มักกะลีผล

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
ก.ค. ๒๖

มื่อสมัยเป็นเด็ก อาตมาอยู่กับคุณยาย ตอนนั้นอาตมาไม่ได้สนใจเรื่องบุญกุศล และเรื่อง พระเวสสันดรแต่ประการใด แต่คุณยายสนใจมากในเรื่องเทศน์คาถาพัน และเทศน์มหาชาติ ฟังจบถือว่าได้บุญมาก

คุณยายนิมนต์พระมา ๓ องค์ องค์หนึ่งเดินพระคาถาพันจบหนึ่งพัน อีกสององค์ปุจฉาวิสัชนา แล้วว่าแหล่ว่าทำนองด้วย ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ทุกรายการจบลงในวันนั้น ปีหนึ่งคุณยายจะต้องมีคาถาพัน ๒ ครั้ง

อาตมาเป็นเด็กก็ไม่เข้าใจ ยายให้ฟังก็คอยรีบวิ่งไปเล่น ยายจึงเอาเชือกผูกขาไว้กับเสาให้จบหนี่งพัน เลยฟังแย่เลย ฟังส่งเดชไม่รู้เรื่อง ตอนมาบวชจึงได้ทราบข้อเท็จจริง ได้ฟังเรื่องพระเวสสันดรจอมปราชญ์ มีป่าหิมพานต์

พอดีคุณยายมาซักไซ้อาตมา จึงได้บอกกับคุณยายว่า เรื่องพระเวสสันดรโกหก ไม่จริง ไม่ยอมรับและไม่ยอมเชื่อ คุณยายจึงได้เล่าให้ฟังว่า

หลานเอ๋ย ตอนยายเป็นสาว ๆ เคยทำปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อช้าง หลวงพ่อช้างเคยไปป่าหิมพานต์ ท่านได้สำเร็จฌานสมาบัติ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดตึกราชา อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ยายไปส่งปิ่นโตทุกวัน ท่านฉันข้าวเวลาเดียวอยู่ในป่าช้า

วันหนึ่งไปพบแขกคนหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบ ยายถามหลวงพ่อ ท่านบอกว่า แขกมันเหาะมาจากป่าหิมพานต์มาตกขาแข้งหักไปไม่ได้ ท่านจึงรักษาให้ ยังอยู่ด้วยกันที่นี่ยายก็รับฟัง เพราะยายยังเป็นรุ่น ๆ สาว ไปส่งปิ่นโตแทนยายชวด

ในที่สุดแขกหายแล้วก็เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ตัวเขาเป็นโยคี เหาะมาจากป่าหิมพานต์ เหาะมา ๒ คน คนหนึ่งสำเร็จฌาน แต่แขกคนนี้สำเร็จปรอทจากพระโยคีที่สำเร็จฌาน ทำปรอทให้อม แล้วก็เหาะมาได้ พอดีเกิดมาเถียงกัน เลยปรอทหล่น แขกก็เลยตกขาหัก เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไรนะ

ผลสุดท้ายแขกก็อ้อนวอนหลวงพ่อช้างให้ไปส่งที่ป่าหิมพานต์ และบอกว่าที่ป่าหิมพานต์สนุกสนาน มีผู้หญิง มีทั้งต้นมักกะลีผลอยู่ปากทางที่จะเข้าไปเฝ้าองค์พระเวสสันดรจอมปราชญ์ ผู้มีปัญญา อยู่ที่ป่าหิมพานต์โน้น เลยเขาหิมาลัย ๑๖ โยชน์ แขกเล่าไว้ชัด

