไปยุโรปครั้งนี้ เป็นเรื่องของเหตุการณ์ขณะอยู่บนเครื่องบินขากลับจากยุโรป ซึ่งคำ ๆ หนึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมไม่สามารถลืมเรื่องได้ คือ คำที่หลวงพ่อหันมาบอกผมว่า “จดไว้นะ ๒๐ นาที”
ผมคิดว่าคงเป็นความโชคดีมาก ที่มีบุญได้ติดตาม ไปปรนนิบัติหลวงพ่อที่ยุโรป ซึ่งผมคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อในครั้งนั้นเลย เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมต้องผ่าตัดต้อกระจก แต่คงด้วยเดชะบุญบารมีของหลวงพ่อ ทำให้ตาของผมหายวันหายคืน เป็นปรกติดีก่อนวันเดินทาง
ผมจำได้ว่าในวันเดินทางกลับนั้น พวกเราทุกคนขึ้นเครื่องบินจากประเทศอังกฤษ เพื่อกลับสู่กรุงเทพมหานคร เมื่อเริ่มขึ้นเครื่องในเวลาบ่ายแก่ ๆ ประมาณสัก ๓ – ๔ โมงเย็น เครื่องบินออกจากรันเวย์บินมาทางทิศตะวันออก ซึ่งสวนทางกับพระอาทิตย์ ทำให้บรรยากาศมืดเร็วขึ้นกว่าปรกติ พวกเราส่วนมากซึ่งต่างอ่อนเพลียจากการเดินทาง ก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน
บนเครื่องบิน ที่นั่งจะแบ่งออกเป็นสามแถว แถวแรกจะมีสามที่นั่ง แถวกลางจะมีสี่ที่นั่ง และแถวที่สามก็จะมีสามที่นั่ง หลวงพ่อท่านนั่งทางแถวกลางทางด้านซ้ายสุด ส่วนผมนั่งอีกแถวหนึ่งถัดจากท่านมาทางซ้าย เครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้าจนล่วงเวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ จากประสบการณ์ของผม ผมคาดว่าในตอนนั้น เครื่องบินคงบินอยู่เหนือน่านฟ้าของประเทศรัสเซีย เพราะเครื่องบินต้องบินขึ้นทางเหนือ ตามสโลปของโลก เพื่อเป็นการประหยัดระยะทาง ซึ่งถ้าหากเกิดอะไรขึ้นก็ตามในเวลานั้นตรงนั้นก็คือประเทศรัสเซีย
ผมเองนั้นมารู้สึกตัวจากการพักผ่อนในช่วงเวลานั้นพอดี รู้สึกงัวเงียเล็กน้อยจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ เครื่องบิน ซึ่งสภาพบนเครื่องมีแสงไฟสลัว ๆ ผมพบเห็นสภาพผิดปรกติ ผู้คนบนเครื่องกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวาของเครื่องมีอาการพลุกพล่าน ลุกขึ้นและส่งเสียงค่อนข้างเอะอะ ผมจำได้ว่าเป็นกลุ่มของ คุณถวิล และ ดร.ชลันกร ซึ่งนั่งตรงบริเวณที่น้ำรั่วลงมาพอดี
สายตาของคนบนเครื่องเริ่มมองไปทางบริเวณนั้น ผมเห็นแอร์โฮสเตสวิ่งอย่างตื่นตระหนกวิ่งเอาภาชนะมารองน้ำที่รั่ว และนำผ้ามาเช็ดน้ำที่เปียก ในสายตาผม ผมก็เริ่มเห็นความผิดปรกติ เพราะตามปรกติพวกแอร์โฮสเตสซึ่งทำงานอยู่บนเครื่องบินตลอดคงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องและร้ายแรงมากเพียงใด เขาถึงแสดงอาการตระหนกออกมาเช่นนั้น
ผมจึงเริ่มหันไปมองหาหลวงพ่อ เห็นท่านนั่งหลับตาภาวนาอยู่อย่างเดียว โดยไม่สนใจกับสภาพเหตุการณ์บนเครื่องบิน ท่านนั่งอยู่ท่าประนมมือ หลับตาอยู่พักใหญ่ ท่านจึงออกจากการภาวนา และหันหน้ามาทางผม พร้อมทั้งชี้มือสั่งผมไว้ว่า จดไว้นะ ๒๐ นาที
ท่านจ้องผมเขม็ง และสั่งอย่างเดียวกัน คือ จดไว้นะ จดไว้นะ ๒๐ นาที อยู่ประมาณ ๔ ครั้ง แต่ในตอนนั้นผมกลับไม่รู้สึกตกใจแต่อย่างไร เพราะความอบอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ท่าน และเป็นผู้ถือย่ามให้ท่านอยู่ ผมมั่นใจว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นแน่นอน อีกอย่างหนึ่งผมอยู่ใกล้ท่านมาก เห็นท่านนั่งบริกรรม ก็บริกรรมตามท่าน แต่ไม่ได้ประนมมือเพราะถือย่ามให้หลวงพ่ออยู่
สิ่งที่ผมประหลาดใจอีกสิ่งหนึ่งคือ ตามปรกติที่ผมเคยเห็นแอร์ที่ใช้อยู่ตามอาคารบ้านเรือนซึ่งถ้าหากรั่วก็จะมีน้ำหยดลงมา แต่ไม่มากเท่ากับที่ผมเห็นบนเครื่องบินนั้นที่ไหลลงมาเป็นสาย และตัวหลวงพ่อเองภายหลังท่านบอกให้ผมรู้ไว้ว่า ข้างบนที่น้ำไหลลงมานั่นนะคือสายไฟ ผมไม่รู้ว่าท่านทราบได้อย่างไร ผมแน่ใจว่าท่านคงไม่เคยเห็นสภาพของเครื่องบินแน่ แต่ท่านก็บอกได้ว่าข้างบนเป็นสายไฟ และเมื่อน้ำมันรั่ว มันอาจจะทำให้เกิดการช็อตของสายไฟได้ ซึ่งแน่นอนที่สุด หากเกิดการช็อตขึ้นจริง เครื่องบินคงเกิดการระเบิด และประสบอุบัติเหตุอยู่เหนือน่านฟ้าประเทศรัสเซียเป็นแน่
หลวงพ่อได้บอกกับผมอีกว่า ถ้าเลยจาก ๒๐ นาที ตามที่ท่านได้อธิษฐานไว้ เครื่องบินก็คงต้องเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นแน่นอน
หลังจากเหตุการณ์น้ำที่ไหลได้หยุดลงไป ทุกคนบนเครื่องต่างก็ดีใจ บรรยากาศเป็นไปด้วยความโล่งใจ และไม่ตื่นตระหนกกันต่อไป ทุกคนยิ้มได้ ทางเจ้าหน้าที่ก็สบายใจ เจ้าหน้าที่ผู้ชายนำผ้ามาซับน้ำที่รั่วไหลลงมาตามพื้นและเก้าอี้จนทุกอย่างเรียบร้อย สภาพการณ์ต่าง ๆ กลับคืนสู่ปรกติ
จากนั้นผมเริ่มเห็นความผิดปรกติของหลวงพ่อ เพราะตลอดระยะการเดินทางตั้งแต่มาจากประเทศในยุโรป จนกระทั่งกลับนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ท่านไม่เคยรบกวนหรือขอร้องอะไรให้ใครช่วยเลย แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ท่านกลับเรียกให้ผมนำน้ำชาร้อน ๆ ให้ท่านฉันบ่อยครั้ง ทำให้ผมเริ่มเอะใจ จนกระทั่งภายหลังเมื่อกลับสู่เมืองไทย และผมได้เข้าไปเห็นสภาพที่ท่านอาพาธหนัก ทำให้ผมหายข้องใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ และมั่นใจว่า หลวงพ่อท่านอาพาธในครั้งนี้ เพราะท่านใช้พลังในการช่วยชีวิตคนบนเครื่องบินสามสี่ร้อยชีวิตให้รอดจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นได้