หลวงพ่อช้างก็บอกว่าไม่อยากไปรู้ แต่แขกก็อ้อนวอนมาตามลำดับ ก็เสียอ้อนวอนแขกไม่ได้ แขกบอกว่าถ้าหลวงพ่อไปนะ ไปรับประเคนของใคร อย่าฉัน ถ้าฉันจะกลับไม่ได้แน่นอน ถ้าหลวงพ่อสำเร็จแค่ฌานสมาบัติไม่ให้ฉัน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงพ่อช้างบอกไม่ไป แขกบอกมีมักกะลีผล แขกก็คิดถึงบ้านในป่าหิมพานต์ของเขา ก็ให้ตำราปรอท ขอให้หลวงพ่อช้างทำปรอทให้ ใส่ปากอมก็เหินไปได้ หลวงพ่อช้างก็บอกว่ายังงั้นได้ ท่านสำเร็จฌานไปได้องค์เดียว แต่เอาแขกใส่ย่ามไปคงไม่ได้

ในที่สุดก็ให้ยายของอาตมาไปซื้อปรอท ซื้อยาซัด อาตมายังได้ตำราไว้ ณ บัดนี้ ซัดปรอทแล้วก็ไปส่งแขกที่ป่าหิมพานต์ ไปพบมักกะลีผลก็มาเล่าให้ยายฟัง ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก เวลาต่อมายายอายุ ๙๙ ก็ถึงแก่ความตาย อาตมาก็ฝังใจเรื่องนี้ตลอดมา

เคยเห็นรูปที่ เหม เวชกร เขียนไว้ที่ฝาผนังวัดพระปรางค์มุนี (อยู่ที่ ต.ม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี) เขียนต้นมักกะลีผลเหมือนของจริงด้วย ใบเหมือนใบมะม่วง มีลูกพวงหนึ่ง ๕ ผล แต่อาตมาก็เชื่อแน่ไม่ได้ว่าต้นไม้ออกลูกเป็นคน เสพสังวาสได้เหมือนคนเรา ก็ไม่ยอมเชื่อด้วยประการใด

ในเวลาต่อมา อาตมามาบวช จิตสำนึกเดิมมันยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่ เพราะยายเล่าทุกวัน เล่าละเอียดด้วย เพราะมีคาถาพันปีละ ๒ ครั้ง มีพระเทศน์ปุจฉาวิสัชนา ว่าทำนองด้วย ยายว่าได้ครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตั้งแต่ทศพรถึงนครกัณฑ์ ยายไม่ค่อยรู้หนังสือแต่ว่าได้ เพราะจำพระเทศน์ได้

ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๕ อาตมามาอยู่วัดอัมพวันแล้ว พอดี หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย กับ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในสมัยนั้น มานิมนต์อาตมาไปประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่ประเทศศรีลังกา ไปตรงกับช่วงวันวิสาขบูชาพอดี

อาตมาก็จดบันทึกหลักฐานว่า ข้าพเจ้าจะไปประเทศศรีลังกานั้นจะไปที่ไหนบ้าง

๑. ข้าพเจ้าฝังใจนัก อยากจะขึ้นไปดูเขาสีคิริยา ที่พวกทมิฬหินชาติจับองค์พระมหากษัตริย์ขังไว้ แล้วฆ่าพระเณรตายหมดทั้งศรีลังกา นอกเหนือจากวงศ์ลังกาที่หนีเข้าป่าไปเท่านั้น พระมหากษัตริย์ก็กลับกู้พระนครมาได้ จึงมีศุภราชสารตราส่งมายังกรุงสยามแห่งพระนครศรีอโยธยา ได้ขอพระอุบาลีวงศ์ ไปดำรงตำแหน่งสังฆนายก และเป็นสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา ต่อจากสยามวงศ์ศรีอยุธยา มีพระสังฆราชถึง ๑๕ พระองค์ เรียกว่าสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้

๒. ต้องการไปบูชาและนมัสการเวียนเทียนศรีมหาโพธิ์ที่นางศรีอมิตตาลูกสาวของพระเจ้าอโศกมหาราชเอาไปจากอินเดียต้นเดิม เอามาปลูกไว้ที่ประเทศศรีลังกา

๓. ต้องการไปทัศนศึกษาเกี่ยวกับวัดกรณีให้จงได้ทราบข่าวมาว่า สมภารวัดกรณีได้ฆ่านายกรัฐมนตรีตาย นางศิริมาโวจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนสามี

๔. ต้องการจะไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วในวันวิสาขปุณมีดิถีเพ็ญกลางเดือน ๖ และได้เข้าไปโดยอัศจรรย์ดลบันดาลหลายประการ แต่จะไม่ขอเล่าเรื่องนั้น

๕. ต้องการจะพิสูจน์ภาษาไทยจากไทยอาหม เป็นต้น ว่าเขาพูดอย่างไร ใช้หนังสือหลักฐานอย่างไร

ต้องการจะไปพิสูจน์ ๕ รายการก็ได้ครบจบทั้ง ๕ รายการที่ตั้งใจอธิษฐานไปทุกประการ

การเดินทางไปขึ้นเขาสีคิริยา ไปพร้อมกันทั้งรถบัสประมาณ ๓๐ กว่าคน พอถึงตีนเขาสีคิริยา หาคนขึ้นเขาไม่มี อาตมากับแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ อดีตเลขาของนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นอายุ ๗๐ เศษแล้ว ก็พยายามขึ้นเขาไปกับอาตมา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ในเวลาไม่ช้าก็ถึงยอดเขา แต่คนที่อยู่ในรถไม่มีใครขึ้นไปถึงยอดเขา

มองตั้งแต่ยอดเขาสีคิริยาลงไปสู่ตีนเขา เห็นรถบัสเท่ากล่องไม้ขีดเท่านั้น พอไปถึงยอดแล้ว อาตมาก็ไปพิสูจน์หลักฐานที่องค์พระมหากษัตริย์อยู่ตรงนี้ ที่ทมิฬหินชาติฆ่าพระเณรตาย เมื่อสมัยกาลครั้งหนึ่ง คือสมัยกรุงศรีอยุธยา

ก็ได้กฎแห่งกรรมข้อหนึ่งที่พิจารณาได้ว่า ตอนนั้นศรีลังกานำพระพุทธศาสนามาสู่สุโขทัยราชธานี เอามาเผยแผ่ในประเทศไทยเป็นกฎแห่งกรรม หลังจากที่เขาหมดศาสนาพระเณรไม่มีแล้ว เขาต้องขอ ต้นทุนเดิมเอาไปต่อ คือพระอุบาลีวงศ์ เป็นสยามวงศ์มาจนบัดนี้ อันนี้เป็นกฎแห่งกรรมที่ติดตามมา

อาตมากับแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ ก็นั่งภาวนากัน อาตมาเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ปวดปัสสาวะเป็นกำลัง จะทำอย่างไร ส้วมก็ไม่มี แม่เนื่องชี้ทางบอกว่าลงไปทางนี้เป็นป่า อาตมาก็ลงเรื่อยไป

เผลอไปเผลอมาเข้าไปในถ้ำ ไปเจอพระสิงหลหนวดเครารุงรัง ห่มผ้าสีดำ นั่งเจริญกรรมฐาน ภาวนาอยู่ในถ้ำ เป็นเรื่องที่จะต้องพบมักกะลีผลต่อไป ฉากมักกะลีผลก็เปิดออกมา

อาตมายกมือไหว้ ท่านก็ส่งภาษาสิงหลต่ออาตมา อาตมาก็เรียนเก่ง เพราะเก่งไปในทางภาษาเดา เดาถูกทั้งนั้น ท่านก็ชี้ไปที่ฝาผนังถ้ำเราก็เหลียวไปดู พบสีกา สวย โสภาน่าทัศนาชม พอเห็นเข้าแล้ว หอมกรุ่นรุมจมูก เหมือนน้ำอบฝรั่งขวดละ ๓ พันบาท แต่มันหอมมากทีเดียว

อาตมาก็ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า พระองค์นี้แย่มาก ไม่น่าจะเอาสีกามาไว้ในถ้ำในชุดวันเกิด ไม่มีผ้านุ่งแต่ประการใดมองแล้วเหลียวซ้ายแลขวาไม่ได้พูดจาประการใด