จับเวลา
โดย สุนีย์ พันธสุภร
เมื่อเครื่องบินได้บินขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็น พวกเราที่ขึ้นนั่งในเที่ยวบินเที่ยวนั้นต่างรู้สึกสบายใจที่ได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทยพร้อมความทรงจำอันมีค่ากับการที่ได้เดินทางมาพร้อมกับพระผู้ใหญ่และคณะของกรมการศาสนา
เครื่องบินได้เร่งเครื่องเพื่อที่จะทะยานสู่ท้องฟ้า วันนั้นเครื่องบินบินโดยใช้เพดานบินสูงมากเพราะอากาศบริเวณข้างล่างแปรปรวน เหมือนมีฝนตกอยู่ พวกเราที่นั่งอยู่บนเครื่องต่างรัดเข็มขัดและพูดคุยกัน ส่วนบางคนที่อ่อนเพลียจากการเดินทางก็จะเอนตัวลงพักผ่อน จนกระทั่งเครื่องบินบินไปได้สักครู่ใหญ่ ๆ ประมาณสักชั่วโมงกว่า ๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะทางที่นั่งด้านซ้าย ก็มองตามเสียงนั้นไป ก็เห็น ดร.ชลันกร ที่นั่งอยู่ติดหน้าต่างบริเวณที่นั่งทางด้านซ้าย ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงเหมือนว่ามีอะไรเกิดขึ้น คุณถวิลที่นั่งถัดมาก็ลุกขึ้นตามและพยายามรื้อของที่อยู่บริเวณตู้เก็บของเหนือศีรษะ ดิฉันสังเกตเห็นท่านทั้งสองเปียกน้ำ จึงสังเกตเห็นว่ามีน้ำรั่วลงมาจากเพดานด้านบน ใจก็คิดว่าเครื่องบินคงรั่วทำให้น้ำฝนไหลเข้ามา หรือของที่อยู่ในตู้เก็บของคงแตกจนน้ำหกลงมา และน้ำได้ไหลถูกท่านทั้งสอง แต่ท่านที่นั่งถัดมาเก้าอี้ที่สามคือคุณมานพไม่เปียกอะไร
เมื่อ ดร.ชลันกร ส่งเสียงขึ้น ดิฉันก็เห็นแอร์โฮสเตสวิ่งถือกะละมังอลูมิเนียมใบใหญ่มารองน้ำ พวกสจ๊วตก็วิ่งนำผ้ามาพันไม้ม็อบที่ใช้สำหรับถูพื้นดันเพดานเพื่ออุดรูที่น้ำรั่วไหลลงมา เพราะเพดานมันสูงมือเอื้อมไปไม่ถึง จึงเอาไม้ดันอุดรูไว้ แอร์อีกพวกก็นำกระดาษทิชชู่ม้วน ๆ เช็ดบริเวณที่น้ำไหลลงมาเปียก น้ำที่ไหลก็ไหลลงมามาก แอร์สี่คนกับสจ๊วตสองคนก็พยายามทำให้น้ำหยุดไหล พวกเราที่นั่งอยู่บางท่านเห็นเช่นนั้นก็มีอาการตกใจ แต่ก็ไม่แสดงทีท่าอะไรมากนักเพราะไฟที่แสดงการรัดเข็มขัดยังเปิดอยู่ ทุกคนยังอยู่ในสภาพรัดเข็มขัด
ด้วยความเป็นห่วงหลวงพ่อ เพราะดิฉันเป็นลูกศิษย์ที่ติดตามไปกับท่าน ดิฉันจึงหันไปมองทางที่นั่งพระภิกษุที่อยู่แถวกลาง ก็ไม่เห็นท่านแสดงทีท่าอะไรมากนัก แต่เมื่อมองไปทางหลวงพ่อ ดิฉันเห็นท่านนั่งหลับตา เหมือนว่ากำลังสำรวมจิตบริกรรมอะไรสักอย่าง ก็คิดว่าท่านนั่งทำอะไรเพราะขณะที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นบนเครื่อง ท่านกลับนั่งหลับตาบริกรรมอยู่อย่างเดียวโดยไม่สนใจเหตุการณ์รอบข้าง