ท่านก็เอ่ยเผยวาจาออกมาครั้งหนึ่งเป็นภาษาสิงหลบอกว่า พระคุณเจ้าพิจารณาดูด้วยวรญาณ เราก็ได้ตำราของเรา ตาดู หูฟัง ปากนิ่ง แหมจวนจะเอาปากออกมาแล้วว่าจะตำหนิพระองค์นี้

ลักษณะของมักกะลีผล ผลโตเท่าหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี อาตมาก็พิจารณาดูด้วยวรญาณ คลานเข้าไปใกล้ ๆ ดูแล้วสวยมาก คิ้วต่อ คอปล้อง ลักษณาการทำให้เราคิดพิจารณาต่อไปว่า นิ้วทำไมเสมอกัน แต่เรียวไม่เท่ากันเหมือนนิ้วของเรา นิ้วโป้งเห็นชัด ยาวเท่าหัวข้อ และเล็บยาว และคอเป็นปล้อง ๓ ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า อวบเต็มหมด ลักษณะอาการทั้งหมดสวยมาก ไม่ได้นุ่งผ้า ตาใหญ่ สีดำกระเป็นสีทอง สีขาวเป็นสีฟ้า เนื้อหนังเหมือนผลมะปราง ผมเป็นสีทองเหมือนฝรั่ง ดูไปดูมาก็เห็นหัวขั้วเหมือนลูกมังคุด ผมยาว

อาตมาก็ได้ความเลย เราเคยทราบเรื่องมักกะลีผลมา แต่เดิมที มันฝังอยู่ในจิตใจ แต่ก็ไม่รับรองแห่งการเชื่อถือแต่ประการใด จะจับดูก็เกรงใจพระ ถ้าไม่มีพระต้องบีบดูว่ามันมีกระดูกหรือเปล่า ไม่มีกระดูกเหมือนลูกโป่ง แต่ไม่ได้บีบดูนะ วันหลังได้บีบดูเพราะมาอยู่ที่วัดนี้ แต่ไม่ใช่ตัวนั้น

มือเท้าสวยมากไม่มีเส้นเลย มันจะเต่งตึงหมดเสมอกัน ข้อจะเรียวเท่ากัน ดูลักษณาการสวยงามมาก เป็นดอกไม้ แต่จะหนักเบาแค่ไหน ตอนตัวโต ๆ ไม่ได้ยกดู และอาการ ๓๒ ปกติ เหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ถันผิดมนุษย์ธรรมดานิดหน่อย ลักษณาการเท่ากับเด็กหญิงอายุ ๑๖ สูงต่ำประมาณนั้น

อาตมาก็มากราบไหว้พระ ดูท่าทางท่านอาวุโสคงจะแก่กว่าเราแน่ ท่านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ท่านได้มาจากป่าหิมพานต์ (ป่าที่อยู่รอบภูเขาหิมาลัย อยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย (จากพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์โดยพระเทพเวที พ.ศ. ๒๕๓๖)) อาตมาก็เดาว่าองค์นี้ต้องสำเร็จฌานสมาบัติ

ท่านก็เริ่มเล่าประวัติตรงกับที่หลวงพ่อช้างได้เล่าให้ยายฟังทุกประการว่า

สมัยก่อนผุสดีถวายจุลแก่นจันทน์แก่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธะ อธิษฐานว่า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต ท่านได้ให้พรว่าดูกรน้องหญิง เธอต้องการทุกสิ่งอันใด ขอให้สำเร็จในสิ่งนั้นให้พรสั้น ๆ ว่า อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ

จุลแก่นจันทน์ เป็นของหอมในสมัยนั้น ราคาไม่แพง แต่คุณภาพสูง ใช้สำหรับองค์พระมหากษัตริย์