เมื่อดิฉันเห็นท่านนั่งหลับตา ด้วยความเป็นลูกศิษย์ของท่าน ดิฉันจึงนั่งสำรวมจิตตามท่าน และตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีและบุญกุศลที่ได้สร้างมาจงช่วยบันดาลอย่าให้ได้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น
หลวงพ่อท่านนั่งหลับตาบริกรรมสักครู่ใหญ่ ท่านก็ลืมตาและพูดออกมาว่า “อีกยี่สิบนาทีน้ำจะหยุด” (ดิฉันประมาณเวลาไว้จากที่น้ำรั่วลงมา ซึ่งท่านก็เริ่มนั่งบริกรรมเลย จนถึงเวลาที่ท่านลืมตาขึ้นประมาณสิบกว่านาที) เมื่อท่านพูดออกมาเช่นนี้ คนที่เดินทางไปด้วยกันบนเครื่องในครั้งนั้นก็มองดูนาฬิกา ซึ่งดิฉันเข้าใจว่าพวกเขาคงจะจับเวลากันเพราะแม้แต่ตัวดิฉันเองก็เริ่มจับเวลา และรอลุ้นกับคำที่หลวงพ่อท่านทำนายไว้
มีพระครูองค์หนึ่งท่านยังหันมาพูดแซวกับหลวงพ่อว่า “หยุดแน่หรือ” หลวงพ่อจึงย้ำอีกทีว่า “ยี่สิบนาที” ในช่วงเวลานั้นพวกเราลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงพ่อก็รอลุ้น บางคนนั่งจ้องมองน้ำ บางคนก็ดูนาฬิกา โดยเฉพาะ ดร.ชลันกร มีทีท่าว่าเชื่อมั่นมาก หันไปพูดกับพวกแอร์ว่า หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า อีกยี่สิบนาทีน้ำจะหยุดแน่นอน
พอครบเวลายี่สิบนาทีพอดี น้ำก็หยุดไหลทันที ดร.ชลันกร ก็แสดงทีท่าดีใจมาก หันไปพูดคุยกับพวกแอร์ (พูดเป็นภาษาอังกฤษ) ซึ่งแอร์บางคนถึงกับยกนิ้วให้กับหลวงพ่อ พวกเราก็ดีใจกัน เริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ความอึดอัดใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมราชานุวัตร (หลวงเตี่ย) ซึ่งเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการเดินทางครั้งนี้ ก็พูดชมหลวงพ่อว่า “นี่ อย่างนี้แน่จริง”
ภายหลังเมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้ว ท่านถึงบอกว่าน้ำแอร์บนเครื่องบินรั่ว พวกเราถามท่านว่าถ้ายี่สิบนาทีน้ำไม่หยุดอะไรจะเกิดขึ้น ท่านบอกว่าถ้ายี่สิบนาทีน้ำไม่หยุดก็คงต้องถวายชีวิตไว้กับการเดินทางในครั้งนี้ แล้วท่านจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งไปที่ประเทศจีนให้ฟัง
ในเที่ยวบินเที่ยวนั้น มีเจ้าหน้าที่จากองค์การยูนิเซฟได้ขึ้นมาขอเศษเงินที่เป็นสตางค์ต่างประเทศ เพื่อบริจาคให้กับองค์การเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนอาหารทั่วโลก ซึ่งหลวงพ่อท่านก็ทำบุญให้กับองค์กรไปเป็นจำนวนถึง ๑๐๐ เหรียญ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ได้มารับและแสดงความขอบคุณด้วยตนเอง