ท่านเล่าให้ฟัง มันก็ใกล้ความจริงที่เราได้ฟังมา เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว เฉพาะเรื่องพระเวสสันดรนี้ ไม่ใช่สองพันปีนะ

ผุสดีได้รับพรจึงตรงไปเป็นเอกอัครมเหสีศักรินทร์เทวราชหมดพรพระวิปัสสีแค่นั้น พระอินทร์ได้ทราบว่า เอกอัครมเหสีผุสดี ต้องการเป็นพุทธมารดา ใกล้เวลาจะจุติ จึงได้ให้โอกาสเอกอัครมเหสีรีบขอพรมา ณ บัดนี้ ต่อพรไป ผุสดีก็ขอพร ๑๐ ประการ ที่จะเล่ามีข้อเดียวคือ ต้องการมีบุตรชายโสภาเต็มไปด้วยบุญวาสนา อันนี้ต่อพรของแม่ให้เป็นพุทธมารดาแน่ ก็จุติลงไปชื่อนี้ตามเดิม เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยตามลำดับ

ร้อนถึงศักรินทร์เทวราช ส่งทิพยเนตรทิพยกรรณทราบความว่าผุสดีที่จุติไปนั้นยังไม่มีพระราชโอรส จึงได้ขออัญเชิญพระโพธิสัตว์เข้าสู่ครรภ์ของผุสดีต่อไป พอสู่ครรภ์เสร็จแล้ว พระอินทร์ก็เตรียมการเนรมิตพระบรรณศาลาที่ ๔ กษัตราจะไปบำเพ็ญพรตเป็นดาบสในป่าหิมพานต์

และต้องการเนรมิตต้นมักกะลีผล ๑๖ ต้นต่อไปพร้อมกับบรรณศาลา ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมชาติ ด้วยเหตุผล ๒ ประการคือ

๑. พวกโยคีลามกสกปรก คนธรรพ์ วิทยาธร ที่วุ่นวายกันในป่าหิมพานต์มาหลายหมื่นปีแล้วนั้น ได้เสพสังวาสชมมักกะลีผลแล้ว จะสลบไสล ๔ เดือน จะไปนิพพานไม่ได้ เป็นช่องทางปริศนาธรรมของกามคุณทั้งห้า

๒. ต้องการให้พระนางมัทรีออกป่าไปเก็บผลไม้ได้อย่างดีไม่มีใครรบกวนแต่ประการใด พวกลามกสกปรกก็หลงใหลไชชอน ที่มักกะลีผล ๑๖ ต้น มีใจความว่าอย่างนั้นเป็นหลักสำคัญ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มักกะลีผลจะออกดอกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล ถึงเวลาพระนางมัทรีจะออกป่า ก็ออกดอกกันมาพวงหนึ่งมี ๕ คน มันจะมีบาน หุบ ออกมาแล้ว ๓ วันมีประจำเดือน เกสรบานเต็มต้น แปลว่าเป็นสาวเต็มตัวแล้ว

และมักกะลีผลนี้จะร้องรำทำเพลง ตอนเช้าถึงเย็น คนธรรพ์ วิทยาธรก็มาเสพสังวาส โยคีสำเร็จฌานก็มาเสพสังวาส แล้วสลบไสล ฌานก็เสื่อม พวกที่ยังไม่ได้ฌานก็มาคอยโคนต้น เก็บเอามักกะลีผลตอนหล่นหมดอายุภายใน ๗ วัน

พอ ๗ วันแล้ว มักกะลีผลจะหมดอายุหล่นพร้อมกันทั้งหมด พวงหนึ่งมี ๕ คน ผู้หญิงทั้งนั้น ท่านเล่าอย่างนี้ ก็ตรงตามที่หลวงพ่อช้างเล่าให้ยายฟังพอดี ทำให้สำนึกเดิมมาเปิดรับพอดีตรงกัน อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาก็รับฟังต่อไปว่า มักกะลีผลออกดอกมาแล้ว ๗ ราตรี หมดสภาพ หล่นจากต้นไปแล้ว มันก็ตาย ลืมตาตาโตเหมือนลูกไข่ คิ้วโก่งอย่างเขียนได้ ๔๕ องศาจริง ๆ จมูกโด่ง พอโค้งจากจมูกเป็นวงพระจันทร์ไป เหมือนพระพุทธรูปปางสุโขทัยฉะนั้น ไม่ใช่ชนกันแน่

ท่านเล่าต่อไปว่า ท่านสำเร็จฌานสมาบัติ ไปป่าหิมพานต์ ก็ไปเก็บมาด้วยฌาน แล้วท่านก็เอามาดูพิจารณา พอดีเรามีบุญวาสนาไปพบเข้าพอดีด้วยปวดปัสสาวะ อาตมาก็บอกแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ เป็นพยานหลักฐานด้วยกัน บัดนี้ถึงแก่ชีวาวายไปแล้ว

อาตมาได้เคล็ดลับจากพระสิงหลหลายประการ ก็ขออธิษฐานต่อหน้าพระสิงหลว่า ข้าพเจ้ามีบุญวาสนาประการใด ขอให้ข้าพเจ้าไปพบในประเทศไทยให้จงได้ แล้วท่านก็บอกเคล็ดลับในเรื่องปฏิบัติธรรมกรรมฐานไว้อีกหลายประการ ต้องการพบใคร ต้องการโทรจิตอย่างไร แต่จะไม่พูดในที่ประชุมนี้ เพราะไม่มีใครถาม

พอกลับมาประเทศไทย อยู่มาหลายปีก็ได้พบมักกะลีผล

วัดหนึ่งอยู่กลางทุ่งในเขตจังหวัดลพบุรี มีชายนายหนึ่งเหม็นสาบเหม็นสาง หิ้วย่ามละว้ามาถึงวัดนั้น มากราบไหว้สมภาร และเจรจาถวายสมภารว่า

ข้าพเจ้าเดินทางมาไกล จะเดินทางกลับบ้านก็ไกล ขอพักผ่อนที่วัดนี้สัก ๗ ราตรี ท่านสมภารเห็นว่าตาเฒ่าคนนี้เหม็นสาบเหม็นสางก็จริง แต่พูดจาคมคายดี ก็อนุญาตให้พักได้ ๗ วัน ไม่เป็นไร

แต่ทายกค้านว่า คนนี้อย่าให้พัก คงเป็นขี้ยาติดเหล้าเมากัญชา กลัวจะลักของที่วัด สมภารก็ให้พัก

วันนั้นเขาทำบุญกัน สมภารก็บอกให้โยมหาข้าวปลาอาหารมาให้คนที่มาขอพัก ญาติโยมไม่เห็นด้วย สมภารก็เอาสำรับไปให้ทานทุกวัน

เวลาครบ ๗ วัน ก็ขอลาสมภารเดินทางกลับ สมภารก็ไปส่งหลังวัด เพราะวัดนี้มีทุ่งนากว้างใหญ่ ตาเฒ่าก็กล่าวว่า ท่านสมภารมีอัธยาศัยดีมาก ผมเดินทางมาก็ไม่มีอะไรขอฝากของขวัญไว้

ขอกราบเรียนว่า ถ้าจะทำอะไรก็ทำภายใน ๔ ปี ทำให้เรียบร้อย ท่านจะต้องจากวัดนี้อย่างแน่นอน บอกแล้วก็มอบย่ามละว้าให้แก่สมภาร สมภารก็ไม่ทราบว่าอะไร ตาเฒ่าก็ขอลาเดินทางต่อไป

สมภารคลี่ย่ามออกมา ก็มีหนังสือตัวขอมบอกเหตุการณ์ว่า มักกะลีผลทั้ง ๒ ผลนี้ ข้าพเจ้าได้มาจากป่าหิมพานต์เป็นของฝากของขวัญให้สมภารไว้ที่นี่ และบอกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือนั่นอีก ๒ – ๓ บรรทัด

สมภารเห็นว่าเป็นของอัศจรรย์ ก็เรียกโยมในวัดออกมา ให้รีบตามตาเฒ่าไป พอตามออกมาตาเฒ่าก็หายไป ที่นอนที่เหม็นนั้นกลายเป็นควันธูป ควันเทียน น้ำมันจันทน์หอมอบวัด

ต่อมาสมภารก็สร้างกุฏิกรรมฐาน ๔ ปี ก็ถึงแก่มรณภาพตามที่ตาเฒ่าบอก สมภารนี้ท่านบวช ๒ หน หนที่ ๑ บวชแล้วสึกไป มีลูกแล้วบวชใหม่ อาตมาก็เลี้ยงลูกท่านไว้ตอนที่อยู่วัดให้เรียนหนังสือ และให้บวชเรียน แต่งครอบครัวให้เสร็จ

ลูกก็ไปทำศพหลวงพ่อเขา ทำศพเสร็จแล้วลูกชายก็มอบของนี้ให้แก่ลูกชายเขามา ลูกชายก็นำมาฝากอาตมาไว้รวมทั้งหมด ๘ ปี ยังใหญ่อยู่ อาตมาก็ไม่เคยบอกใคร เพราะเรารู้เหตุการณ์จากที่ศรีลังกาแล้ว ตามที่พระสิงหลได้บอกเล่า อาตมาก็เก็บไว้ พอดีไปบรรยายธรรมะที่ตึก สว. ชั้นสองที่วัดบวรฯ ในรายการของคนพ้นโลก นักศึกษากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ปลดเกษียณก็ลุกถามปัญหากัน นักศึกษาก็ถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม อาตมาก็ตอบด้วยเหตุผล ถามว่าป่าหิมพานต์มีจริงไหม อาตมาก็ตอบด้วยเหตุผล ซักเรื่อยไปถึงป่าหิมพานต์เข้าในต้นมักกะลีผล ก็ลืมตา บอกมักกะลีผลเป็นอย่างนั้น ๆ นักศึกษาถามว่าท่านมีหรือจึงพูดถูก บอกมีซิ เลยเขาตามมาดูกัน จึงได้เกิดดังขึ้น มักกะลีผลลูกใหญ่ ๆ ก็ย่อส่วนลงไปไม่เหมือนคน มันเป็นดอกไม้มันก็เหี่ยวลงไปย่อส่วนลงไปตามลำดับ

อภินิหารมักกะลีผล สำหรับมักกะลีผลมีอภินิหาร ๒ ประการ อาตมาเก็บไว้ก็ร่ำลือกันมากมาย คุณนายโสภา เป็นภรรยาของท่านนายอำเภอ จังหวัดจันทบุรี เป็นลูกศิษย์กัมมัฏฐานที่วัดนี้ เขารู้เรื่องนี้ดีพร้อมกับนายแพทย์หลายนาย บ้านคุณนายโสภาต้องการทำบุญบ้านที่เขตจังหวัดจันทบุรีกับระยองต่อกัน นิมนต์อาตมาไปฉันเพล นายแพทย์บอกว่ากรุณาเอามักกะลีผลไปด้วย ผมจะวิจัย เพราะมาวัดไม่เคยพบท่าน ก็ตกลง อาตมาก็คิดว่าจะไปดีหรือไม่ดี ก็ตกลงว่าไป เอามักกะลีผลใส่พานเอาผ้าขาวห่อใส่รถก็ออกจากวัดอัมพวัน ๑ โมงเช้า พอนั่งรถแล้วหลับไปเลย ถึงจังหวัดระยอง ๒ โมงเช้า ๑ ชั่วโมงถึงบ้านเจ้าภาพ รออีกตั้งหลายชั่วโมงสวดมนต์ฉันเพล นี่มันเรื่องอัศจรรย์

เรื่องที่ ๒ โยมชาญ กรศรีทิพา พบเรื่องนี้แล้วก็บอกว่าผมทำบุญวันเกิดที่วัดศรีบุญเรือง กรุงเทพฯ ถ้ากระไรเอามักกะลีผลไปด้วย ลูกผมกลับจากอเมริกาขอดูหน่อย ตกลงอาตมาก็ใส่ย่ามเดินทางไป ไปถึงวัดศรีบุญเรือง ก็มีท่านเจ้าคุณหลายท่านที่มานั่งอยู่กุฏิสมภาร แต่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่โยมชาญ กรศรีทิพาคนเดียว ไปนั่งสักพักหนึ่งมีเสียงประหลาดดังออกจากย่ามอาตมาเป็นเพลง ร้องเพราะ สมภารวัดนั้นได้ยินคนเดียวคือ พระครูศรีปริยัติติคุณ ถามว่าหลวงพ่อเอาเทปมาด้วยเรอะ แหม ร้องเพราะจัง อยากดูหน่อย อาตมาบอกเทปที่ไหนเล่า ผมไม่ใช่พระมีเทป ไม่ยอมเชื่อ อาตมาก็ว่านี่ยังไงกัน ก็พยายามเก็บ สมภารก็จะมาขอดูย่าม พอดีเกิดอัศจรรย์อาตมาปวดท้องจะต้องไปถ่าย อาตมาก็เอาย่ามไปด้วย สมภารบอกว่าอย่าเอาย่ามไป ส้วมอยู่ไกล เอาไว้นี่แหละ อาตมาก็ลืมไปเอาย่ามไว้ ก็เดินไปถ่าย สมภารก็เกิดไปงัดย่ามมา เพราะเพลงมันร้องเพราะ เลยเปิดมา ผลสุดท้ายก็นั่งเป็นกลุ่มเลย ก็โทรศัพท์ไปทางบ้านให้มากันใหญ่เลย วันนั้นไม่ได้สวดมนต์ทำบุญวันเกิด เจ้าคุณวัดโพธิ์ วัดป่าโมกข์ เจ้าคุณหลายเจ้าคุณท่านก็ไม่เคยเห็น วันนั้นดูกันจนค่ำ มีอัศจรรย์อย่างนั้น

ขอสรุปไว้ เวลาต่อมาก็หมดละลายไปในที่สุด อธิษฐานจากประเทศศรีลังกามาสู่ประเทศไทย มาได้นะดังที่กล่าวแล้วโดยวิธีนี้ จบเรื่องมักกะลีผลไว้เท่านี้ หมดอายุพระพุทธศาสนา ๑. ต้นมักกะลีผลโดยเนรมิต กับบรรณศาลาจะหายวับไปกับตา ๒. พระบรมธาตุจะมีถ่านบอกไว้ชัด คนที่ไม่มีประสบการณ์เขาจะไม่เชื่อ คนที่เห็นมากับตา รู้มาอย่างนี้ก็ต้องยอมรับเชื่อ ๑๐๐% คนอื่นคงจะไม่เชื่อแน่ เพราะไม่เคยเห็น อาตมาถ้าไม่เห็นก็ยังไม่เชื่อ แล้วก็เอาดินมา ๓ ห่อ ที่ประเทศศรีลังกา กลับมาก็กลายเป็นพระธาตุ นายแพทย์ศิริราชขอผ่าดู ก็เป็นไส้คนทั้งหมด ผ่าแล้วเอากล้องใหญ่ถ่าย มีหัวใจ มีไส้ ปอด พุง เป็นคนเสียหมด เวลา ๖ โมงเช้า มันจะเริ่มบาน พอ ๖ โมงเย็นจะหุบ มีกลีบเหมือนกลีบบัว ก็จะหุบเอา ๕ คนเข้าไว้ และเช้าบานขึ้น ๗ วันหล่นหมด หล่นไม่หลับตา ลืมตาแจ๋วเลย

มักกะลีผล ปัจจุบันประจำอยู่ที่วัดพระปรางค์มุณี จังหวัดสิงห์บุรี